แน่นอนค่ะ การพัฒนาบุคลิกภาพนั้น พูดแบบไม่เป็นทางการก็คือ การเพิ่มความดูดี มีคุณค่า มีสติปัญญา และมีเสน่ห์ดึงดูดใจให้แก่ตัวเองนั่นเอง และคำว่าเสน่ห์ดึงดูดใจ พูดให้ง่ายขึ้นก็คือ “น่ารัก” นั่นเอง
ความน่ารักเกิดขึ้นได้หลายทางค่ะ ทั้งจากการแต่งหน้า แต่งกาย ทรงผม และเครื่องประดับ น่ารักในยามพูดจา น่ารักที่กิริยามารยาท หรืออากัปกิริยาช่างน่ารัก นี่ยังไม่รวมนิสัยใจคอและมารยาทที่ดีนะคะ
ใครอยากเพิ่มความน่ารักให้แก่ตัวเอง โปรดลงมือทำสิ่งต่อไปนี้
1.อย่าปล่อยเนื้อปล่อยตัว
คนน่ารัก ไม่ได้แปลว่าเขาต้องสวยเริดหรือหล่อขั้นเทพ (อย่างที่คนสมัยนี้ชอบพูดกัน) แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าปล่อยเนื้อปล่อยตัวอย่างไรก็ได้นะคะ ต้องรู้จักดูแลความดูดีของตัวเองด้วย เพราะเป็นต้นทุนหรือต้นทางของความน่ารัก แม้หน้าตาไม่สวยหล่ออย่างสมบูรณ์แบบ แต่หากมีความเกลี้ยงเกลา ผุดผาด สะอาด และดูสุขภาพดี ก็ย่อมเป็นที่สะดุดตาน่ามองแล้วค่ะ ดูแลรูปร่างให้ได้ชื่อว่า “หุ่นดี” เข้าไว้ ได้แต้มเป็นต่อมาเกินครึ่งแล้วค่ะ
จากนั้นปรับปรุงทรงผมให้เข้ากับรูปหน้าและยุคสมัย ใช้การแต่งกายมาเสริมความน่ารัก โดยเฉพาะเสื้อผ้ากับเครื่องประดับต่างๆ หากเลือกได้อย่างเหมาะสมก็ช่วยเพิ่มความน่ามองและน่าประทับใจได้อีกด้วย
สุภาพสตรีโปรดแต่งหน้าเพื่อความเรียบเนียนและสวยงาม โดยใช้สีที่ใกล้เคียงกับธรรมชาติให้มากที่สุด คือไม่แต่งหน้าจัดจนกลบความผุดผาดตามธรรมชาติไปหมด แต่เคล็ดลับก็คือ เน้นสิ่งที่สวยที่สุดบนใบหน้าให้เด่นเด้งขึ้นมา เช่น หากรู้ว่าตาสวย จงแต่งตาให้ยิ่งสวย จะด้วยอายแชโดว์เพิ่มความคมโตน่ามองของดวงตา กรีดอายไลเนอร์เสียหน่อยเพื่อความโฉบเฉี่ยว หรือจะติดขนตาปลอมที่ดูเป็นธรรมชาติเข้าไปด้วยก็ย่อมได้ แต่ต้องไม่รุงรังหรือดูปรุงแต่งมากนัก
หากจมูกสวยอยู่แล้ว ก็เพิ่มความเด่นด้วยเฉดดิงกับไลต์ให้จมูกยิ่งโด่งและเด่นขึ้น ซึ่งอย่าลงหนักมือนักนะคะ ยึดความเป็นธรรมชาติเข้าไว้ หรือถ้ามีปากสวย ก็เลือกลิปสติกสีสวย กลมกลืนกับเสื้อผ้าหน้าผมในวันนั้นมาทาลงไป จะให้ดูเอิบอิ่มเพราะความมันวาว ดูเป็นธรรมชาติ หรือมีสีสันหน่อยก็สุดแท้แต่รสนิยมและกาลเทศะค่ะ
