“หมอน้ำ” ธาราแห่งรัก
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน
5 พฤศจิกายน 2553 23:45 น.
คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
เลียนแบบท่าทางเป่าปากของคุณพ่อที่คอยเตือนเวลาดื้อ
สาวลูกครึ่งไทย-เยอรมัน นัยน์ตาคม กลมโตดูมีเสน่ห์ หลายคนเรียกเธอว่า “หมอน้ำ” มากกว่า “คิมเบอร์ลี่” ชื่อจริงของเธอเสียอีก แวบแรกที่ได้เห็นเธอปรากฏกายขึ้นบนหน้าจอทีวี ก็ทำให้หลายคนเป็นปลื้มกับความน่ารัก มีเสน่ห์บวกกับความขี้เล่น แลดูเป็นธรรมชาติมากกับบทบาทของคุณหมอสาวผู้ใจดี นางเอกหน้าใหม่ของโปรเจกต์ยักษ์เพื่อฉลอง 40 ปี ช่อง 3 กับซีรีส์ “4 หัวใจแห่งขุนเขา” ตอน ธาราหิมาลัย
“คิมเบอร์ลี่ แอน โวลเทมัส เทียมศิริ” หรือ “คิม” สาวลูกครึ่งวัย 18 ปี แม้จะเป็นการรับบทนางเอกเรื่องแรก แต่ฝีมือของเธอทำให้เราได้รู้ว่าเธอมีพัฒนาการและมีแววในเรื่องการแสดงได้ดีคนหนึ่ง ในเวลานี้ชื่อของ “คิมเบอร์ลี่” กลายเป็นนางเอกอีกหนึ่งคนของวงการบันเทิงที่กำลังฮอตและเป็นที่นิยมมากที่คนอยากจะรู้จักตัวตนของเธอให้มากยิ่งขึ้น เรียกได้ว่ากลายเป็น กระแสความนิยม “คุณหมอน้ำ” กันมากทีเดียว
............................................................................................
สาวซุ่มซ่าม แสนเสน่ห์
วันนี้เรานัดพูดคุยกับ “คิมเบอร์ลี่” นางเอกหน้าใหม่ที่กำลังถูกพูดถึงและฮอตที่สุดคนหนึ่งของวงการบันเทิง การสนทนาครั้งนี้ แม้เราจะได้พูดคุยกับสาวลูกครึ่งที่สามารถพูดไทยได้ชัดถ้อยชัดคำและเป็นกันเองอย่างมาก ทว่าในเรื่องความเข้าใจเมื่อต้องตอบในคำถามยาวๆ ทำให้สาวคนนี้ต้องคิดและเรียบเรียงคำพูดเพื่อจะสื่อสารให้เราได้เข้าใจ ในความคิดของเธอได้ง่ายขึ้น
...“สวัสดีค่ะ” เสียงทักทายสำเนียงไทยฟังชัดเจนต่างจากหน้าตาของสาวลูกครึ่ง มาพร้อมกับหน้าตายิ้มแย้มที่แสนสดใส กล่าวทักทาย “คิมเบอร์ลี่ แอน โวล เทมัส” หรือ “คิมมี่” หรือ “หมอน้ำ” ที่ใครๆ ต่างก็หลงรักในความเป็นธรรมชาติทางการแสดง
เมื่อเราโยนคำถามแรกถามเธอว่า อะไรคือเสน่ห์ของคิมเบอร์ลี่? เธอตอบแกมหัวเราะ เขินที่จะบอกว่าเสน่ห์ของตนเองอยู่ตรงไหน แล้วตอบบอกว่า แท้จริงแล้วตนเป็นคนติ๊งต๊องมาก พูดไม่รู้เรื่อง ลอยๆ ซุ่มซ่าม ขี้ลืม เหม่อๆ คงเป็นเพราะที่เธอพูดมาทั้งหมดนั้นล่ะมั้งที่ทำให้ทุกคนตกหลุมรักเธอ
