มะเร็งจู๋ โรคร้ายที่ผู้ชายไม่อยากเป็น
ปัจจุบันในสังคมเรามีการตื่นตัวเกี่ยวกับเรื่องการดูแลสุขภาพมากขึ้นเรื่อย ๆ จะเห็นว่ามีคอลัมภ์ต่าง ๆ ทั้งหนังสือ ทีวี อินเตอเน็ต แคมฟร๊อก (ไม่เกี่ยว) พูดถึงการดูแลตัวเอง การป้องกัน การขายยา และการรักษา โรคร้ายต่าง ๆ ซึ่งหนึ่งในหลาย ๆ โรคที่ได้ยินกันบ่อยในสังคมปัจจุบันคือโรคมะเร็ง (ก็ขนาดป้าเช็งยังคิดน้ำหมักมารักษามะเร็งเลย)
หลายคนรู้จักและเคยเห็นผู้ป่วยโรคมะเร็งในหลาย ๆ แบบ ซึ่งปัจจุบันที่กำลังเป็นที่พูดถึงกันมากก็คือมะเร็งปากมดลูก ซึ่งเป็นโรคที่ครองแชมป์อันดับหนึ่งของมะเร็งที่คร่าชีวิตผู้หญิง โดยมีอัตราการเสียชีวิตของ มะเร็งปากมดลูก เฉลี่ยสูงถึง 7 คนต่อวัน และพบผู้ป่วย มะเร็งปากมดลูก รายใหม่สูงถึง 6,000 คนต่อปี ซึ่งทำให้มีการตื่นตัวขึ้นมารณรงค์การป้องกันรวมถึงฉีดวัคซีนเพื่อลดโอกาสการเกิดโรคร้ายนี้ขึ้น
สำหรับผู้ชาย หลายคนอาจจะรู้สึกดีใจที่ไม่ต้องมากังวลจะเป็นมะเร็งปากมดลูก โดยที่ไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้ว มะเร็งสำหรับผู้ชายเองก็มี แถมเกิดที่อวัยวะส่วนสำคัญได้ด้วย จึงเป็นที่มาของเนื้อหาคราวนี้ครับ
มะเร็งองคชาติ (penile cancer)
เรียกง่าย ๆ ว่ามะเร็งจู๋ ละกันนะครับ จะได้ดูน่ารักหน่อย แต่ถ้ามาเป็นแล้วจะรู้ว่าเป็นฝันร้ายของผู้ชาย ทุกคนเลยทีเดียว เนื่องจากว่าการรักษานี่ไม่ค่อยจะพ้นการโดนตัดซักเท่าไหร่
มะเร็งจู๋เป็นโรคที่พบได้น้อยในแถวอเมริกาและโลกตะวันตกโดย ตัวเลขที่ออกมาของอเมริกานี่จะประมาณ 0.58 คนต่อประชากร 100000 คนครับ แต่ในทางกลับกัน โรคนี้พบได้เกือบ 10 -20 เปอร์เซ็นต์ของมะเร็งที่เกิดในผู้ชายแถวแอฟริกา เอเชียและอเมริกาใต้ ส่วนทางดูไบและมอนเตเนโกรนี่ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดครับ ส่วนในไทยเองข้อมูลเฉพาะที่รพ.ศิริราชปีนึงก็หลักร้อย++ ครับ
ข่าวดีอย่างนึงก็คือโรคนี้มักไม่ค่อยพบในผู้ชายอายุน้อย ๆ ครับ โดยคนไข้ส่วนใหญ่ที่วินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งจู๋นั้นมักอายุเกิน 50 ปีขึ้นไป มีเพียง 25 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่เจอในอายุน้อยกว่า 50 สรุปคือใช้งานมาโชกโชนแล้วเจ๊งนั่นแหละ
อาการ
