ประวัติเมืองแมนเชสเตอร ์: ทำไม แมนยู ต้องไม่ถูกกับ ลิเวอร์พูล

 

Ian Brown นักดนตรีร๊อคแห่งวง The Stone Roses เคยกล่าวไว้ว่า "Manchester's got everything except a beach"(สิ่งเดียวที่แมนเชสเตอร์ไม่มี คือ ชายหาด) อาจดูเป็นคำกล่าวที่ดูจะยกย่องแมนเชสเตอร์จนหน้าหมั่นไส้ในสายตาของคนที่ได้ยินคำพูดนี้ แต่ถ้าหากมองย้อนไปยังประวัติความยิ่งใหญ่ของเมืองที่เคยใหญ่เป็นอันดับสองของอังกฤษรองจากมหานครลอนดอน(วัดตามจำนวนประชากร) ก็อาจจะนับได้ว่าเมืองนี้นั้นยิ่งใหญ่และเป็นศูนย์กลางประวัติศาสตร์โลกเมืองหนึ่งทีเดียว

สิ่งหนึ่งที่ทำให้สามารถพูดคำกล่าวของ Ian Brown ได้อย่างเต็มปากก็คือ ความเป็นที่หนึ่งแมนเชสเตอร์ ในด้านเทคโนโลยี 
เมืองๆนี้เคยผลิตนวัตกรรม และแนวคิดใหม่ๆป้อนสู่โลกใบนี้มากมาย จนได้รับขนานนามว่า แมนเชสเตอร์ เมืองแห่งของชิ้นแรก สิ่งประดิษฐ์ที่สำคัญๆทั้งหลายที่ใช้ในชีวิตประจำวันได้ถูกคิดค้นและพัฒนาขึ้นจากเมืองนี้ ในปี 1653 ห้องสมุดประชาชนแห่งแรกในโลกได้ถือกำเนิดขึ้นในเมืองนี้ (ปัจจุบันก็ยังเปิดให้บริการอยู่ สร้างมาเกือบ 400 แล้ว ดูภายนอกยังกะวังขลังน่าดู ว่าจะเข้าๆไปลองอ่านหนังสือเล่นดู จนปีกว่าแล้ว ก็ยังไม่ได้เข้าไปซักที) ในปี 1836 สถานี และรางรถไฟที่ใช้งานจริงได้ถูกสร้างขึ้นใช้งานที่เมืองนี้เป็นที่แรกของโลก ถัดมาอีกสามสิบปี เมืองนี้ได้ก่อตั้ง Trade Union เป็นที่แรกของโลก ไล่เลี่ยกับการกำเนิดรถยนต์สุดหรู "โรสรอยด์" ยี่ห้อชื่อดัง ความภูมิใจของคนอังกฤษ เป็นครั้งแรกของโลกที่นี่อีกด้วย ในปี 1948 มหาวิทยาลัยในแมนเชสเตอร์ ได้สร้าง Manchester Mark I ซึ่งถือได้ว่าเป็นเครื่องจักรที่เรียกว่าคอมพิวเตอร์ได้เป็นแห่งแรกของโลก นอกจากนี้ยังเป็นเมืองแรกของโลกที่ต่อต้านการใช้อาวุธนิวเคลีย เป็นเมืองแรกที่พัฒนาเทคโนโลยีผสมเทียม และ ยังเป็นเมืองเดียวในอังกฤษ ที่มีหนังสือเกี่ยวกับลัทธิ คอมมิวนิสต์ ให้อ่าน ในช่วงที่อังกฤษ กีดกัน ลัทธิคอมมิวนิสต์ อย่างรุนแรง

นอกจากเป็นเมืองที่กำเนิดสิ่งประดิษฐ์ สำคัญๆของโลกหลายอย่างแล้ว เมืองๆนี้ยังมีประวัติศาสตร์อันยาวนานอีกด้วย 