ท่ามกลางเสียงคำชื่นชมกับละครโปรเจกต์ยักษ์ที่ออกมาเพื่อฉลองครบรอบ 40 ปี ให้กับช่อง 3 ในซีรีส์ที่ชื่อว่า “4 หัวใจแห่งขุนเขา” ตอน “ธาราหิมาลัย” โดยเฉพาะ “หมอน้ำ” ที่เธอได้รับบท ตั้งแต่ตอนแรกมาจนถึงตอนจบของตอน ทำให้ผู้คนได้หลงรักในความมีเสน่ห์และความเป็นธรรมชาติในการแสดงมากขึ้นทุกวัน
ครอบครัวเยอรมัน วุ่นวายแต่อบอุ่น
“คิมเบอร์ลี่ แอน โวล เทมัส เทียมศิริ” หรือ “คิมเบอร์ลี่” เด็กสาวลูกครึ่งไทย-เยอรมัน วัย 18 ปี ในช่วงวัยเด็กเธอเติบโตอยู่ที่ประเทศเยอรมนี ซึ่งเป็นประเทศบ้านเกิดของผู้เป็นพ่อ เมื่อพออายุ 7-8 ปี จึงได้ย้ายมาอยู่ที่เมืองไทย พร้อมกับคุณพ่อ คุณแม่และพี่ๆ น้องๆ อีก 6 คน
คิมเป็นลูกสาวคนที่สี่ของครอบครัว โดยมีพี่ชายสองคน พี่สาวหนึ่งคน และยังมีน้องชายต่างแม่อีกสองคน รวมคิมด้วยทั้งหมด 6 คน บรรยากาศภายในบ้านจึงไม่ค่อยเงียบเหงา ติดจะวุ่นวายไปเสียด้วยซ้ำ
“พอทุกคนมาอยู่รวมตัวอยู่พร้อมหน้าหมดทุกคนจะวุ่นวายมาก เขาจะพูดภาษาเยอรมันกัน หนูก็พอฟังเข้าใจนะค่ะ แต่ว่าไม่ค่อยพูด พี่ชายจะพูดได้ เราคุยกันก็คุยกันมั่วๆ สามภาษา เยอรมัน อังกฤษ และไทย คุยกันบางทีก็ไม่รู้เรื่องอะไรแต่ก็พอเข้าใจบ้าง ยิ่งคนอื่นมาได้ยินเราคุยกันก็ยิ่งงง ว่าคุยอะไรกันอยู่ แต่เราพี่น้องจะเข้าใจกันเอง พี่ชายจะชอบแกล้ง แหย่ เล่นกับหนูเหมือนผู้ชายเลย”
เด็กหัวดื้อ ชอบเข้าวัด
จากเด็กเมืองเบียร์ย้ายมาอยู่เมืองไทย ซึ่งเป็นบ้านเกิดของคุณแม่ การปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมในแต่ละพื้นที่ก็แตกต่างกันไป แต่สำหรับเธอแล้วกลายเป็นเรื่องที่ไม่ได้ยากนัก คิมให้เหตุผลว่า เนื่องจากตอนนั้นยังเด็กการปรับตัวของเด็กเป็นเรื่องง่ายมากกว่าผู้ใหญ่
เมื่อสาวลูกครึ่งมาอยู่เมืองไทย การดูแลและปลูกฝังยังคงถูกเลี้ยงดูแบบเด็กฝรั่งแต่ก็มีคุณพ่อและพี่ชายคอยเป็นหวงและดูแลเคียงข้างเสมอ
“เขาจะคอยเตือนตอนเราเข้าวงการมากกว่าว่าต้องดูแลตัวเอง อย่าไปไว้ใจใครมากไป เพราะเราก็ยังไม่รู้จักใครมากเท่าไหร่เลย แล้วเขาก็ไม่ใช่ครอบครัวเรา สอนให้เรารู้จักวางตัวยังไงในสังคม”
