การพันเท้าของวัฒนธรรมจีน

 

การพันเท้าของวัฒนธรรมจีน   โพสเมื่อ 2010-08-03 13:24:36 โดย hanako  share  tweet

แฟชั่นของผู้หญิงจีนสมัยก่อนที่เรียกว่าการพันเท้า
มัดเท้าหรือรัดเท้าที่นิยมพันให้เท้าเล็กและมีรูปร่างเหมือนดอกบัวเค้าว่าสวย
แต่เราว่าน่าสงสารผู้หญิงที่จะต้องพันเท้าจัง น่าจะเจ็บนะ 



ประเพณีพันเท้าเริ่มตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถังใต้ สมัยนั้น 
พระชายาของจักรพรรดิหลี่ยฺวี่ทรงนำผ้ามาพันเท้าให้เป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว 
แล้วทรงใส่ถุงเท้าสีขาวไปฟ้อนรำบนดอกบัวที่ทำด้วยทองคำ 
จักรพรรดิหลี่ยฺวี่ทรงพอพระทัยการฟ้อนรำนี้มาก และยังทรงชื่นชมว่า 
พระชายาทรงมีปณิธานสูงกว่าเมฆ ดังนั้น ประเพณีการพันเท้าจึงเริ่มจาก
พระราชวังแล้วค่อยแพร่ไปยังหมู่ชาวบ้าน ครั้นถึงสมัยราชวงศ์ซ่งเหนือ 
การพันเท้าได้กลายเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องปฏิบัติสำหรับผู้หญิง 
คนในสมัยนั้นเชื่อกันว่า การพันเท้าเป็นสิ่งที่ดีงามอย่างหนึ่งสำหรับผู้หญิง 
การไม่พันเท้าเป็นความอัปยศอย่างหนึ่ง



ราชินีของจักรพรรดิที่สถาปนาราชวงศ์หมิงถูกหัวเราะและถูกดูถูกจากคนทั่วประเทศจีน 
ก็เพราะมีเท้าที่ไม่ได้พันมาตั้งแต่เด็ก 

ในสมัยโบราณ ผู้หญิงเริ่มพันเท้าตั้งแต่อายุห้าหกขวบ 
แล้ววิธีพันคือใช้ผ้าทำให้นิ้วเท้าทั้งหมดยกเว้นหัวแม่เท้า
รวมทั้งฝ่าเท้าหักแล้วงอไปกลางฝ่าเท้า ทำให้รูปเท้ากลายเป็นรูปหน่อไม้ 

เราสามารถจินตนาการได้ว่า ผู้หญิงที่ถูกพันเท้าจะมีความทุกข์ทรมานมากขนาดไหน

 

แต่เพื่อประกันว่าลูกสาวจะได้ออกเรือน คุณแม่หรือคุณย่าจะไม่สนใจการร้องไห้และการขอร้องใดๆ 
ท่านจะต้องทำหน้าที่ของตัวเองในการพันเท้าให้ลูก สมัยนั้น เท้าที่ถูกพันของผู้หญิงถูกเรียกว่า 
ดอกบัวทอง แล้วการเดินของผู้หญิงที่มีเท้าเป็น "ดอกบัวทอง" ก็ได้รับการชมว่า 
ทุกก้าวล้วนก่อเกิดดอกบัว ครั้นถึงสมัยราชวงศ์ชิง ประเพณีการพันเท้าเป็นที่นิยมมาก 
ผู้หญิงชาวฮั่นไม่มีใครไม่พันเท้า การทำแบบนี้ได้สร้างอุปสรรคแก่ผู้หญิงในด้านการเดิน 
จึงทำให้ออกจากบ้านไปไหนมาไหนไม่สะดวก แต่ที่จริงแล้ว ในสมัยที่ประเทศจีนยังค่อนข้างยากจนนั้น 
นอกจากผู้หญิงที่เกิดในครอบครัวที่ร่ำรวยแล้ว ผู้หญิงที่เกิดในครอบครัวที่ยากจน
ยังต้องตะเกียกตะกายไปทำมาหากินข้างนอก เพราะฉะนั้นการพันเท้า
ทำให้ผู้หญิงประสบความยากลำบากขึ้นหลายสิบเท่า



