วันไหนโลกจะแตก
คำบอกของเซอร์ไอแซคนิวตัน
เซอร์ไอแซคนิวตัน ทำนายไว้ว่าโลกแตก คศ.2060 เหลือเวลาอีกเพียง 48 ปี
เซอร์ ไอแซค นิวตัน, นักวิทยาศาสตร์สัญชาติอังกฤษผู้โด่งดังจากทฤษฎีแรงดึงดูดโลกและการเคลื่อน ไหวของดาวพระเคราะห์, เคยทำนายไว้ว่าวันโลกแตกจะเป็นปี ค.ศ. 2060 หรือแค่ 48 ปีจากนี้ไป
เอกสารข้างบนนี้เพิ่งเปิดเผย เป็นลายมือของนิวตัน เขียนไว้เมื่อ ค.ศ. ๑๗๐๔ และเพิ่งออกมาแสดงครั้งแรกที่มหาวิทยาลัยฮิบรูที่เจรูซาเล็ม
คำทำนายที่เพิ่งเปิดเผยครั้งแรกนี้นิวตันไม่ได้ใช้หลักการคำนวนวิทยาศาสตร์ ...แต่วิเคราะห์จาก Book of Daniel ในคัมภีร์ในฐานะนักศึกษาศาสนาคู่กับวิทยาศาสตร์อย่างละเอียดถี่ถ้วน
ถ้าโลกแตกสลายหรือถึงวัน Apocalypse อย่างที่นิวตันพยากรณ์, ก็จะห่างจากการก่อตั้งจักรวรรดิ์โรมัน ๑,๒๖๐ ปีพอดิบพอดี
นิวตันเกิด ปี ค.ศ. ๑๖๔๓ และเสียชีวิตปี ๑๗๒๗ หรือเมื่อ ๒๘๐ ปีก่อนนี้เอง
ดาวหางชนโลก ปี ค.ศ 2012
โลกและเทคโนโลยีเราจวนจะถูกทำลายด้วยกลไกของธรรมชาติ ดังเช่น ดาวหางชนโลก ปี ค.ศ 2012 ได้มีการทำนายเอาไว้จากหลายด้าน
- นอสตะดามุส
- Secret Code of The Bible
- พระไทยองค์หนึ่งขอสงวนนาม
นอ สตะดามุสทำนายไว้ว่า จะมีลูกไฟจากที่ห่างไกลหลายลูก วิ่งเฉียดโลก และบางลูก ก็จะเข้าสู่บรรยากาศชนโลก ลูกไฟตกจากท้องฟ้าเห็นที่ฝรั่งเศส โลกจะกลับมามืดอีกครั้ง สรรพสิ่งล้มตายครึ่งโลก
Code of Bible เกิดขึ้นที่ไบเบิ้ลฉบับภาษาฮิบรู ซ่อนรหัสลับการทำนายชะตากรรมของโลกไว้ ยุคของเครื่อง PCมาถึงแล้วโปรแกรมเมอร์สามารถDecode รหัสที่ซ่อนไว้ได้ ยกตัวอย่างดังรูป ข้อความที่ถอดออกมาจะอยู่ในกลุ่มเดียวกัน ระยะห่างของของคำตัวอักษรจะขึ้นลงตามแนวไหนก็ได้
พระไทยองค์หนึ่งเมื่อ ปีที่แล้วทำนายไว้ว่า จะเกิดคลื่นซึนามิถล่มภาคใต้ของไทย ในวันที่ 26 ธ.ค 2547 และครั้งที่สอง ปี2548 และกล่าวถึงวันสิ้นโลกไว้ว่า ถ้าคนปัจจุบันนี้ ตอนนี้อายุ 40ปี ก่อนจะหมดอายุขัยของคนอายุช่วงนี้ จะมีดาวหางชนโลก และโลกจะมืด 16วัน หลังจาก16วันจะเกิดกลียุคในสังคมโลกที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ของ สังคมมนุษย์ คนที่เป็นชาวนาจะอยู่รอด เศรษฐีจะไม่มีความหมายในสังคมหรือเงินไม่มีความหมาย จะเริ่มนับ 1ใหม่ทุกระบบ
