ความจริงและความเชื่อเกี่ยวกับ ‘มะเร็งปากมดลูก’
มัจจุราชอันดับ 1 คร่าชีวิตหญิงไทย
หลายคนมักคิดว่า ‘มะเร็งปากมดลูก’ เป็นเรื่องไกลตัว แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เลย เพราะ
‘มะเร็งปากมดลูก’ เป็นโรคที่พบมากเป็นอันดับ 1 ในผู้หญิงไทย และในแต่ละปีจะมีผู้ป่วยรายใหม่
ประมาณปีละ 6,000 คน ซึ่งครึ่งหนึ่งในจำนวนนี้ส่วนใหญ่จะเสียชีวิต เพราะมะเร็งปากมดลูก
ไม่ได้เกิดจากกรรมพันธุ์ แต่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเอชพีวีชนิดก่อมะเร็งช่องคลอด มะเร็งปากช่องคลอด
เชื้อเอชพีวีติดต่อได้ง่ายมากทางเพศสัมพันธ์ แม้คนในครอบครัวของคุณไม่เคยมีใครเป็นมาก่อน
คุณก็อาจเป็นมะเร็งปากมดลูกได้แม้ว่าจะดูแลสุขภาพทั่วไปอย่างดีแล้ว แต่ละเลยการตรวจภายใน
เป็นประจำ ดังนั้น หากใครที่คิดว่าตัวเองใส่ใจสุขภาพ ดูแลตัวเองดีแล้วล่ะก็ คงต้องหันกลับมาทบทวน
เช็คร่างกายและพฤติกรรมของตนเองกับคู่ชีวิตเสียใหม่ เริ่มต้นง่าย ๆ กับวิธีดังต่อไปนี้ ก่อนที่จะติดเชื้อ
แล้วสายเกินเยียวยา
ความเชื่อ : คนบางคนมักเชื่อว่าตนเองไม่มีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งปากมดลูก เพราะคู่ของตนเป็นคน
ซื่อสัตย์รักเดียวใจเดียว และหากมีจริง ๆ แฟนของพวกเธอก็ต้องใส่ถุงยางอนามัยในการป้องกันโรคติดต่อ
ทางเพศสัมพันธ์อยู่แล้ว
ความจริง : จากการศึกษาในประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่า 46% ในกลุ่มผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย
เพียงคนเดียวภายใน 3 ปี เกิดการติดเชื้อเอชพีวีได้ ดังนั้นผู้หญิงทุกคนจึงมีความเสี่ยงต่อมะเร็งปากมดลูก
ตราบใดที่ยังมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งถุงยางอนามัยสามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ได้ แต่ไม่
สามารถป้องกันเชื้อเอชพีวีได้ 100% ดังนั้นคุณจึงมีความเสี่ยงในการรับเชื้อเอชพีวี ซึ่งเป็นสาเหตุของ
มะเร็งปากมดลูก
ความเชื่อ : ฉันรู้ว่าวัคซีนเอชพีวีที่ป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้ แต่ฉันก็ตรวจแป๊ปสเมียร์อยู่แล้ว เพราะฉะนั้น
ไม่เห็นต้องฉีดวัคซีนเลย
ความจริง : การตรวจแป๊ปสเมียร์และการฉีดวัคซีนเอชพีวีเป็นวิธีการป้องกันมะเร็งปากมดลูกที่มีประสิทธิภาพ
ทั้งคู่ ซึ่งหากตรวจแล้วพบความผิดปกติ ก็หมายความว่าอาจมีการติดเชื้อเอชพีวีและต้องได้รับการรักษา
ส่วนการฉีดวัคซีนเอชพีวีจะช่วยป้องกันการติดเชื้อเอชพีวีสายพันธุ์ 16 และ 18 ซึ่งทำให้เซลล์ที่ติดเชื้อเกิด
ความผิดปกติและอาจเปลี่ยนเป็นเซลล์มะเร็ง หากทำร่วมกันทั้ง 2 วิธีก็จะได้ผลดีที่สุดในการป้องกันมะเร็ง
ปากมดลูก
ความเชื่อ : เคยได้ยินมาว่าถ้ามีเพศสัมพันธ์แล้ว ฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกไปก็ไม่มีประโยชน์
ความจริง : จากการศึกษาผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์แล้ว พบว่ามีน้อยกว่า 1% ที่พบการติดเชื้อเอชพีวีทั้ง
ชนิด 16 และ 18 พร้อมกันที่ปากมดลูก วัคซีนจึงยังสามารถป้องกันการติดเชื้อเอชพีวีสายพันธุ์ที่ไม่เคย
มีการติดเชื้อมาก่อน การฉีดวัคซีนในผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์แล้วจึงยังมีประโยชน์ในการช่วยป้องกันมะเร็ง
ปากมดลูกได้
ความเชื่อ : ลูกของฉันยังเล็กอยู่ ยังไม่มีความสัมพันธ์ทางเพศกับใคร ยังไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีนป้องกัน
มะเร็งปากมดลูกหรอก
ความจริง : การติดเชื้อเอชพีวีเป็นการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้บ่อยที่สุดในวัยรุ่นตอนต้นหรือวัยที่
เริ่มมีเพศสัมพันธ์ การให้ลูกฉีดวัคซีนตั้งแต่ก่อนเข้าสู่วัยรุ่น จึงเป็นโอกาสสำคัญที่คุณจะได้ปกป้องลูกสาว
ของคุณล่วงหน้า และเด็กก็จะได้รับประโยชน์สูงสุด เนื่องจากเด็กสามารถสร้างภูมิคุ้มกันจากวัคซีนได้สูง
กว่าผู้ใหญ่มาก จึงพร้อมรับมือกับเชื้อที่อาจเข้ามาเมื่อเริ่มมีเพศสัมพันธ์ หลายประเทศในทวีปยุโรป เช่น
สหราชอาณาจักรเห็นความสำคัญของการฉีดวัคซีนตั้งแต่ยังเด็ก รัฐบาลจึงจัดให้เด็กผู้หญิงอายุ 12 - 13 ปี
ฉีดวัคซีนเอชพีวีเพื่อป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกฟรีทุกคน ทั้งนี้สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย
ได้แนะนำให้ฉีดวัคซีนเอชพีวีในเด็กหญิงอายุ 11 - 12 ปี
ความเชื่อ : วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกเหรอ ฉีดชนิดไหนก็เหมือนกันแหละ ประสิทธิภาพในการป้องกัน
มะเร็งคงไม่แตกต่างกันหรอก
ความจริง : ปัจจุบันมีวัคซีนในตลาด 2 ชนิด ซึ่งสามารถป้องกันเชื้อเอชพีวีสายพันธุ์ 16 และ 18 ซึ่งเป็น
สาเหตุของมะเร็งปากมดลูกส่วนใหญ่ถึง 70%
ความเชื่อ : ฉีดวัคซีนแล้วไม่จำเป็นต้องตรวจภายในแล้วล่ะ
ความจริง : วัคซีนเอชพีวีสามารถป้องกันการติดเชื้อเอชพีวีสายพันธุ์ 16 และ 18 ได้เกือบ 100% ในผู้ที่ยัง
ไม่เคยติดเชื้อชนิดนั้นมาก่อน แต่อย่างไรก็ตามมะเร็งปากมดลูกอาจเกิดการติดเชื้อเอชพีวีสายพันธุ์อื่น
ได้เช่นกัน ดังนั้น ผู้หญิงจึงควรตรวจภายใน (แป๊ปสเมียร์) อยู่เสมอ