หลายคนที่อ่านมาถึงตรงนี้คงเริ่มรู้สึกมีอารมณ์ร่วมขึ้นมา แล้วเริ่มสงสัยว่าโรคนี้จะมีอาการอย่างไรใช่ไหมครับ
อาการที่พบนี่คือ 47 เปอร์เซ็นต์พบว่ามาด้วยเจอก้อนผิดปกติครับบริเวณของสำคัญ 35 เปอร์เซ็นต์มาด้วยมีแผลเรื้อรัง และอีก17 เปอร์เซนต์มาด้วยการอักเสบระคายเคืองครับ
ส่วนตำแหน่งที่มีโอกาสเจอที่สุดนี่ จากตัวเลขข้อมูลของฝรั่งนะครับ
48 เปอร์เซ็นต์จะพบความผิดปกติที่บริเวณส่วนหัว 21 เปอร์เซ็นต์พบที่หนังหุ้มปลาย มี 9 เปอรเซ็นต์พบรวมกัน ที่เหลือคือพบบริเวณคอและลำครับ
ดังนั้นการตรวจได้ง่ายสุดก็คือคลำได้ก้อนผิดปกติตรงบริเวณจู๋ครับ คือไล่มาตั้งแต่ตรงหนังหุ้มปลาย ส่วนหัว ส่วนลำครับ ถ้าสังเกตว่ามีก้อนอะไรที่ไม่ชอบมาพากล และก้อนนั้นหน้าตาไม่ค่อยน่ารัก สีสันแปลกตาโดยที่ไม่ได้ทานคลอโรฟิลด์ โตวันโตคืน ถ้าเจอก็อย่าพึ่งหลงดีใจว่าสวรรค์เมตตาให้ใหญ่ขึ้นนะครับ กรุณาช่วยพาก้อนมาพบให้คุณหมอตรวจดูหน่อย อาจจะงานเข้าครับ
โดยก้อนหรือลักษณะพวกนี้คือลักษณะที่มีปัจจัยเสี่ยงสูงที่จะมีโอกาสกลายเป็นมะเร็งครับ
ปัจจัยเสี่ยง
เวลาพูดถึงโรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น การป้องกันส่วนใหญ่จะง่ายกว่าการรักษาครับ เหมือนเรื่องการแบ่งแยกชนชั้นที่เกิดขึ้นในประเทศสารขัณท์นี่ก็เหมือนกัน ปล่อยให้เลยเถิดมานานพอตอนนี้จะแก้ไขก็ยากแล้วครับ
กลับมาที่ปัจจัยเสี่ยงการเกิดมะเร็งจู๋ครับ
พบว่าสาเหตุสำคัญที่สุดในการที่จะทำให้เป็นโรคนี้คือเรื่องการดูแลสุขอนามัยครับ จู๋คนเราเป็นอวัยวะที่มีหมวกคลุม ทีนี้ในแต่ละวันเราใช้งานส่วนนี้เป็นทางผ่านของปัสสาวะ และในแต่ละวันร่างกายเราก็สร้างเหงื่อ ขี้ไคล ผลัดผิวกันตลอดโดยไม่ต้องใช้ AHA ซึ่งสิ่งเหล่านี้หากไม่ดูแลสุขอนามัยให้ดี หลาย ๆ คนก็อาจจะเคยเจอกับกลิ่นหรือคราบที่ไม่พึงประสงค์ได้ครับ ซึ่งหลายคนคงเคยเจอและตั้งชื่อกันได้เห็นภาพมากว่าขี้เปียก (smegma)
ในขี้เปียกนี่ จะมีเชื้อแบคทีเรียตัวนึงครับที่ชื่อ mycobacterium smegmatis ซึ่งพบได้ถึงครึ่งนึงของผู้ชายที่ไม่ได้ทำการขริบ จะทำให้เกิดการระคายเคืองแบบ combo ตรงบริเวณจู๋และทำให้เซลล์ปกติมีปัญหาครับ
โดยจากการศึกษาทางการแพทย์พบว่า ผู้ชายที่มีหนังหุ้มปลายตีบจนไม่สามารถรูดได้หรือรูดได้ไม่สะดวกที่เรียกว่า PHiMOSIS มีโอกาสเป็นมะเร็งจู๋มากกว่าคนทั่วไปถึง 10 เท่าเลยครับ ซึ่งสาเหตุก็มาจากการหมักหมมและระคายเคืองของสิ่งที่อยู่ด้านในใต้หมวกครับ ทำให้เซลล์เกิดการเปลี่ยนแปลง transformer เป็นเซลล์ชนิดไม่ดีครับ