คิมบอกว่า แม้ว่าจะดูแลแบบปล่อยๆและคอยเตือนอยู่ห่างๆ แต่ตอนเด็กๆ คุณพ่อจะดุมาก ถ้าเธอดื้อเมื่อไหร่ จะเป่าปากเป็นสัญญาณคอยเตือน เธอทำท่าทางเลียนแบบวิธีเป่าปากของคุณพ่อ ถ้าเป่าครบสามครั้งเมื่อไหร่ จะต้องถูกทำโทษแน่ๆ แต่อย่างไรก็ยังคงยืนยันว่าตนเองไม่ใช่เด็กซน แต่ก็เล่นไปตามประสาเด็กที่อยากไปเล่นไปไหนกับเพื่อนๆ
“จริงๆ แล้วคิมก็ไม่ค่อยเป็นฝรั่งเลยทีเดียวนะค่ะ ไม่เชิงไทยจ๋า แต่ก็ได้นิสัยคนไทยมาเยอะเหมือนกัน เพราะว่าพี่ๆ รอบข้างเราเป็นคนไทยหมดเลย เค้าจะเป็นคนที่คอยสอนเรื่องกิริยามารยาท ชอบคอยสอนอะไรตามที่เป็นมารยาทของคนไทย”
เธอยกตัวอย่างมารยาทของคนไทยแบบโบราณที่ถูกสอนมาว่า เวลายกหม้อข้าว เปิดฝาหม้อห้ามวางคว่ำ ให้วางหงาย จะคอยทำเป็นนิสัย หรืออย่างห้ามร้องเพลงตอนกินข้าว เพราะอาจจะได้แฟนมีอายุ พี่ๆ คอยบอกถึงเหตุผลทั้งหมดที่สอนเรื่องต่างๆว่า “ผู้ใหญ่เขาถือกัน” บางเรื่องก็ทำให้เธอกลับเอามาคิดตลอดว่าทำเพื่ออะไร และทำทำไม ตามประสาเด็กฝรั่งหัวดื้อ
คิมยังบอกอีกว่านอกจากเรื่องของวัฒนธรรมที่ซึมซับมาจากพี่ๆ แล้ว ยังมีเรื่องการนับถือศาสนาที่ทำให้รู้สึกว่าการนับถือศาสนาพุทธทำให้คิมรู้สึกจิตใจสงบและชอบการทำบุญมาก
“เพราะรู้สึกว่าเวลาเข้าโบสถ์กับเข้าวัดคิมรู้สึกแตกต่างกัน ทั้งสองศาสนาสอนให้คนทำดีทั้งคู่ แต่คิมรู้สึกว่าเวลาเข้าวัดไม่ต้องมีอะไรมากมาย แล้วก็รู้สึกอบอุ่น มีเวลาก็จะชอบไปทำบุญ ไม่รู้ว่าอะไรทำให้หนูเปลี่ยนศาสนา แต่หนู ชอบการไหว้พระมากกว่า”
ในครอบครัวของเธอ พี่ชายทั้งสองไม่นับถืออะไร จะไปโบสถ์ก็ได้ ไปวัดก็ไปไหว้พระได้ เพราะพี่ทั้งสองคิดว่าอะไรที่เป็นสิ่งที่ดีเขาก็ทำ ปกติสำหรับคิมและพี่สาวนับถือศาสนาพุทธ แม้ว่าตนเองจะไม่ค่อยได้ศึกษาอะไรมาก ท่องได้เพียงแค่ “นะโมตัสสะ” พอรู้บ้างว่าไหว้พระอย่างไร ตักบาตรต้องถวายอะไร
“พี่สาวจะคอยสอนเวลาไปทำบุญค่ะ หนูก็จะคอยถามว่า เวลาทำบุญต้องพูดอะไรในใจหรือเปล่าว ต้องพูดนะโมตัสสะ หรือเปล่า เวลาเข้าซีนทุกครั้งก็ต้องมีการไหว้ครู หนูเองก็ยังทำไม่ได้ ก็ต้องมีพี่พี่คอยสอนต้องคอยเรียนรู้กันไป”
“จำไม่ได้แล้วว่าเข้าวัดครั้งแรกตอนไหน แต่ตอนนั้นเหมือนเราเข้าไปแล้วก็เหมือนคุณพ่ออยากจะไปวัด เราก็ไปกัน แต่ตอนนั้นก็ไหว้ๆ หนูพยายามที่จะนั่งสมาธินะค่ะ พยายามมากแล้วแต่ยังทำไม่ได้สักที เพราะหนูเป็นคนรนๆ เป็นคนที่ไม่ค่อยมีสมาธิเท่าไหร่ พอหลับตา ได้ยินเสียงก็จะตื่นเลย รู้สึกจิตใจสงบขึ้น ก็พยายามหาเวลาไปทำบุญเหมือนกัน ช่วงนี้ไม่ค่อยมีเวลาไปเท่าไหร่ค่ะ ”