30กว่าปีที่ผ่านมา NASA ได้พยายามศึกษาองค์ประกอบของดาวหาง ที่ผ่านโลก นิวเครียสของดาวหางว่ามีส่วนประกอบอะไร เป็นที่น่าสงสัยว่า NASA ให้ความสนใจในเรื่องดาวหางมากเป็นพิเศษ เริ่มจากครั้งแรกส่งยานสำรวจสำรวจดาวหางฮัลเลย์และเจียโคมินี-ซินเนอร์ ปี 2521-2541 โดยยาน ICEหรือ ISEE3 ส่งขึ้นปี 2521 และ
ล่าสุด ยานดีปสเปซ 1สำรวจนิวเครียส ของดาวหางบอเรวลี่
เป็น ไปได้ที่มี นักวิท.คำนวณและทำนายไว้ว่ามีความเป็นไปได้ที่จะมีดาวหางบางดวงวิ่งชนโลก คงจะคำนวณระยะทางและคาดคะเนว่าอีกกีปี แต่ทำไมหรอเค้าถึงไม่บอกให้คนทั้งโลกเตรียมใจไว้ มีสาเหตุเดียวคือ เศรษฐกิจ บอกความจริงเมื่อไหร่เศรษฐกิจทั่วโลกถึงกับพังแน่ แต่ถ้าวันนั้นมาถึง เค้าคงออกมาประกาศเตือนภัยถึงความจริง 1-3เดือน ก่อนวันที่ดาวหางจะชนโลก และมาตรการการต่อต้านดาวหางด้วยระเบิดนิวเคลียร์ เร็วเกินไปที่จะพัฒนาเทคโนโลยีการต่อต้านการชนของดาวหาง ถ้าไม่ไช่หนังAmagedon ยังไม่มีเทคโนไหนจะกำจัดภัยครั้งนี้ได้............
สัมภาษณ์ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา - วันโลกแตก วินาศภัยที่หลบไม่ได้ หนีไม่พ้น
ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา - คือ นักคิด-นักวิทยาศาสตร์ ผู้คิดค้นระบบการลงจอดยานอวกาศบนดาวอังคาร ร่วมกับองค์การนาซา เพื่อทำการสำรวจโลกใหม่ของมนุษยชาติ.....และอีกด้านหนึ่งที่คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่รู้จัก ดร.อาจองฯเท่าที่ควร ก็คือ การเป็นผู้ปฏิบัติธรรมสมาธิภาวนามาเป็นเวลาต่อเนื่องยาวนานประมาณ 30 ปี จนอาจกล่าวประเมินได้ว่า ท่านเข้าถึงธรรมขั้นสูงระดับหนึ่งไปแล้ว ท่านปฏิเสธองค์การนาซาที่เพิ่มเงินเดือนให้อีก 20 เท่า แล้วกลับเมืองไทย เพื่อมาสอนหนังสือเด็กๆในชนบท สร้างคนรุ่นใหม่ขึ้นมาจากอายุ 6 ขวบ เพื่อให้เป็นอนาคตของประเทศไทยต่อไป
ปัจจุบันท่านเป็นผู้บริหารโรงเรียนสัตยาไส ที่อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี พร้อมกับได้รับเชิญไปบรรยายสอนเรื่องการอบรมพัฒนาจิตของเยาวชนไปทั่วโลกขณะ นี้ ชีวิตของท่านเต็มไปด้วยความเสียสละ สมถะ และบำเพ็ยตนเพื่อประโยชน์สุขของมหาชน ประเทศชาติที่น่าสรรเสริญมาก ซึ่งเราขอปรบมือและร่วมอนุโมทนากับท่านด้วยความจริงใจ........