ที่สำคัญคือกลิ่นกาย หากมีกลิ่นหอมอ่อนๆ โชยมาเตะจมูกยามที่อยู่ใกล้ๆ ก็รู้สึกน่าประทับใจนะคะ เมื่อเทียบกับกลิ่นตัว กลิ่นปาก หรือกลิ่นอับของเสื้อผ้าแล้ว ต้องนับว่าให้ผลลัพธ์กันคนละเรื่องเลยทีเดียว เลือกน้ำหอมกลิ่นที่สอดคล้องกับบุคลิกของคุณ หรือง่ายที่สุด เลือกกลิ่นที่คุณชอบ ซึ่งหมายถึงกลิ่นที่คุณอยากให้คนอื่นรู้สึกว่าเป็นกลิ่นกายของคุณนั่นเอง ฉีดตามจุดสำคัญๆ พอประมาณ เพื่อให้ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ อย่าให้มากจนหอมฉุน เพราะเมื่อกลิ่นจางลง เราสามารถฉีดเพิ่มได้ค่ะ
ที่หลายคนไม่ค่อยระวังก็คือ กลิ่นเท้า โดยเฉพาะสุภาพบุรุษทั้งหลาย กลิ่นเท้าก็ดี กลิ่นถุงเท้าก็ดี กลิ่นรองเท้าก็ดี บางทีพร้อมใจกันโชยออกมาจนต้องเบือนหน้าหนี เท้ามักเป็นจุดที่ผู้คนละเลยค่ะ ควรหมั่นตัดเล็บเท้าให้สั้น สะอาด ทำความสะอาดเท้าทุกวัน และตรวจดูว่าตัวเองเป็น “โรคเท้าเหม็น” หรือไม่ หากเป็นจะได้ทำการรักษาให้ทุเลาลง
2.พูดจาให้น่ารัก
พูดด้วยน้ำเสียงไพเราะเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องดัดเสียง ไม่ต้องทำเสียงสูงเสียงต่ำเหมือนดีเจ ไม่ต้องทำเสียงแอ๊บแบ๊วหรือเสียงขึ้นจมูกเหมือนนางเอกละครโทรทัศน์ ไม่ทำเสียงแปร๋นเหมือนนางร้าย รวมทั้งไม่ต้องเสียงดังเพื่อเรียกร้องความสนใจเหมือนตัวตลก หรือตัวตามนางทั้งหลายในจอโทรทัศน์ แต่พูดอย่างที่มนุษย์ธรรมดาสามัญทั่วไปเขาพูดกัน พูดจากความรู้สึกจริงๆ จริงใจ แจ่มใส และสุภาพ พูดด้วยจังหวะที่ไม่ช้าหรือเร็วเกินไป เสียงดังพอเหมาะแก่การฟัง มีหางเสียง ค่ะ ครับ ทุกครั้งที่สนทนา ยกเว้นเพื่อนสนิทจริงๆ ที่เขาไม่ต้องการหางเสียงเหล่านี้ พูดให้ชัดเจน ถูกอักขรวิธี ร.เรือ ล.ลิง คำควบกล้ำ วรรคตอน ต้องถูกต้องเพื่อให้การสื่อสารไม่ผิดพลาด และต้องพูดให้รื่นหูคน
ที่สำคัญพูดแล้วต้องมีประเด็น ไม่ใช่พูดเรื่อยเปื่อย หรือพูดเพียงเพื่อจะรักษามารยาท จนคู่สนทนารู้สึกได้ การพูดไม่ว่าสั้นหรือยาว เป็นทางการหรือไม่เป็นทางการ ต้องมีประเด็นหรือมีเป้าหมายในการพูด เช่น พูดเพื่อให้สบายใจ พูดเพื่อแสดงความเป็นกันเอง ลดความประหม่าตื่นเต้นหรือความรู้สึกแปลกหน้า แปลกที่ ให้แก่อีกฝ่ายหนึ่ง พูดเชิญชวน พูดจูงใจ พูดเพื่อบอกกล่าวเรื่องหนึ่งเรื่องใด หรือแม้แต่พูดเพื่อให้คนฟังสนุก เหล่านี้ล้วนเป็นเป้าหมายของการพูด ซึ่งจะทำให้การพูดแต่ละครั้งมีคุณค่า เหมาะสมแก่กาลเทศะนั้นๆ และคนฟังไม่เบื่อ ไม่รำคาญ จนกระทั่งรู้สึกดีใจ สุขใจ หรือได้ประโยชน์จากการฟังได้ยิ่งดีค่ะ
3.มีท่าทีที่น่ารัก
ท่าทีที่น่ารักก็คือ ความสุภาพ ผ่อนคลาย ให้เกียรติ ไม่เหยียดหยามด้วยสีหน้า แววตา คำพูด หรือภาษากายอื่นๆ เช่น ยืนกอดอกด้วยท่าทีระวังตัว จ้องตาเขม็ง มองตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า หรือทำประหนึ่งว่าเขาเป็นอากาศธาตุ ไม่มีตัวตน หรือมองด้วยหางตาอย่างหมิ่นแคลน เหล่านี้เป็นต้น