ภาษาไทยไม่ง่าย อย่างที่คิด
นอกจากเรื่องของวัฒนธรรมที่คิมต้องคอยปรับตัวให้ได้เรียนรู้ถึงมารยาทในการเข้ากับสังคมไทยแล้ว การที่คนรอบข้างล้วนแต่ใช้ภาษาไทยกัน ยังคงเป็นเรื่องยากที่จะต้องคอยปรับกันมาตั้งแต่เด็ก
“เรื่องกิริยามารยาทที่มีเยอะมากแล้ว ภาษาไทย โอ้ย ยากมาก อ่านตัวอะไรเนี่ย เยอะแยะไปหมด” ตอนนั้นเธอบ่นออกมาแบบคนที่เพิ่งเริ่มต้นนับหนึ่งกับสิ่งที่ต้องเรียนรู้ใหม่
เด็กสาวลูกครึ่งคนหนึ่งเริ่มหัดเรียนรู้ภาษาไทยจากการฝึกพูดในชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นการฝึกที่ง่ายและได้ตามอัตโนมัติ แม้ว่าจะยังไม่ค่อยรู้ความหมายเท่าไหร่ ก็จะมีแม่เป็นผู้คอยบอกอยู่เสมอ
“ตอนนั้นที่มาจากเยอรมนีไม่มีเพื่อน ก็วิ่งไปถามแม่ว่า ถ้าจะชวนเพื่อนไปเล่นจะพูดยังไง แม่ก็จะบอกทีละคำ เราก็จำๆๆ แล้วก็วิ่งไปชวนเพื่อนว่า “ไปเล่นกันไหม” แล้วพื่อนก็สอนมาบ้าง ก็พอจำได้ แต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่”
หลังจากฝึกพูดได้บ้างเหมือนเด็ล้มลุกคลุกคลาน คำว่า “ยา” เป็นคำแรกที่คิมพออ่านได้ ซึ่งเป็นช่วงที่ทำให้เธอรู้สึกว่าต้องหัดอ่านเสียบ้าง และรู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งเวลาออกไปข้างนอก จะไปซื้อหนังสือก็เป็นภาษาไทยทั้งนั้น คนอื่นก็พูดภาษาไทย ทำให้ต้องตัดสินใจฝึกอ่าน
“เวลาออกไปไหนมาไหน หนูก็ฟังไม่รู้เรื่อง หนูก็คิดว่าไม่ได้แล้วต้องพูดให้ได้ มันรู้สึกหงุดหงิด รู้สึกอึดอัด เลยเริ่มหัด ก.ไก่ จำเอา แต่ก็ท่องไม่ได้ อ่านได้ พูดได้ แต่ก็เขียนไม่ได้ค่ะ แต่ก็บวกคำเอาเองบ้าง”
ในโรงเรียนตอนประถมเรียนโรงเรียนนานาชาติ ทั้งที่กรุงเทพฯและเชียงใหม่ ทำให้ต้องเดินทางไปมาตลอด จนกระทั่งคุณพ่อตัดสินใจให้คิมได้เรียนแบบ “โฮมสคูล” อาจจะมีสอนภาษาไทยบ้าง แต่ก็ไม่ได้เยอะมากเท่าที่ควร เธอบอกว่าแทบจะไม่ได้อะไรด้วยซ้ำ หากเทียบกับการเรียนตามมาตรฐานไทย ตอนนี้ เธอก็กำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 แต่ในช่วงที่ทำงานจึงทำให้หยุดเรียนไปก่อน
ความภูมิใจจากเงินก้อนแรก