บทสัมภาษณ์ ดร.อาจองฯเมื่อ 16 ตุลาคม 2548 เกี่ยวกับอนาคตของเมืองไทยและโลกในอีก 12 ปี ข้างหน้า จะพบกับเหตุการณ์ภัยพิบัติน้ำท่วมใหญ่ มีการสูญเสียไปบ้างพอสมควร แต่ก็ได้ความสันติสุขและความเจริญรุ่งเรืองในทางธรรมกลับคืนมา ดังนี้.-
เมื่อประมาณ 15 ปีก่อนหน้า มนุษย์เริ่มวางแผนที่จะไปสำรวจดาวอังคาร แล้วก็เริ่มส่งยานอวกาศ ออกไปสำรวจจนได้ข้อมูลเพียงพอ เพราะที่นั่น มันมีบรรยากาศใกล้เคียงกันกับโลก คือ มีอากาศเป็นคาร์บอนไดออกไซด์ และคาร์บอนไดออกไซด์ ก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาในทางร้ายกับร่างกายของมนุษย์ แล้วถ้ามีคาร์บอนไดออกไซด์ มีน้ำ มีแสงแดด ต้นไม้ก็จะโต เพราะต้นไม้จะเป็นตัวดูดเอาคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไป เพื่อคายออกซิเจนออกมา ทำให้มีบรรยากาศใกล้เคียงกับโลก
ดูจากหลักฐานที่เราได้มา จากก้อนหิน หรือจากการสำรวจ ทำให้เราพบว่า ครั้งหนึ่งในอดีต ดาวอังคารเคยถูกน้ำท่วม ถูกน้ำซัดผ่านบริเวณผิวขอบของดาว ก็แสดงว่า ที่นั่นต้องมีน้ำเยอะ แม้ว่าแสงแดดจะน้อยกว่าโลก จนทำให้อุณหภูมิลดลงถึง -35 องศาเซลเซียส แต่ก็ถือว่า มันมีบรรยากาศใกล้เคียงกับโลกมากที่สุด.......แต่ การที่มนุษย์ จะขึ้นไปอยู่บนดาวอังคารได้จริงๆ ก่อนอื่น คือ เราจะต้องสร้างเรือนกระจกครอบขึ้นมา เพื่อเข้าไปอยู่ในนั้น แล้วก็ต้องปลูกต้นไม้ให้ได้มากที่สุด เพื่อให้เกิดออกซิเจนหนาแน่นขึ้น มนุษย์ถึงจะอยู่ได้ เดินไปเดินมาได้ โดยไม่ต้องแบกถังออกซิเจน หรือสวมชุดมนุษย์อวกาศ ซึ่งต่างจากดาวดวงอื่น อย่างดวงจันทร์ ดาวเสาร์ หรือดาวพฤหัส เพราะบนนั้น ถึงจะมีน้ำอยู่บ้าง แต่ก็มีอุณหภูมิต่ำ จนอากาศหนาวมาก จนกลายเป็นเรื่องยากที่มนุษย์จะอพยพไปอยู่บนนั้นได้......
.....แล้วความจริง แผนการสำรวจดาวอังคารของนาซาก็เริ่มต้นโครงการนี้มาเป็น 10 ปี แล้ว เพราะเขาคิดว่า ต่อไปประชากรบนโลกเราก็คงเพิ่มขึ้น ซึ่งก็น่าจะเป็นการสร้างปัญหาให้กับโลกของเรา เพราะเมื่อจำนวนมนุษย์มากเกินไป อาหารการกินก็อาจจะไม่พอ น้ำก็ไม่พอ พลังงานก็ไม่พอ อะไรต่ออะไรอีกหลายอย่าง ก็จะไม่พอต่อความต้องการของมนุษย์ เพราะฉะนั้น การอพยพเอาพลเมืองโลกออกไปบ้าง มันก็น่าจะเป็นเรื่องที่ควรทำ และสามารถทำได้ ซึ่งการอพยพออกไปในครั้งนี้ เขาก็ไม่ได้ระบุว่าเป็นใคร ? หรือคนกลุ่มไหนโดยเฉพาะ ?
.....แต่แน่นอนว่า นอกจากการแสดงตัวในฐานะที่เป็นผู้นำแล้ว การขึ้นไปบนดาวอังคาร ยังหมายถึง การขยับขยายในเรื่องอุตสาหกรรมบนดาวอังคาร ซึ่งในหลายประเทศ ต่างก็มีความคิดวางแผนเกี่ยวกับตรงนี้เอาไว้แล้ว และก็อาจจะมีการตกลงแบ่งอาณาเขตกันเอาไว้ สำหรับประเทศที่มีความเจริญก้าวหน้า และมีศักยภาพเพียงพอ อย่าง อเมริกา หรือญี่ปุ่น เพราะว่าต่างฝ่ายก็คิดกันไว้ว่า ถ้าตัวเองไปถึงตรงนั้นได้ก่อน ก็จะมีสิทธิในการครอบครองได้ก่อน.......
