ดอนผีบิน...ค้างคาวตนตรี
"ดอนผีบิน" มาจากชื่อหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งทางตอนเหนือของจังหวัดน่าน แต่ก่อนกาล บริเวณที่ราบสูงแห่ง นั้นเคยเป็นสมรภูมิรบล้างเผ่าพันธ์สมัยล้านนา หลายร้อยปีก่อน จากอดีตสู่ปัจจุบัน ดินแดนนี้ได้กลายเป็นตำนานเล่าขานของชาวบ้าน ปากต่อปากว่าในคืนวันเพ็ญจะมีแสงวนเวียนลอยร่อง บริเวณนั้นบางครั้งก็ได้ยินเสียงร้องครวญคราง เรื่องราวนี้ก็ระบือรือไกลว่าเป็น ดินแดนแห่ง "ดอนผีร่องลอย"
" ........ดวงตะวันถึงกาลจากลา เตือนนกกาถึงเวลาค่ำลง
ส่งเสียงร้องกันขับขาน เป็นสัญญาณคืนวันใกล้จบลง
เหมือนดังทุกอย่างเริ่มโรยรา บนฟากฟ้าเต็มด้วยผืนเมฆา
ความสับสนมืดมนย่างเข้ามา ค่ำคืนนี้ไร้แสงดวงดาว ค่ำคืนนี้ไร้แสงจันทรา
อุราข้าตรม นอนซมกับสายลมอันเหน็บหนาว
อยากจะบินบินไปให้สุดไกล จะพาใจลอยไปในนภา
พบพาฝันอันยิ่งใหญ่ ฝันอันแสนไกลเคยใฝ่หา
เรียกความฝันที่หลับใหลให้กลับมา เก็บความหวังคืนวันเคยผ่านมา
บินข้ามกาลเวลา ฝ่าฟันไปตามที่ใจต้องการ
บินข้ามกาลเวลา ฝ่าฟันไปตามที่ใจต้องการ...."
เสียงสูงกังวานชัดถ้อยชัดคำของนักร้องนำ สอดประสานไปกับเสียงกีตาร์ใสๆ กับเสียงเบสทุ้มนุ่มที่เดินตามจังหวะหนักแน่นของกลองชุด ในเพลง “ไกลบ้าน” จากอัลบัมชุดแรกของ
วง ดอนผีบิน
วงดอนผีบินเกิดจากการรวมตัวของสามพี่น้องตระกูลแก้วทิตย์ เมื่อปี ๒๕๒๘ ภายใต้การนำของพี่ชายคนโต คือครูสมบัติ เป็นหัวหน้าวง ทำหน้าที่เขียนเพลงและเป็นมือกีตาร์ คนกลางชื่อสมศักดิ์ ตำแหน่งกลอง และน้องคนเล็กชื่อสมคิด เป็นนักร้องนำ และเล่นเบส
ชื่อของวงแปลงมาจากชื่อสถานที่ในแถบบ้านเกิด บริเวณนอกหมู่บ้านดอนตันที่ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าต่อกันมาว่า เคยเป็นทุ่งสมรภูมิระหว่างกลุ่มชนต่างเผ่าพันธุ์ ที่มักยกทัพมาประจันหน้าและห้ำหั่นประหัตประหารกันหลายครั้งหลายครา เกิดการล้มตายของผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วน จึงเชื่อกันว่ามีดวงวิญญาณมากมายสิงสถิตอยู่แถวนั้น แล้วยามค่ำคืนชาวบ้านก็มักเห็นดวงไฟลอยขึ้นจากพื้น ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นดวงวิญญาณของผีสางที่เร่ร่อน เลยพากันเรียกที่แถวนั้นว่า ดอนผีลอย
