นอกจากชาวอียิปต์จะใช้แมวจับหนูในโรงนาแล้ว ยังใช้แมวจับหนูบนเรือสินค้าอีกด้วย ตรงจุดนี้ เลยเกิดความเชื่อว่า เมื่อเรือเทียบท่า แมวก็ลงจากเรือ แต่ไม่ได้กลับขึ้นเรือจึงทำให้แมวขนาดพันธุ์ไปทั่วโลก
ชาวอียิปต์ โบราณนั้นนับถือแมวถึงขนาดแมวในบ้านตาย ยังต้องนำไปทำมัมมี่เลย (มัมมี่คนจะทำเฉพาะราชวงศ์และขุนนางเท่านั้น) มัมมี่แมวสามารถหาดูได้ที่พิพิธภัณฑ์ในประเทศอังกฤษ
ในเมื่อแมวเป็นสัตว์เทพเจ้าของอียิปต์โบราณ จึงมีกฎ หากใครฆ่าแมว จะต้องถูกลงโทษอย่างหนัก
พวก ที่ต้องการยึดครองอาณาจักรอียิปต์โบราณ จึงใช้วิธีชั่วร้าย "อุ้มแมวไปรบ" แล้วพวกทหารอียิปต์จะสู้ได้อย่างไร (เป็นส่วนหนึ่งของการรบอียิปต์ไม่ได้ล่มสลายเพราะแมว) แต่ถึงอียิปต์โบราณจะล่มสลายไปแล้ว ชาวอียิปต์ในสมัยก่อนยังนับถือบูชาแมวเหมือนเดิม ขนาดชาวโรมันบางคน (สมัยนั้นโรมันปกครองอียิปต์) ฆ่าแมวยังถูกพวกอียิปต์ลงโทษเลย
ต่อ มาเข้าสู่ยุคกลางในยุโรป มีความเชื่อเรื่องแม่มด และความชั่วร้ายต่างๆ ชาวยุโรปในยุคนี้กล่าวหาว่า แมวเป็นสัตว์เลี้ยงของแม่มด (โดยเฉพาะแมวดำ) ดังนั้นใครเลี้ยงแมว จะถูกประณามว่าเป็นแม่มดร้าย ยิ่งเป็นคนแก่เลี้ยงแมวยิ่งแล้วใหญ่ พวกนี้มักจะโดนเผาทั้งเป็น ทั้งคนและแมว ดังนั้นเมื่อแมวน้อยลง จึงทำให้มีหนูมากขึ้น ทำให้กาฬโรคระบาดหนักในยุโรปช่วงนั้น
ในยุคใกล้ๆกัน แถบเอเชียอย่างญี่ปุ่นกับจีน เริ่มเลี้ยงแมวกันมากขึ้นจากเดิมที่เคยเลี้ยงอยู่แล้ว และที่ญี่ปุ่นก็ยังใช้แมวเป็นสัญลักษณ์นำโชคอีกด้วย จะเห็นได้จาก "แมวกวัก" ที่ใช้กันตามร้านค้า จะใช้กวักลูกค้า หรือกวักเงินก็แล้วแต่ท่าทางของแมวตัวนั้น และที่จีนก็เชื่อว่า แมวเป็นสัตว์นำโชค เพราะว่าแมวจะเข้ามาอยู่ในบ้าน ก็ต่อเมื่อมันพอใจที่จะอยู่เท่านั้น เมื่อมันเข้ามาอยู่แล้วเจ้าของบ้าน มักจะมีโชคลาภมา
เมื่อ ชาวอียิปต์โบราณเลี้ยงแมว ก็ช่วยให้พวกเขามีอาหารการกินที่อุดมสมบูรณ์และมีพลเมืองมากพอ เพราะไม่เจ็บป่วยด้วยกาฬโรคเหมือนประเทศอื่นๆ อียิปต์จึงมีความเจริญ สามารถแผ่ขยายอาณาจักรออกไปได้กว้างใหญ่ไพศาลเป็นเวลาหลายพันปี กลายเป็นแหล่งอารยธรรมที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลก จากมูลเหตุดังกล่าว ทำให้แมวได้รับการเคารพนับถือว่า เป็นสัตว์แห่งเทพเจ้า(เทพีบาสเต็ต) เพราะชาวอียิปต์มีความเชื่อว่า แมวเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ถือว่าเป็นเทพเจ้า หรือเรียกว่า Bastet (เทพีบาสเต็ต/เทพธิดาแมว) อันมีความหมายว่า นางแห่งบาสต์(Bast) ทั้งนี้ Bast เป็นชื่อนครอันเป็นที่ประดิษฐานของเทวาลัยของแมวทั้งหลาย