....แต่การที่เขาไปสำรวจดาวอังคาร หรือการที่เตรียมจะอพยพคนออกไปจากโลก- นั่น ก็ไม่ใช่หมายความว่า โลกกำลังจะแตกจริงอย่างที่เขาทำนายกัน เพียงแต่ว่า ขณะนี้โลกของเรา อาจกำลังจะมีความเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่ ก็เป็นผลมาจากมนุษย์ด้วยกัน เพราะว่าเราทำลายป่าไม้ เผาผลาญพลังงานมากเกินไป มันทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เยอะ แล้วก็เกิดภาวะเรือนกระจก ทำให้อุณหภูมิสูงขึ้น ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น จนน้ำแข็งขั้วโลกเริ่มละลาย ทำให้เกิดพายุใต้ฝุ่น พายุเฮอริเคน ซึ่งเกิดจากการทำลายสิ่งแวดล้อม.....
.....ผมดูจากสถานการณ์ จากเหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้น จากภาวะเรือนกระจก ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น วิกฤตอันนี้ มันเกิดจากภาวะความเปลี่ยนแปลงของโลก เพราะเปลือกโลกมันลอยอยู่กับของเหลวข้างใน ซึ่งของเหลวข้างใน มันมีความร้อนสูง เปลือกของโลก มันก็เริ่มเคลื่อนไหวเพราะขาดสมดุล แล้วตัวน้ำทะเลที่มันสูงขึ้น ก็จะทำให้โลกข้างที่อยู่ทางมหาสมุทรแปซิฟิกมีน้ำหนักมากขึ้น จนโลกเริ่มจะแกว่ง....
.......และแน่นอนว่า ถ้าระดับน้ำทะเลมันสูงขึ้น มันก็จะเกิดน้ำท่วมในหลายๆจุด แล้วถ้าลองคิดว่า น้ำทะเลมันขึ้นแค่ 2 เมตร กรุงเทพฯของเราก็คงไม่มีแล้ว เพราะกรุงเทพฯเราอยู่เหนือน้ำทะเลไม่ถึง 1 เมตร แล้วถ้าน้ำมันสูงระดับนั้นจริงๆ มันต้องท่วมเข้ามาในภาคกลางของประเทศไทย และบางประเทศ ก็อาจต้องสูญหายไป อย่างน้อยก็ประมาณเศษหนึ่งส่วนสามของหมู่เกาะแถบอันดามัน ก็อาจจะหายไปเลย......
.......ผมคาดว่า อีก 12 ปี โลกของเราจะเปลี่ยนแปลงไป กลายเป็นโลกที่เต็มไปด้วยความสงบสุข ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้งกัน ไม่มีการทำสงครามกัน เพราะส่วนหนึ่ง คือ ธรรมชาติ เริ่มรู้ในความไม่รู้จักพอของมนุษย์.....ซึ่ง แต่ละศาสนา ก็เคยมีการทำนายเอาไว้แล้วว่า โลกของเรา จะต้องเกิดวิกฤต แต่การที่จะไปถึงจุดนั้นได้ มนุษย์เรา คงต้องโดนกระตุ้นจากธรรมชาติเสียก่อน อย่างกรณีของการเกิดคลื่นสึนามิขึ้น คนทั่วโลก็เริ่มที่จะเข้าใจกัน ช่วยเหลือกัน เหมือนเป็นการอาศัยวิกฤต เพื่อเปลี่ยนแปลง แต่ผมคิดว่า มันก็เป็นเรื่องน่าเสียดาย ที่มนุษย์ จะต้องขอให้เกิดวิกฤตเสียก่อน ถึงจะเลิกทะเลาะกัน เลิกทำสงครามกัน.....เพราะตอนนี้ ผมคิดว่า เรามีเวลาอยู่บนโลกแค่เพียง 12 ปีเท่านั้น ก่อนที่จะเกิดความเปลี่ยนแปลง.......
Credit:
teera