ครูสมบัติประทับใจในชื่อนั้น เมื่อหยิบนำมาเป็นชื่อวงก็แปลงคำเป็น ดอนผีบิน ให้ฟังดูหลอนๆ เหมือนแนวเพลงของวง แล้วหัวหน้าวงก็จัดการออกแบบกลุ่มคำนั้นเป็นรูปค้างคาว ใช้เป็นโลโก้ของวง ด้วยความประทับใจในบุคลิกเฉพาะของสัตว์ราตรีชนิดนั้น
วงดอนผีบินทำเพลงชุดแรกชื่อ โลกมืด ในรูปแบบ underground ทำเองขายเองโดยไม่เข้าสังกัดค่ายเพลง ซึ่งในห้วงเวลานั้นเมืองไทยยังแทบไม่รู้จักเพลงแนวเดทเมทัลด้วยซ้ำ และวงการเพลงใต้ดินในขณะนั้นก็เป็นของเพลงแนวเพื่อชีวิตเป็นหลัก แต่ถึงอย่างนั้นดอนผีบินยังได้รับการยอมรับจากแฟนเพลงแนวฮาร์ดคอร์อย่างกว้างขวาง ด้วยความสดใหม่ แหวกแนว และแฟนเพลงต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันมาตลอดว่าดอนผีบินเป็น “ของแท้”
หลังจากนั้นอีกปี อัลบัมชุดที่ ๒ ชื่อ เส้นทางสายมรณะ ก็ออกตามมา ด้วยกลิ่นอายดนตรีที่หนักหน่วงรุนแรงยิ่งกว่าชุดแรก แล้วตามด้วยอัลบัมชุดที่ ๓ ชื่อ อุบาทว์-อุบัติ ในอีกปีต่อมา ในอัลบัมที่ ๔ ชุด สองฟากฝั่ง ดอนผีบินเดินเข้าสู่สังกัดค่ายเพลง แต่เนื้อดนตรีและการทำงานยังเป็นอิสระตามบุคลิกของดอนผีบิน เพลง “Return to the Nature II” ในอัลบัมชุดนี้ ได้รับรางวัลเพลงบรรเลงยอดเยี่ยม สีสันอะวอร์ดส์ ประจำปี ๒๕๔๐ แล้วในปีต่อมา (๒๕๔๑) เพลง “ใดใดไร้ยืนยง” จากอัลบัมชุดที่ ๕ สัญญาณเยือน ก็ได้รางวัลเพลงบรรเลงยอดเยี่ยม สีสันอะวอร์ดส์ ซ้อนอีกสมัย
ปี ๒๕๔๓ ออกอัลบัมที่ ๖ ปรากฏการณ์-ปรากฏกาย กับค่ายเพลงระดับยักษ์ใหญ่ของเมืองไทย แต่ยอดขายเพียงหลักหมื่นหลักแสนสำหรับเพลงนอกกระแสดูจะไม่เป็นที่พอใจของผู้บริหารค่ายเพลงเท่าใดนัก นอกจากนี้ดอนผีบินยังมีอัลบัมรวมเพลง บันทึกการออกรายการวิทยุ และบันทึกการแสดงสด อีกรวมทั้งสิ้น ๑๔ ชุด
ยอดขายอาจไม่ฟู่ฟ่าอย่างศิลปินในกระแส แต่ดอนผีบินก็พอใจกับจำนวนแฟนเพลงที่เหนียวแน่นแน่นอนอยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งประเมินจากยอดขายเทปและการตอบรับจากแฟนเพลงก็คำนวณว่ามีอยู่ราวแสนคน ใต้เพิงหลังคาด้านหลังบ้านมีกระบะไม้ขนาดใหญ่ ยาวเท่าฝาด้านหนึ่งของบ้าน ในนั้นเต็มไปด้วยจดหมายเป็นพันๆ ฉบับจากสาวกทั้งในกรุงเทพฯ และตามหัวเมืองทั่วประเทศ เรื่องตัวเลขจำนวนแฟนเพลงนี้ไม่ใช่คำคุยที่อ้างกันลอยๆ แต่ส่วนหนึ่งเคยได้พบเห็นตัวตนจริงๆ กันมาแล้ว ในการแสดงสดครั้งใหญ่ คอนเสิร์ต Return to the Nature เมื่อปี ๒๕๔๐ สาวกดอนผีบินเดินทางมาชุมนุมกันแน่นเต็มลานหอประชุม AUA