เมื่อเด็กสาวลูกครึ่ง ได้เดินเข้ามาในวงการบันเทิง จนใครๆ ต่างก็หลงรัก ตั้งแต่อายุ 8 ปี คิมเบอร์ลี่ได้ผ่านการเดินแบบ ถ่ายแฟชั่นให้กับเสื้อผ้าเด็กบ้าง เพราะมีพี่ชายที่เป็นนายแบบคอยดูแลและผลักดันให้เข้ามาสู่เวทีแฟชั่นตั้งแต่เด็ก ตามความเจิดจรัสของรัศมีที่กำลังเปล่งประกายออกมาจากตัวเธอ เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นมีงานมิวสิกวิดีโอบ้าง และผลงานที่ได้รับการพูดถึงคืองานโฆษณา เครื่องดื่มบำรุงกำลัง วีต้า งานโฆษณาชิ้นนี้ เธอมาในลุคสาวผมสั้น แต่งตัวเปรี้ยว ที่เดินเริงร่าอยู่บนท้องถนน หลังจากนั้นอาจจะมีงานโฆษณาอีกบ้างแต่ก็เป็นงานต่างประเทศซึ่งคนไทยอาจจะไม่ได้ชม เรียกว่างานชุกตั้งแต่เด็ก
“โฆษณาชิ้นแรกก็เป็นซัมซุงที่ถ่ายกับลิงค่ะ คนอาจจะจำไม่ค่อยได้แล้ว ต่อจากนั้นก็มีงานที่ต่างประเทศ แต่ที่เด่นที่สุดน่าจะเป็นวีต้า พรุน ในช่วงนั้นงานเดินแบบ คิมมีเพื่อนของพี่ชายที่คอยดูคิวให้ว่าต้องไปเดินแบบที่ไหนบ้าง มีงานอะไรบ้าง ก็จะมีพี่คอยดูให้ค่ะ”
จำได้เลยว่าเงินก้อนแรกที่ได้จากการเดินแบบ ก็ให้คุณพ่อเก็บไว้เลยค่ะ จำได้ว่า 4,000 บาท ก็ให้คุณพ่อหมดเลย คุณพ่อก็พาไปซื้อเสื้อผ้า ชอปปิ้ง รู้สึกดีใจมากค่ะ ที่ได้เงินก้อนแรกมาคืนคุณพ่อ ตอนนั้นยังเด็กมากก็ไม่รู้ว่าได้มาได้ยังไง
งานหินรับบทคู่ “อั้ม อธิชาติ”
จากงานนางแบบที่ได้ทำตั้งแต่เด็ก และมีผลงานโฆษณาเข้ามาให้ได้ชมกัน จนกระทั่งได้เป็นนางเอกละครในเรื่องแรก ถือเป็นขั้นที่ก้าวกระโดดของเด็กสาวที่ได้รับบทนางเอกตั้งแต่เรื่องแรก และได้เล่นคู่กับพระเอกสุดฮอตของช่อง 3 กับละคร “ธาราหิมาลัย” ยิ่งทำให้โอกาสทางการบันเทิงเปิดทางส่องสว่างให้แก่เธอมากขึ้น
คิมได้มีโอกาสเข้ามาแคสติ้งกับทางช่อง 3 คล้ายกับนักแสดงปกติทั่วไป แต่ตอนนั้นชื่อของคิมถูกเรียกให้มาแคสอยู่ประมาณ 2 ครั้ง เป็นช่วงเวลาที่เธอบอกว่านานพอสมควรกว่าที่ทางผู้ใหญ่จะตัดสินใจให้เซ็นสัญญากับทางช่อง
“ตอนนั้นมีพี่ให้เข้ามาแคส โทร.มาบอกว่ามีโปรเจกต์ใหญ่ ฉลอง 40 ปี ช่อง 3 ให้ลองเข้ามาแคสดู บรรยากาศการแคสตอนนั้นนักแสดงเยอะมาก คิดเอาไว้ในใจว่าตายล่ะ เราถอยดีกว่ามั้ย เราเป็นใครก็ไม่รู้แล้วก็เพิ่งเข้ามาด้วยซ้ำ แต่ไม่คิดว่าตัวเองจะได้ พอแคสเสร็จก็คิดว่าไม่ได้แล้วล่ะ อยู่ๆ พี่เขาก็โทร.มาบอกให้ไปลองชุดบ้าง ให้ไปคู่กับพี่อั้มบ้าง แต่ก็ยังไม่บอกสักทีว่าเราได้หรือเปล่า จนกระทั่งเรียกให้ไปรับบท”