เทพีบาสเต็ตเป็นเทพเจ้าผู้ประทานความรักและความสมบูรณ์ ซึ่งเป็นเทพเจ้าของแมวทั้งหลาย ซึ่งมักจะปรากฏรูปร่างดังนี้ คือ เป็นเทพที่มีศรีษะเป็นแมว ส่วนรูปร่างหน้าตานั้นจะแตกตางกันออกไป บ้างปรากฏร่างเป็นสตรี แต่มี ศรีษะเป็นแมว หรือบางครั้งก็เป็นแมวทั้งตัว เทพีบาสเต็ตเป็นหนึ่งในลูกสาวของเทพเจ้ารา(Ra) นอกจากนี้ พระองค์ทรงเป็นสัญลักษณ์แห่งแสงสว่าง ความร้อนและพลังแสงอาทิตย์
นี่คือ โฉมหน้าของเทพีบาสเต็ต ซึ่งมีลักษณะส่วนศรีษะเป็นแมว ในร่างของสตรี
ส่วนสองรูปนี้ เป็นเทพีบาสเต็ตที่มีรูปร่างเป็นแมวทั้งตัว
ใน สมัยอียิปต์โบราณนั้น หากบ้านหนึ่งๆมีแมวตาย สมาชิกทุกคนที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้น จะต้องไว้ทุกข์ด้วยการโกนคิ้วของตัวเองออก และนำซากของแมวไปทำมัมมี่เพื่อเก็บรักษาไว้ กล่าวคือ ซากแมวจะถูกพันห่อด้วยวัสดุหลากสี และจะมีหน้ากากที่แกะจากไม้ครอบหน้าของแมวเอาไว้ แต่บางทีก็ถูกห่อหุ้มด้วยเส้นฟางสาน แล้วนำไปฝังในสุสานใกล้โบสถ์ Bast ณ เมืองบูบาสติส ซึ่งสุสานแห่งนี้ นักโบราณคดีเคยค้นพบมัมมี่แมวมากกว่า 300,000 ตัว
ใน ทุก ๆ ฤดูใบไม้ผลิ จะมีผู้คนนับครึ่งล้านต่างมุ่งหน้าไปชุมนุมเพื่อร่วมพิธีบูชาแมว หรือที่เรียกว่า พิธี Bastet ซึ่งในแต่ละครั้งจะมีมัมมี่แมวนับ 100,000 ตัว ถูกฝังเพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อเทพีบาสเต็ต ผู้เป็นเทพแห่งแมว โดยชาวเมืองจะนำเนื้อสัตว์ น้ำผึ้งและผลไม้ มีสาวงามที่ประดับดอกไม้บนศรีษะ ออกมาร้องเพลงร่ายรำถวายเทพเจ้า พิธีดังกล่าวเป็นที่นิยมอยู่นับเป็นเวลานานถึง 2,000 ปีจนกระทั่งถูกห้ามอย่างเป็นทางการ ในปี ค.ศ. 390ซึ่งเป็นช่วงที่พิธีเสื่อมความนิยมลงไปมากแล้ว
ส่วนรูปนี้เป็นรูปมัมมี่แมว (เอามาฝากสำหรับแฟนๆแมวทั้งหลาย)
จะเห็นได้ว่า ความเชื่อที่ชาวอียิปต์มีต่อแมวนั้น เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงเกียรติภูมิที่มนุษย์มีให้กับแมวในอารยธรรม โบราณอย่างอียิปต์ ทำให้แมวได้กลายเป็นหนึ่งในเทพเจ้าทั้งหลายของชนชาติอียิปต์
ป.ล. เป็นยังไงบ้าง ท่านผู้อ่านที่มีผองเพื่อนเป็นแมวทั้งหลาย แมวซึ่งสัตว์เลี้ยงของเราเป็นสัตว์เลี้ยงที่ไม่ธรรมดาจริงๆเลย