เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม เว็บไซต์เดลิเมล์ ของอังกฤษ รายงานว่า เสี่ยว อี้หยิง สาวจีนวัย 36 ปี ที่กำลังตั้งครรภ์ 8 เดือน ถูกเจ้าหน้าที่รัฐทำร้ายร่างกายและบังคับให้เธอไปทำแท้ง เนื่องจากเธอมีลูกเกิน 1 คน ซึ่งขัดกับกฎหมายของจีน ที่อนุญาตให้มีบุตรได้ 1 คนต่อ 1 ครอบครัวเท่านั้น
โดยรายงานระบุว่า หลังจากทางรัฐบาลได้ตรวจสอบ และพบว่าเธอกำลังตั้งครรภ์ลูกคนที่สอง ได้มีเจ้าหน้าที่รัฐจำนวน 12 คน บุกเข้าไปในบ้านของเธอ แล้วรุมเตะและต่อยเธอเข้าที่ท้อง เพื่อให้เธอแท้งลูก ก่อนหามเธอส่งโรงพยาบาล และเมื่อไปถึงโรงพยาบาลแล้ว แพทย์ก็ได้ทำการฉีดยาฆ่าเด็กในท้อง
จากเหตุการณ์สุดสะเทือนใจดังกล่าว นาย หลู หยางเหวิน ช่างก่อสร้างที่เป็นสามีของเธอ ได้เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ 1 เดือน เขาและภรรยาได้รับคำเตือนจากเจ้าหน้าที่ของรัฐแล้วว่า เขาและภรรยาไม่ได้รับอนุญาตให้มีลูกอีกคนได้ เนื่องจากมีลูกสาวไปแล้วหนึ่งคน จนเมื่อวันที่ 20 ตุลาคมที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่รัฐก็บุกเข้ามาในบ้าน พวกเขาล็อกมือของภรรยาตนไว้ด้านหลังและกดศีรษะของเธอชิดผนังบ้าน ก่อนจะเตะท้องของเธอหลายครั้ง จนในที่สุดเธอก็แท้งลูก มันเป็นเหตุการณ์ที่สะเทือนใจมาก เพราะลูกสาววัย 10 ขวบของเขากำลังตื่นเต้นและลุ้นว่า เธอจะได้น้องชายหรือน้องสาว แต่แล้วกลับถูกเจ้าหน้าที่รัฐทำแม่ของเธอแท้งแบบนี้ เขาก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายกับลูกสาวว่าอย่างไรดีเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ขณะเดียวกัน เสี่ยว อี้หยิง ที่มีรอยช้ำจากการทำร้ายเต็มแขน และกำลังโอบอุ้มท้องที่ทารกในครรภ์เสียชีวิตลงแล้ว ได้กล่าวด้วยน้ำเสียงสุดเศร้าเพียงสั้น ๆ ว่า "ฉันมีลูกในท้อง แล้วฉันก็รู้สึกว่าลูกของฉันกำลังดิ้นไปมาอยู่ในท้องมาตลอด แต่.. คุณคงพอจะนึกออกใช่ไหมว่าฉันรู้สึกอย่างไรในตอนนี้"
ทั้งนี้ ครอบครัวชาวจีนส่วนใหญ่ได้รับอนุญาตให้มีลูกเพียง 1 คนเท่านั้น ตามกฎหมายของรัฐที่ตั้งขึ้นเพื่อมีเป้าหมายในการลดจำนวนประชากรลงกว่า 1,300 ล้านคน ซึ่งจากมาตรการการควบคุมจำนวนประชากรดังกล่าว ทำให้ในประเทศจีนมีสถิติการทำแท้งถึง 13 ล้านคนต่อปี ทั้งที่เต็มใจทำและรัฐบาลบังคับให้ทำ และถ้าหากครอบครัวใดละเมิดกฎหมายดังกล่าว ก็จะถูกปรับเป็นเงินสูงสุดถึง 1.2 ล้านบาท ซึ่งในบางครอบครัวก็เต็มใจที่จะจ่ายค่าปรับ เพื่อให้มีบุตรมากกว่า 1 คนได้ แต่สำหรับกรณีของเสี่ยว อี้หยิง ที่ไม่มีเงินจ่ายค่าปรับแล้ว ก็จะถูกบังคับให้ไปทำแท้ง และถ้าหากไม่ปฏิบัติตาม เจ้าหน้าที่รัฐก็จะเข้ามาดำเนินการกำจัดทารกในครรภ์เองดังเช่นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้