ในประวัติศาสตร์ของจีน การพันเท้าก็เคยถูกห้าม 

ตัวอย่างเช่นในสมัยราชวงศ์ชิง จักรพรรดิคางซีทรงสั่งว่าห้ามพันเท้าเด็ดขาด 
แต่กลับไม่ได้ผลเท่าไร จนถึงช่วงปลายสมัยราชวงศ์ชิง การปฏิวัติซินไฮ่ทำให้ราชวงศ์ชิงค่อยๆ เสื่อมลง 
แล้วประเพณีนี้จึงจะค่อยๆ หายไป แต่ว่าบางทีในชนบท เรายังสามารถเห็นผู้หญิงที่มีเท้าเป็นแบบ 
ซึ่งก็คือการพันเท้าเพียงครึ่งส่วน แต่เท้าแบบที่ถูกพันจริงๆ เหมือนกับสมัยโบราณนั้น
ไม่มีให้เห็นอีกแล้วในปัจจุบัน 

 


ประเพณีพันเท้านี้ สะท้อนให้เป็นถึงความชอบที่มีลักษณะพิเศษและโครงสร้างสังคม
ที่ฐานะทางสังคมของผู้ชายสูงกว่าผู้หญิงในสมัยโบราณของประเทศจีน 
การสูญหายของประเพณีนี้ในปัจจุบัน ทำให้ชาวโลกได้เห็นว่า 
ผู้หญิงจีนมีฐานะทางสังคมสูงขึ้น และประเทศจีนก็ได้ก้าวจากยุคโบราณ
มาสู่ยุคที่ทันสมัยและเจริญขึ้น 

การห้ามผู้หญิงมัดเท้า เป็นผลพวงครั้งใหญ่จากการปฏิวัติซินไฮ่ แต่อันที่จริงเมื่อศึกษาดูจากประวัติศาสตร์ 
จะเห็นได้ว่า การพันเท้าไม่ใช่ประเพณีดั้งเดิมที่ปฏิบัติต่อกันมาของสาวจีน
จาก การขุดค้นพบศพหญิงสาวสมัยฮั่น ที่หม่าหวางตุย และซากศพแห้งของหญิงสาวที่ซินเกียง 
ล้วนเป็นซากศพที่มีเท้าใหญ่ ไม่ได้มีร่องรอยของการมัด หรือพันเท้าแต่อย่างใด
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ประเพณีการมัดเท้าแท้จริงแล้ว เริ่มมีมาแต่สมัยใด?


หลังจากสมัยราชวงศ์ถัง ประเทศจีนได้เกิดช่วงเวลาแห่งการแตกแยกครั้งใหญ่ขึ้นช่วงหนึ่ง 
ในบันทึกประวัติศาสตร์ เรียกช่วงเวลานี้ว่า "5ราชวงศ์ 10อาณาจักร"
ใน ช่วงเวลานั้น ราชวงศ์ถังใต้ มีกษัตริย์องค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า หลี่โฮ่วจู่ 
มีนิสัยชอบอ่านหนังสือ มีฝีมือด้านอักษรศาสตร์ และจิตรกรรม 
แต่กลับขาดความสามารถด้านการปกครองประเทศ
พระองค์ทรงมีพระสนมนางหนึ่ง เต้นรำอ่อนช้อยงดงาม ใช้ผ้าพันเท้า 
เท้านางเล็กโค้งงอดั่งพระจันทร์เสี้ยว นางสวมถุงเท้าขาว 
เต้นระบำอยู่บนดอกบัวที่ทำด้วยทองสูง 6 ฟุต ลอยละล่องดุจเทพธิดา
นางได้รับความรักใคร่เอ็นดูจากโฮ่วจู่เป็นอย่างมาก

คนสมัยต่อมาใช้คำ "จินเหลียน (ดอกบัวทอง)" 
มาบรรยายเท้าเล็กของหญิงสาว
จาก นั้นเป็นต้นมา กระแสนิยมมัดเท้าภายใต้การริเร่มของนักปกครองในสมัยศักดินา 
ก็ได้สืบทอดต่อๆกันมา ยุคแล้วยุคเล่า นับวันกระแสความนิยมนี้ ก็จะยิ่งรุนแรงมากขึ้น
จนกระทั่งส่วผู้มีเท้าใหญ่แทบไม่มีโอกาสได้แต่งงาน 
หญิงสาวชาวจีนถูกกระทำอย่างทารุณเช่นนี้นับเป็นเวลาถึงพันกว่าปี