ในวันที่เข้าไปรับบท ตัวเธอเองก็ยังไม่รู้ว่าตนเองจะได้เป็นนางเอก จริงๆ แล้วคิดเอาไว้ว่าถูกวางตัวให้เป็นน้องนางเอกหรือเปล่า ไม่ได้คิดว่าตนจะได้รับบทนางเอกเร็วขนาดนี้
“รู้สึกดีใจมากที่ผู้ใหญ่เขาไว้วางใจเราให้เล่นละครโปรเจกต์ใหญ่ขนาดนี้” คิมบอกความรู้สึกกับบทนางเอกเรื่องแรก แม้จะเป็นเรื่องที่กดดันตนเองอยู่มาก แต่ก็ต้องทำการบ้านมากขึ้นกว่าเดิม การได้มารับบทนางเอกคู่กับพระเอกสุดฮอตอย่าง อั้ม-อธิชาติ ชุมนานนท์ ที่ใครๆ ก็บอกกับเธอว่าเป็นงานหินมากที่ได้เล่นละครเรื่องแรกกับอั้ม
“จริงๆ หนูรู้จักพี่อั้มในฐานะนักแสดงคนหนึ่ง ซึ่งไม่รู้มาก่อนว่าพี่อั้มกับพี่เคนเป็นซูเปอร์สตาร์ เราก็ไม่รู้ จนพี่ๆ เขาบอกว่า โห ! คิมได้เล่นกับพี่อั้มเลยเหรอ เราก็ยังงงๆ พี่เค้าก็พูดรายละเอียดเยอะมาก จนรู้ว่าเป็นดาราดัง ทำให้เรากดดัน ยิ่งงานนี้งานใหญ่ แต่เราก็คิดอยู่เสมอว่าได้โอกาสนี้เล่นคู่กับพี่อั้มก็ต้องคิดแล้วก็พัฒนาตัวเองให้ได้มากที่สุดค่ะ”
“ก่อนหน้านี้คิมไม่ค่อยดูละครไทยสักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะดูหนังฝรั่ง ดูหนังในโรงบ้าง ตามประสาเด็กวัยรุ่นทั่วไป ละครรู้สึกว่าพ่อไม่ค่อยเปิดให้ดูเท่าไหร่ บางครั้งเราก็อยากดูนะค่ะ อยากดูละครที่พี่แอนเล่นบ้าง เพราะหนูชอบละครที่พี่แอนเล่น แต่คุณพ่อก็จะเข้ามาเปลี่ยนช่อง เราก็เซ็ง พ่อจะดูเทนนิสบ้าง ฟุตบอลบ้าง แล้วก็บอกว่า you ก็เข้าไปดูในห้องสิ ”
เมื่อถึงเวลาเข้าฉาก จากที่เคยเล่นโฆษณามาบ้าง มิวสิกวิดีโอมาบ้าง ซึ่งคิดว่าไม่มีอาการเขินกล้องแล้ว แต่เมื่อได้มาถ่ายละครยิ่งรู้สึกว่าทำไมถึงยากขนาดนี้ พอได้แต่งตัว ใส่ชุดเรียบร้อย เจอกล้อง เจอไฟ 3 ตัว ก็เริ่มหวั่น พี่เขาก็บอกว่าคิมทำได้ แต่เมื่อได้มาเจอกับบรรยากาศจริง ทุกอย่างต้องพร้อม คนเยอะมาก เวลาก็ฟิตมาก ต้องทำให้ทันเวลา ก่อนแสงหมด รู้สึกตื่นเต้นมาก
“เข้าฉากกับพี่อั้ม ก็จะคอยสอนวิธีการเข้าบทบ้าง แกล้งน้องบ้าง บรรยากาศในกองถ่ายตลอดระยะเวลา 7-8 เดือนกับละครเรื่องแรก บรรยากาศในกองถ่ายที่สนุกสนาน พี่ๆ ทีมงานที่คอยดูแลเป็นกันเองเหมือนเป็นครอบครัว ทำให้รู้สึกอบอุ่น ยิ่งทำงานนานขึ้นก็ค่อยๆ ผูกพันกัน ผ่านอะไรกันมาเยอะ ช่วยกันทำงาน เจออุปสรรคมาด้วยกัน พอปิดกล้องก็รู้สึกเหงาๆ พี่ๆ เค้าน่ารักกันมากค่ะ เฮฮา ปาร์ตี้ กันในกอง”