เมืองแมนเชสเตอร์ ถูกค้นพบโดย ชาวโรมัน ที่เรียกตัวเองว่า MAMUCIAM เมื่อเกือบสองพันปีที่แล้ว และ พวกเขา ได้ตั้งชื่อดินแดนแห่งนี้ว่า "GIULIO AGRICOLA" ทั้งยังสร้างประสาทไว้ในเมืองแห่งนี้ด้วย แต่แล้ว พวก MAMUCIAM ก็ละทิ้งเมืองๆนี้ และปราสาทที่พวกตนสร้างไป โดยไม่ทราบสาเหตุ หลังจากตั้งรกรากกันได้ประมาณสี่ร้อยปี หลังจากนั้นอีกยี่สิบปี ชาวเยอร์มันที่เรียกตัวเองว่า SAXON ก็ได้เข้ามาพบดินแดนแห่งนี้ แล้วตั้งชื่อดินแดนแห่งนี้ขึ้นใหม่ว่า "MANIGCEASTRE"(มานิเดียอาสเตอร์) และหลังจากนั้นอีกสามร้อยปี พวก SAXON ก็ได้สร้างโบสถ์ประจำเมืองเป็นครั้งแรก ซึ่งมีลักษณะการออกแบบ ค่อนข้างแปลกว่าที่อื่นในสมัยนั้น แมนเชสเตอร์ในตอนนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของ เมือง Northumbria(ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ นิวคาสเซิล) ในปี ค.ศ. 870 ดินแดนแห่งนี้ได้ถูกยึกโดยชาวเดนมาร์ค แต่หลังจากนั้น เพียงไม่ถึงร้อยปี พวก SAXON ก็ได้กลับมายึดดินแดนของตนเองคืน และเปลี่ยนชื่อดินแดนแห่งนี้เป็น "MAMECEASTRE"(แมมิแคสเตอร์) และได้ย้ายเมืองหลวงของดินแดนทางเหนือมาอยู่ที่แมนเชสเตอร์ แต่แล้วอีกร้อยปีถัดมา ดินแดนแห่งนี้ก็ถูกเปลี่ยนมือ โดยชาว NORMAN จากฝรั่งเศษ และ ราชาวิลเลี่ยมที่หนึ่งซึ่งเป็นชาวนอร์แมน ก็ได้สถาปนาเมือง Salford ขึ้นเป็นหัวเมืองหลัก ควบคุมดูแล และเก็บภาษี เมืองแมนเชสเตอร์ และดินแดนโดยรอบ อีกสามร้อยปีถัดมา เมืองนี้ได้นำเข้าวัตุดิบและเทนโนโลยีสิ่งทอจากเบลเยียมเข้ามา และ กลายเป็นเมืองอันดับหนึ่งของอังกฤษในด้านสิ่งทอตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา 
ในปี 1455 ได้เกิดสงครามกลางเมืองของอังกฤษขึ้น ระหว่างฝ่ายกุลาบขาว(york) และ กุลาบแดง(Lancaster) เมืองแมนเชสเตอร์เข้าร่วมเป็นหัวเมืองหลักให้กับฝ่าย Lancaster ซึ่งมีลอนดอนเป็นเมืองหลวงของ Lancaster ในขณะนั้น และเป็นฝ่ายกุมชัยชนะ ต่อต้านฝ่าย Yorkshire ไม่ให้ลงมาทางใต้ได้ เมืองแมนเชสเตอร์จึงได้เป็นเมืองที่ได้รับยกย่อง และมีชื่อเสียงอย่างมากในขณะนั้น และในช่วง ค.ศ. 1700 แมนเชสเตอร์ได้กลายเป็นเมืองศูนย์กลางสิ่งทอของโลกอย่างเต็มตัว และช่วงนั้นเองที่เป็นช่วงที่เมืองแมนเชสเตอร์ขัดแย้งกับเมืองลิเวอร์พูล ทำให้เกิดการหมั่นไส้กันและกัน จนลามมาถึงเรื่องฟุตบอลจนถึงทุกวันนี้ 