จน กระทั่งปัจจุบัน พวกเราสามารถเห็นบรรดาหญิงสาวสูงอายุที่มีเท้าเล็ก 
เดินเหินด้วยความยากลำบาก ตามถนนหนทาง หรือตามตรอกซอกซอยได้โดยบังเอิญ
หญิงสาวเหล่านี้คือหลักฐานที่ยังมีชีวิตหลงเหลืออยู่ เพื่อแสดงให้เห็นถึงชะตากรรมของสตรีเพศ 
ภายใต้การปกครองในระบอบศักดินา



ใน สมัยจักรพรรดิคังซี ( ค.ศ. 1662-1721 ) แห่งราชวงศ์ชิง 
แฟชั่นการรัดเท้าดำเนินถึงจุดสูงสุด โดยเฉพาะในมณฑลซันซี
เหอเป่ย ปักกิ่ง เทียนจิน ซันตง เหอหนัน ส่านซี กันซู่ 
แต่ชนเผ่าแมนจูไม่มีประเพณีให้ลูกสาวรัดเท้าอย่างชนชาวฮั่น 
ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ เมื่อจักรพรรดิคังซีขึ้นครองราชบัลลังก์ได้ 3 ปี 
ทรงมีพระราชโองการให้เลิกประเพณีดังกล่าวเสีย โดยจะลงโทษพ่อแม่ของผู้ที่ฝ่าฝืน 

อย่างไรก็ตาม ความพยายามของจักรพรรดิแมนจู 
ไม่ได้สร้างความหวั่นเกรงในหมู่ประชาชนเลยแม้แต่น้อย 
ประเพณีที่ดำเนินมาหลายร้อยปี ยังคงฝังแน่นอยู่ในระบบคิดของคนในสังคม
อย่างยากที่จะเปลี่ยนแปล ง ในที่สุดราชสำนักก็ต้องยกเลิกกฎข้อบังคับนี้ไป 
หลังจากประกาศใช้ได้เพียง 4 ปี


ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เด็กสาวลูกหลานชาวแมนจูก็เริ่มฮิตรัดเท้า
ตามหญิงสาวชาวฮั่นบ้าง จักรพรรดดิซุ่นจื้อ ( ค.ศ. 1644-1661) 
ได้มีพระราชโองการ ห้าม แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเช่นเดิม 
จนถึงสมัยของจักรพรรดิเฉียนหลง ( ค.ศ. 1736-1795)
ก็ได้ทรงออกคำสั่งห้ามหลายครั้งไม่ให้รัดเท้า ความคลั่งไคล้ในแฟชั่นรัดเท้า
จึงค่อยลดลงไปได้บ้าง แต่ก็ยังมีการลักลอบทำกันอยู่ สาวๆแมนจูที่เดิม
ใส่รองเท้าไม้ก็สู้อุตสาห์ออกแบบรองเท้าไม้มีส ้นตรงกลาง 
แต่มีหน้าตาภายนอกเหมือนรองเท้าดอกบัวทองคำ สำหรับหญิงสาวชาวฮั่นแล้ว 
ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ พวกคลั่งไคล้แฟชั่นรัดเท้าต่างได้ใจว่า 
แม้แต่จักรพรรดิก็ยังไม่สามารถขัดขวางพวกตนได้ ถึงขนาดร่ำลือกันไปว่า 
การรัดเท้าเป็นสัญลักษณ์แห่งการไม่ยอมศิโรราบต่อผู้ปกครองแมนจู ของผู้หญิง ฮั่น

เพราะเหตุใดจึงต้องรัดเท้า 



เพราะเท้าเล็ก ดุจดอกบัวทองคำ ยาวแค่ 3 นิ้ว เป็นมาตรฐานที่สังคมจีน
เมื่อร้อยหลายปีมาแล้วประกาศว่า นั่นคือความสวยงามของผู้หญิง 
ผู้หญิงซึ่งไม่มีแม้แต่สิทธิในความเป็นมนุษย์ มีสิทธิเป็นได้แค่ ของเล่น 
ที่คอยรองรับอารมณ์ของผู้ชาย การกดขี่ทางเพศเป็นเรื่องปกติของสังคม 