คนยิ้มแย้มแจ่มใส ดูจริงใจ และเป็นมิตร จะมีแรงดึงดูดให้คนเข้าหา เขาจะสัมผัสได้ถึงความปลอดภัย ความเป็นกันเอง การเปิดกว้าง และการให้เกียรติที่คุณสื่อสารผ่านท่าทาง เขาจะรู้สึกผ่อนคลายเมื่ออยู่ใกล้คุณ สบายใจและสุขใจที่จะสนทนาด้วย และจดจำได้ว่าคุณน่ารักแค่ไหน
4.มีจิตใจที่น่ารัก
ไม่เย่อหยิ่งจองหองมองคนอื่นด้วยความรังเกียจเหยียดหยาม แต่จงมีจิตใจที่กว้างขวาง ที่สามารถคบหาคนทุกเพศ ทุกวัย ทุกฐานะ และทุกอาชีพด้วยความบริสุทธิ์ใจ
มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และปรารถนาดีต่อผู้อื่นอยู่เสมอ นั่นรวมถึงความซื่อสัตย์และความไว้ใจได้ ซึ่งจะทำให้คนอื่นคบหาเราด้วยความจริงใจและให้เกียรติเช่นเดียวกัน
จิตใจที่ดีจะส่งผ่านการกระทำที่น่ารัก เช่น ยิ้มหวาน รู้จักทักทาย กล่าวคำขอบคุณ ขอโทษ คิดถึง เป็นห่วง และรัก ได้อย่างเต็มใจ จริงใจ และน่าประทับใจ
ต้องเคารพและให้เกียรติเพื่อนมนุษย์ ซึ่งในความเป็นมนุษย์ ไม่มีใครต่ำต้อยหรือสูงส่งไปกว่ากัน ทุกคนรู้ร้อนรู้หนาว รู้สุขรู้ทุกข์ และปรารถนาที่จะได้รับการปฏิบัติที่ดีจากผู้อื่นเหมือนๆ กันหมด อยากให้คนอื่นปฏิบัติต่อเราอย่างไร จงปฏิบัติต่อเขาเช่นนั้นก่อนเสมอ
5.มีธรรมชาติและมารยาทที่น่ารัก
ในที่สาธารณะก็รู้จักวางตัว ในที่ส่วนตัวก็มีความเป็นกันเอง สงบ และสำรวมได้ พูดง่ายๆ ว่าเป็นคนรู้กาลเทศะ และเป็นเช่นนั้นเสมอในทุกๆ ที่
เจอผู้ใหญ่ก็ยกมื้อไหว้ ทักทาย ยิ้มแย้มแจ่มใส เดินผ่านผู้ใหญ่ก็สำรวม เก็บอาการ และให้เกียรติ ไม่ยืนค้ำหัวผู้ใหญ่ ไม่แซงคิวคนอื่น ไม่ส่งเสียงดังรบกวนผู้อื่น ใช้สมบัติสาธารณะอย่างระมัดระวัง ไม่ใช้ของทิ้งๆ ขว้างๆ ไม่ทิ้งขยะเรี่ยราด รู้จักประหยัด อดออม ห่วงใย สนใจ และดูแลสิ่งแวดล้อม ฯลฯ เหล่านี้คือธรรมชาติที่บางทีเราไม่รู้ตัว แต่คนที่ได้รับการขัดเกลามาดี แม้ไม่รู้ตัว ก็ยังแสดงออกในสิ่งเหล่านี้ได้อย่างน่ารักเสมอ
อยากเป็นคนน่ารัก อย่าเพียงแค่อ่านเพลินๆ นะคะ อะไรที่ยังขาดหายไป ลองไปเพิ่มเติมให้แก่ตัวเองด้วยการลงมือฝึกฝนและปฏิบัติ แล้วคอยสังเกตนะคะ ว่าคุณเป็นที่รักของใครต่อใครมากขึ้นหรือเปล่า มีคนชื่นชมคุณมากขึ้นหรือเปล่า
ไม่ทำก็ไม่รู้หรอกค่ะ ฉะนั้น ลงมือเสียตั้งแต่วันนี้นะคะ ขอให้โชคดี เป็นที่ชื่นชมและที่รักของคนทุกคนนะคะ