เรื่องของการไม่ถูกกันของสองเมืองนี้มาจากการที่แมนเชสเตอร์ในตอนนั้นไกลายเป็นเมืองอุตสาหกรรมหลักของโลกไปแล้ว แต่การจะขนส่ง และนำเข้าสินค้า และวัตถุดิบนั้น จำเป็นจะต้องนำเข้าผ่านจากทางเมืองลิเวอร์พูล ซึ่งเป็นเมืองท่าหลักของประเทศอังกฤษ เนื่องจากเมืองแมนเชสเตอรืไม่มีพื้นที่ติดทะเล เนื่องด้วยไม่มีทางเลือก เมืองลิเวอร์พูลจึงมักขึ้น และเก็บภาษีค่าผ่านทางแพงๆ อยู่เสมอ จึงทำให้คนแมนเชสเตอร์ไม่พอใจ คนแมนเชสเตอร์จึงได้ทำการขึดคลองลงทะเลขึ้นมาอีกอัน เพื่อเลี่ยงการเสียค่าผ่านทางและค่าท่าเรือ ทำให้คนลิเวอร์พูลไม่พอใจเช่นกัน จึงเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการหมั่นไส้กันของทั้งสองเมือง และเนื่องจากการค้า และการขนส่งอันรุ่งในช่วงยุคทองของทั้งสองเมืองนี้ ทางรถไฟสาธารณะแห่งแรกของโลกก้ได้ถือกำเนิดขึ้น โดยเดินทางจากลิเวอร์พูลมาเป็น แมนเชสเตอร์ เป็นเที่ยวแรกของโลก โดยได้มีการเถียงกันว่า ตกลง เมืองไหน ได้เป็นเมืองแรกที่มีทางรถไฟสายแรกของโลก โดยที่ลิเวอร์พูลอ้างว่าเป็นของตน เพราะเริ่มต้นเดินทางที่ลิเวอร์พูล แต่ ชานชลา อยู่ที่แมนเชสเตอร์ ซึ่งเหตุการณ์นี้ คนแมนเชสเตอร์ แซวคนลิเวอร์พูลว่า 'ที่เค้าเดินทางจากลิเวอร์พูลมาแมนเชสเตอร์เป็นเที่ยวแรก ก็เพราะเมืองลิเวอร์พูล"ห่วย"ใครๆก็อยากหนีจากเมืองมาอยู่แมนเชสเตอร์กันทั้งนั้น ' ในปี 1820 มีบริษัทอเมริกัน มาตั้งที่เมือง Trafford ในแมนเชสเตอร์กว่าสี่ร้อยบริษัท ในปี 1950 ผ้าฝ้ายกว่า 65% ของโลก ทอมาจากเมืองแมนเชสเตอร์ เมืองแมนเชสเตอร์มาพังครั้งแรกในช่วงสงคามโลกครั้งที่สอง สิ่งก่อสร้างเกือบ 70% ถูกทำลาย ในปี 1975 เมืองแมนเชสเตอร์ เป็นเมืองที่มีจำนวนนักศึกษามหาวิทยาลัยมากที่สุดในยุโรป และ เป็นเมืองอันดับต้นๆของอังกฤษในเรื่องการศึกษา ในช่วงนั้นเมือง Salford ได้สร้างท่าเรือสำหรับเรือสินค้าขนาดใหญ่ ซึ่งปัจจุบันคือ Salford Quey แหล่งท่องเที่ยวที่สวยที่สุดในเมือง Salford กลายเป็นย่านการค้าที่โดงดังที่สุด และกลายเป็นเมืองที่รวยที่สุดในอังกฤษในช่วงนั้น แมนเชสเตอร์มาตกต่ำเมื่ออังกฤษยกเลิกนโยบายการอุตสาหกรรม และ เมือง Salford ในช่วงนั้น กลายเป็นเมืองที่จนที่สุดในอังกฤษ และคนกว่าครึ่ง ย้ายถิ่นฐานออกจากแมนเชสเตอร์ ในปี 1996 แมนเชสเตอร์ถูกวางระเบิด โดยกลุ่ม IRA ทำให้สิ่งก่อสร้างตรงใจกลางเมืองหายไปแถบหนึ่ง (บางคนบอกว่าเทศมนตรีวางระเบิดเองหรือเปล่า เพราะหลังจากระเบิด ก็ได้ก่อสร้างเป็นย่านช๊อปปิ้งแทน ซึ่งทำให้เศรษฐกิจของเมืองดีขึ้นพอสมควร

เพิ่มเติม:
เหตุการณ์ที่เปลี่ยนระบบการเมืองของอังกฤษ และของโลกครั้งสำคัญ เกิดขึ้นที่แมนเชสเตอร์ คือ เหตุการณ์ THE PETERLOO MASSACRE เกิดขึ้นเนื่องจากหลังสงครามกับ นโปเลียน อังกฤษเศรษฐกิจตกต่ำผู้คนตกงาน ชนชั้นแรงงาน ที่ไม่มีสิทธิ มีเสียง ในการเลือกตั้งได้รวมตัวกันประท้วงที่แมนเชสเตอร์ กว่า 60,000 คน รัฐบาลอังกฤษในตอนนั้นได้ส่งทหารม้าพร้อมดาบ ไปยุติผู้ชุมนุม ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 11-18 คน และบาทเจ็บ 400-700 คน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในอังกฤษครั้งใหญ่ และ ทำให้ผู้คนชั้นรากหญ้ามีสิทธิมีเสียงทางการเมืองมากขึ้น

Emmeline Pankhurst ผู้ต่อสู้ใหญ่ผู้หญิงมีสิทธิในการออกเสียเลือกตั้ง ได้ศึกษาเล่าเรียน และเริ่มต้นแนวคิด และแนวทางการประท้วงที่แมนเชสเตอร์ ก่อนจะเดินทางไปลอนดอน สี่สิบปีให้หลัง การประท้วงชนะ เป็นครั้งแรกที่มีการให้ผู้หญิงมีสิทธิเลือกตั้ง แต่ต้องมีอายุเกิน 30 ปีขึ้นไป อีกแปดเดือนให้หลัง ผู้หญิงมีสิทธิในการเลือกตั้งเท่าเทียมกับผู้ชายทุกประการ Emmeline หลับอย่างสงบสิบปีให้หลัง บ้านของ Emmeline Pankhurst ที่แมนเชสเตอร์ ปัจจุบันเปิดเป็นมิวเซียม ให้คนเข้าชม 


http://www.lovevalley.multiply.com



Credit: http://www.premierfanclub.com/php/showthread.php?tid=7951
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...