และเพื่อสนองความรู้สึกทางเพศของผู้ชายเ มื่อได้เห็นเท้าเล็กจิ๋ว
ที่เล็ดลอดชายกระโปรงยาวมิดชิด พร้อมกับจินตนาทางเพศอันบรรเจิด
ทุกครั้งที่เห็นสะโพกขยับขึ้นลง ในขณะเดิน อันเป็นผลจากลักษณะของฝ่าเท้า
ที่ไม่เสมอกัน เช่นเดียวกับท่าเดินของผู้หญิงสมัยนี้เวลาที่ใส่รองเท้าส้นสูง 
หญิงสาวนับไม่ถ้วนยอมทำร้ายเท้าที่สวยงามตามธรรมชาติของตัวเอง 

แม่ ที่ " มองการณ์ไกล" ยอมทำร้ายลูกสาวที่ยังไม่ประสีประสาของตน 
เพราะกลัวว่าเมื่อโตขึ้น จะไม่มีผู้ชายมาสู่ขอหรืออาจถูกดูหมิ่นจากคนทั่วไปว่าเป็นผู้หญ ิงชั้นต่ำ 
แม้จะรู้ซึ้งดีว่าจากนี้ไปทุกคืนวันลูกสาวตัวน้อยๆต้องเจ็บปวดท รมานเหมือน 
ถูกเข็มหลายพันเล่มทิ่มแทงอย่างที่ตนเคยผ่านมาก็ตาม


ทำไมต้องเป็น ดอกบัวทองคำ 3 นิ้ว 


ผู้เชี่ยวชาญหลายคนแสดงความเห็นเกี่ยวกับประเด็นนี้ว่า 
หลังจากที่พุทธศาสนาเริ่มเข้าสู่ประเทศจีนและเป็นที่ยอมรับนับถ ืออย่างแพร่ 
หลาย กรปอกับอิทธิพลของพุทธศิลปะที่นิยมวาดรูปพระโพธิสัตว์ภาคเจ้าแม่กวนอิมยืนบน 
ดอกบัว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนความดีงาม สะอาด บริสุทธิ์ มีคุณค่า และเป็นมงคล ดอกบัว 
จึงถูกนำมาใช้เรียกเท้าเล็กจิ๋วของหญิงสาวราวกับเป็นสิ่งดีงาม เพราะผู้หญิงที่ดีต้องอ่อนแอ 
ช่วยเหลือตัวเอง ต้องพึ่งพาและเชื่อฟังของพ่อ สามีหรือลูกชาย 
เป็นกรอบความคิดที่สังคมผู้ชายเป็นใหญ่วาง กับดักไว้ 



นอก จากนี้ สิ่งที่มีค่าสูงส่งมักจะได้รับการเปรียบเปรยว่ามีค่าดุจดั่งทอง 
ในยุคสมัยนั้น ผู้คนต่างชื่นชมยินดีกับการมีเท้าเล็กจิ๋วกับรองเท้าดอกบัวทองคำคู่จิ๋ว 
แม้แต่ในยามที่เสพสังวาสกัน สตรีก็ไม่ยอมถอดรองเท้าดอกบัวทองคำที่หวงแหน
ราวกับเป็นเครื่องป ระดับล้ำค่า ของนาง 

ในปลายสมัยชิง ทุกปีในวันที่ 6 เดือน 6 ตามปฏิทินจันทรคติ ที่เมืองต้าถง มณฑลซันซี จะมี 
งานประกวดเท้าสวย โดยหญิงสาวจะแข่งกันอวดเท้าเล็กจิ๋วของตนให้คนที่เดินผ่านไปมา 
ชื่นชม และตัดสิน โดยดูจากขนาดของเท้าและความสวยงามของรองเท้า 
ที่มีลวดลายประณีตงดงาม ซึ่งเกิดจากฝีมือการเย็บปักถักร้อยของหญิงสาว 
แสดงให้เห็นว่าเท้าที่ถูกรัดจนพิกลพิการกับรองท้าคู่จิ๋ว 
ได้รับการเทิดทูนเพียงใดในสังคมศักดินายุคนั้น



Credit: หรรษาด็อดคอม
#เท้า #สตรี
THEPOco
ผู้กำกับภาพ
สมาชิก VIP
3 พ.ย. 53 เวลา 04:34 5,635 9 36
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...