คนเราแก่ขึ้นตามลำพัง หมายถึงไม่มีใครมาสามารถมาแบ่งเบาความชราไปจากเราได้ ความแก่เฒ่าเหมือนใบมีดของเวลา มันค่อยๆ เฉือนสิ่งต่างๆ ไปจากคนคนนั้น-พละกำลัง ความคมชัดของประสาทสัมผัส ความแข็งแกร่งของจิตใจ ฯลฯ เพราะความเปราะบาง จึงง่ายที่ผู้สูงอายุจะร้าว (ราน) จากผู้มาทีหลัง...
ผู้สูงอายุส่วนใหญ่เคยถูกกระทำรุนแรงทั้งทางด้าน ร่างกายและจิตใจ เป็นการกระทำรุนแรงด้านร่างกายโดยการบังคับขู่เข็ญ 46.9 เปอร์เซ็นต์ ฉุดกระชาก 21.1 เปอร์เซ็นต์ ทุบตี 11.7 เปอร์เซ็นต์ ไม่ได้รับประทานอาหาร 10.2 เปอร์เซ็นต์ และถูกกักขัง 9.2 เปอร์เซ็นต์ และคนที่ทำร้ายร่างกายผู้สูงอายุเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็คือ ‘บุตร’ ซึ่งรวมถึงการกระทำรุนแรงทางด้านจิตใจด้วย
ความรุนแรงในผู้สูงอายุใน ประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะการถูกละเลย ทอดทิ้ง และถูกกระทำรุนแรงด้านจิตใจจากลูกหรือสมาชิกในครอบครัว
“มีผู้สูงอายุ บางคน หลังจากยกทรัพย์สินให้ลูกไปหมดแล้ว ปรากฏว่าลูกไม่อยากให้อยู่บ้าน ก็เอาไปปล่อยไว้หน้าศูนย์สงเคราะห์ฯ พอเจ้าหน้าที่ไปสืบถามที่บ้าน ฝ่ายลูกก็บอกว่าไม่มีพ่อแม่ชื่อนี้ สิ่งหนึ่งที่นักสังคมสงเคราะห์พบและบอกกับเราคือ ถ้าผู้สูงอายุยังไม่ได้โอนทรัพย์สินมักจะมีคนมาเยี่ยม แต่ถ้าโอนทรัพย์สินไปแล้วเมื่อไหร่ คนมาเยี่ยมจะน้อยลง”
ตัวผู้สูง อายุ (หรืออาจจะรวมคนทุกคนที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว) ก็ไม่ควรหวังพึ่งพาลูกหลานเพียงอย่างเดียว ต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจโลกที่เปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็นความรู้ต่างๆ สภาพสังคม เทคโนโลยี การดูแลรักษาสุขภาพ หรือแม้แต่เรื่องการเงิน เพื่อให้ตัวเองมีภูมิคุ้มกันจากความร้ายกาจที่จะเข้ามา พูดแบบบ้านๆ ได้ว่าเราไม่ควรเติบโตเพราะกินข้าว แก่เฒ่าเพราะอยู่นาน แต่ควรใช้ชีวิตอย่างรอบคอบและแก่เฒ่าอย่างมีศักดิ์ศรี เพราะต้องยอมรับว่าหากจะมองในแนวพุทธศาสนาหลายกรณีเป็นเรื่องของกรรม ที่วัยหนุ่มสาวปฏิบัติตัวอย่างไรไว้ มันก็กลับมาทำร้ายเราในวัยชรา