"อาถรรพณ์" จากความมหัศจรรย์ของสถานที่หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นหนึ่งในสิ่งลี้ลับที่ผู้คนให้ความสนใจไม่น้อย ในเรื่องของอาถรรพณ์อันเกี่ยวกับ ฮวงจุ้ย มีสถานที่หนึ่งของเมืองไทยที่ผู้เขียนได้ไปค้นหาและนำเรื่องราวมาเล่าสู่กันฟังที่นั
่นคือ ศาลเจ้าพ่อสิงโตทอง ภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ตั้งอยู่ริมน้ำเจ้าพระยา เป็นศาลคอนกรีตขนาดกลาง ภายในเป็นที่ตั้งของสิงโตหิน ศิลปะแบบจีน เหมือนตุ๊กตาหินจีนที่ตั้งอยู่ตามวัดพระเชตุพนฯ หรือวัดอรุณราชวรารามเพียงต่างกันที่สิงโตหินตัวนี้ได้ผ่านพิธีการทางไสยศาสตร์ปลุกเ
สกลงยันต์เพื่อให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ บันดาลอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์
มีเรื่องเล่าเมื่อหลายสิบปีก่อนถึงความศักดิ์สิทธิ์ของ เจ้าพ่อสิงโตทอง ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดังนี้ว่ามีอภินิหารนัก ทุกปีจะต้องมีเด็กจมน้ำตายสังเวยเจ้าพ่อไม่ต่ำกว่า 1 คน ชาวบ้านแถวริมน้ำเจ้าพระยาเชื่อกันว่า ท่านต้องการเอาตัวไปเป็นบริวาร ความเป็นมาของ สิงโตหิน นี้เป็นอย่างไรมาตั้งอยู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ตั้งแต่เมื่อไหร่ เรื่องนี้เป็นเรื่องเก่าแก่โบร่ำโบราณ ที่ปัจจุบันไม่ใคร่จะมีใครรู้ประวัติ หรือจำรายละเอียดในที่มาของสิงโตหินตัวนี้ได้
คนเก่าแก่ละแวกริมแม่น้ำเจ้าพระยา เล่าว่าความจริงแล้วสิงโตหินที่เห็นนี้เป็นหนึ่งในสามของสิงโตหินที่จมอยู่ใต้แม่น้ำ
เจ้าพระยา บริเวณปากคลองบางกอกน้อย แต่ได้ถูกนำขึ้นมาสักการะที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 1 ตัว โดยสิงโตหินที่อยู่ใต้น้ำอีก 2 ตัวนั้น ตัวหนึ่งมีขนาดเท่ากับสิงโตหินในธรรมศาสตร์ แต่อีกตัวมีขนาดใหญ่กว่า ซึ่งสันนิษฐานว่าคงเป็นแม่สิงโตกับลูกสิงโต 2 ตัว จึงมีเรื่องเล่าลือกันว่าเคยมีคนได้ยินเสียงร้องของสิงโตตัวลูกในมหาวิทยาลัยธรรมศาส
ตร์ ร้องหาแม่สิงโตและสิงโตตัวเล็กอีกตัวที่อยู่ใต้น้ำ ความที่ได้แสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ให้คนเห็นอยู่บ่อยๆ จึงต้องทำการสร้างศาลให้โดยเรียกศาลนี้ว่า ศาลเจ้าพ่อสิงโตทอง เพื่อให้ชาวธรรมศาสตร์และประชาชนที่สัญจรไปมาทางน้ำหรือผู้ประกอบอาชีพในแม่น้ำเจ้าพ
ระยาได้มาสักการะขอความคุ้มครองให้ปลอดภัยหรือบนบานขอในเรื่องอื่น
ว่ากันว่าสิงโตหินทั้ง 3 ตัวนี้ ใช้แก้อาถรรพณ์ฮวงจุ้ยของ วังหน้า ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ซึ่งวังหน้าในสมัยรัตนโกสินทร์นั้นมี
1. กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท พระอนุชาในรัชกาลที่ 1
2. กรมพระราชวังบวรมหาเสนารักษ์ พระอนุชาในรัชกาลที่ 2
3. กรมพระราชวังบวรราชเจ้ามหาศักดิ์พลเสพ พระปิตุลาในรัชกาลที่ 3
4. พระบาทสมเด็จพระปรเมนทราเมศ มหิศเรศรังสรรค์ พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว พระอนุชาในรัชกาลที่ 4
5. กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
ตำแหน่ง วังหน้า มีความสำคัญในสมัยรัตนโกสินทร์ด้วยความที่มีอำนาจราชศักดิ์รองลงมาจากพระมหากษัตริย์
ที่ตั้งของ วังหน้า จะอยู่ไม่ไกลจาก วังหลัง ซึ่งเป็นที่ประทับของพระเจ้าแผ่นดินนักซึ่งในอดีตวังหลวงนั้นอยู่ภายในพระบรมมหาราชว
ัง ซึ่งมีอาณาเขตติดต่อกับวัดพระแก้ว วังหน้าหรือตำแหน่ง กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ได้ถูกยกเลิกลงในสมัยรัชกาลที่ 5 พ.ศ.2430 และเมื่อพระราชวังบวรสถานมงคลหรือวังหน้าไม่ได้ใช้ประโยชน์ รัชกาลที่ 5 จึงโปรดฯพระราชทานให้เป็นที่ตั้งพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติมาจนถึงปัจจุบัน
สำหรับ วังหน้า ที่เกี่ยวข้องกับสิงโตหินจีนทั้ง 3 ตัว นี้ก็คือ กรมพระราชวังบวรมหาศักดิ์พลเสพ ซึ่งเรื่องราวนั้นมีอยู่ว่าในสมัยที่ กรมพระราชวังบวรราชเจ้ามหาศักดิ์พลเสพ ดำรงตำแหน่งกรมพระราชวังบวรฯในสมัยรัชกาลที่ 3 ก็ได้มีผู้กราบบังคมทูลว่า พระราชมณเฑียรในพระราชวังบวรสถานมงคลนั้นอยู่ตรงกับปากคลองบางกอกน้อยและเป็นปากทาง 3 แพร่ง ซึ่งตามหลักฮวงจุ้ยในตำราจีนถือว่าไม่ดีจะมีแต่เรื่องวุ่นวาย ต้องแก้เคล็ดโดยทำรูปสิงโตคาบกั้นหยั่นไปติดไว้ที่ริมน้ำหันหน้าไปสู่ปากคลองเพื่อต่
อสู้กับสิ่งชั่วร้ายที่จะเข้ามาในพระราชวัง
ซึ่งเครื่องรางรูปสิงโตคาบกั้นหยั่นของจีนนี้ นับแต่ครั้งโบราณถึงปัจจุบันก็เป็นที่นิยมใช้สำหรับแก้อาถรรพณ์ฮวงจุ้ยของสถานที่อยู
่อาศัย หรือที่ทำงาน โดยคนจีนถือว่าเป็นเครื่องรางของขลังสำหรับปราบมาร หรือสิ่งไม่ดี ให้ออกไปและบันดาลโชคลาภมาให้ จึงนิยมหามาติดไว้โดยเฉพาะหน้าบ้านหรือที่ทำงานที่อยู่ใกล้ทาง 3 แพร่ง หรือมีบ้านที่หน้าจั่วบ้านอื่นหันมาตรงกับบ้านเรา บ้านที่มีเสาไฟฟ้าตรงกับหน้าบ้านและบ้านที่มีเจ้าที่เจ้าทางแรง เป็นต้น
ส่วนอาถรรพณ์ภายในวังหน้าเมื่อมีผู้กราบบังคมทูล เช่นนั้น กรมพระราชวังบวรราชเจ้ามหาศักดิ์พลเสพ ทรงเห็นว่าหากนำป้ายรูปสิงโตคาบกั้นหยั่นไปติดไว้จะไม่เหมาะสม พระองค์จึงได้สั่งให้นำสิงโตหินมาจากเมืองจีน 3 ตัว เพื่อทำพิธีทางไสยศาสตร์มีการปลุกเสกและลงยันต์ ทำพิธีตามธรรมเนียมจีน เสร็จแล้วจึงนำลงไปไว้ในแม่น้ำเจ้าพระยาหันหน้าตรงปากคลองบางกอกน้อย (บางข้อมูลก็ว่านำไปตั้งไว้ริมน้ำเจ้าพระยา แต่ต่อมาถูกกระแสน้ำกัดเซาะตลิ่งลงไปเรื่อยๆ สิงโตทั้งสามจึงร่วงหล่นไปอยู่ใต้น้ำ) กระทั่งต่อมาได้มีผู้นำสิงโตตัวเล็ก 1 ใน 2 ตัว ขึ้นมาตั้งไว้ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ และสร้างศาลให้เป็นที่สักการะบูชา ส่วนสิงโตตัวใหญ่และตัวเล็กอีก 1 ตัว นั้นได้มีนักประดาน้ำดำลงไปดูยังเห็นว่าคงอยู่ในตำแหน่งเดิม เพียงแต่มีตะไคร่น้ำเกาะอยู่หนาเตอะ
นี่ก็เป็นที่มาของการแก้อาถรรพณ์ในรั้ววัง ซึ่งทำให้รู้ว่าในสมัยโบราณผู้คนและเจ้านายในยุคนั้นก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อยู่
ไม่น้อย หลักฐานนั้นก็ยังมีให้เห็นอยู่ทุกวันนี้