ไม่ซีเรียสเมื่อขาดโลกส่วนตัว
เวลานี้ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน ก็มีแต่คนคอยเรียกชื่อ “หมอน้ำ” เพราะติดใจในความเป็นธรรมชาติในการแสดง แม้จะเป็นละครเรื่องแรก คงเป็นเพราะฝีมือการแสดงที่เรียกว่าพรสวรรค์บวกกับพรแสวงที่ติดตัวมาด้วย รวมถึงหน้าตาแสนน่ารัก การพูดคุยที่เป็นกันเอง ยิ่งทำให้ใครได้เข้าใกล้ยิ่งตกหลุมรักเธอเข้าให้แล้ว
“รู้สึกดีใจค่ะ แต่ตอนนี้ก็รู้สึกเหมือนมีแฟนคลับเป็นครั้งแรก ทุกอย่างก็ยังใหม่อยู่ เรายังทำตัวไม่ถูกกับแฟนคลับเท่าไหร่ แต่ก็รู้สึกดีค่ะเวลาเดินห้างฯ จะมีคนมาทักว่า “หมอน้ำ” คิมเบอร์ลี่ นิ จากที่เมื่อก่อนเห็นเราเป็นเพียงเด็กลูกครึ่งคนหนึ่ง แต่ตอนนี้ได้เห็นเราเป็นนักแสดงก็รู้สึกดีใจ เพราะตอนเด็กก็อยากจะเดินเข้าไปอยู่ในทีวีสักวันหนึ่ง”
“ฝันเอาไว้ว่าจะมาอยู่หน้าจอทีวี แค่เห็นตัวเองในทีวีก็ดีใจมากแล้ว ฝันให้ไกลแล้วก็ต้องไปให้ถึง ไม่ใช่ว่าฝันไกลแล้วก็เพ้ออยู่อย่างนั้น ยังอยู่ที่เดิม” น้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความภูมิใจของเด็กสาวลูกครึ่ง วัยเพียง 18 ปี วันนี้เธอได้มาอยู่ในจอแก้วและทำให้คอละครกำลังหลงรักเธออย่างเต็มใจ
คิมมี่เล่าว่า จากเมื่อก่อนที่เคยไปเดินเล่นกับเพื่อน กอดคอเฮฮากัน เดินในห้างฯ แชะถ่ายรูปกับเพื่อนๆ ไม่ต้องวางตัวมาก แม้ว่าตอนนี้ก็ยังเป็นแบบนั้นอยู่ แต่ก็ต้องรู้จักวางตัวและเก็บตัวบ้าง ไม่ได้คิดว่าความเป็นตัวเอง หรือจะเสียเวลาส่วนตัวไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำให้เธอซีเรียสมากเท่าไหร่
เมื่อเดินเข้ามาในวงการบันเทิงแล้ว สิ่งที่ดารานักแสดงทุกคนต้องเจอก็คือเรื่องของข่าวทั้งดีและไม่ดี แต่ในที่นี้ หนูคิมมี่การันตีเอาไว้แล้วว่า “หนูมั่นใจค่ะว่าจะไม่ทำอะไรที่มันไม่ดี ที่มันจะแย่ลงขนาดนั้น” คิมยอมรับว่าการเข้ามาวงการบันเทิง สิ่งที่แน่นอนก็คือ นักแสดงก็ต้องมาคู่กับข่าว ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องรับมือให้ได้
“พ่อก็เตือนว่าไปไหนมาไหนก็ระวังด้วย มีอะไรก็คุยกับพี่ชายนะ ให้พี่ชายช่วย ห้ามไปไหนกับ
Credit:
ผุ้จัดการออนไลน์