นอกจากนี้ HPV virus เป็นอีกสาเหตุนึงที่กำลังมีการพูดถึงกันมากและเป็นที่ยืนยันว่าทำให้เกิดโรคนี้ได้เช่นเดียวกัน (เป็นตัวเดียวกับที่เกิดในมะเร็งปากมดลูกของผู้หญิงนี่แหละครับ) โดยพบว่าผู้ชายที่ไม่ได้ทำการขริบจะพบเชื้อตัวนี้มากกว่าคนที่ทำการขริบแล้ว 3 เท่า ซึ่งก็ตรงไปตรงมาครับก็คือเรื่องการดูแลสุขอนามัยอีกแหละ เพราะถ้ามีหมวกแล้วไม่ดูแลให้ดี ก็มีโอกาสที่พวกเชื้อจะไปซ่อนอยู่ตามซอกหลืบหรือรอยพับได้ และที่สำคัญก็คือซวยคนเดียวไม่เท่าไหร่ ดันเอาไปใช้งานกับผู้หญิงแล้วไปหย่อนเชื้อไว้ให้เค้านี่แหละครับ เชื้อตัวนี้อยู่กับผู้ชาย พลิกมาพลิกไปล้างดี ๆ เอาน้ำฉีดก็อาจจะทำความสะอาดได้แต่เมื่อเข้าไปอยู่กับผู้หญิงนี่ เค้าจะเอาออกมาล้างอย่างไรครับ จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูกแบบที่ผู้หญิงก็งงว่า ตัวเองไปติดมาได้อย่างไร (มะเร็งปากมดลูกนี่พบได้น้อยมาก ๆ ในผู้หญิงโสดครับและพบได้มาก ๆ ในผู้หญิงที่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย และงานวิจัยพบว่าผู้หญิงที่มี sex กับผู้ชายที่ไม่ได้ขริบจะมีโอกาสเกิดมะเร็งปากมดลูกมากกว่าถึง 4 เท่าครับ)
อีกสาเหตุนึงที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงแต่เป็นปัจจัยเสี่ยงก็คือบุหรี่ครับ พบว่าคนที่สูบบุหรี่นี่มีโอกาสเป็นมะเร็งจู๋มากกว่าคนที่ไม่ได้สูบถึง 4.5 เท่า โดยทางการแพทย์อธิบายว่าสารที่อยู่ในบุหรี่มันไปยับยั้งการทำงานของ langerhan cell ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นตัวช่วยจับกับเชื้อไวรัสครับ ดังนั้นยิ่งสูบยิ่งเสื่อมครับ
ทีนี้หากวันร้ายคืนร้ายเกิดมะเร็งขึ้นมาแล้วจะทำอย่างไร
เมื่อมา รพ.ด้วยก้อนหรือแผล คุณหมอก็จะทำการตัดชิ้นเนื้อไปตรวจก่อนครับ ถ้าผลออกมายืนยันว่าเป็นเนื้อร้ายจริง ทีนี้ก็งานเข้าแล้วครับ โดยวิธีการรักษานั้นที่ดีที่สุดก็คือตัดอวัยวะตรงที่มีก้อนหรือแผลนั้นออกครับ โดยต้องตัดให้เลยส่วนก้อนเข้ามา 2 เซนต์ครับ เพื่อจะลดโอกาสการเกิดซ้ำ ดังนั้นตอนนี้ก็ขึ้นกับบุญทำกรรมแต่งครับว่าคุณพ่อให้มาเท่าไหร่ ถ้ามีเหลือเยอะ ตัดออกไปแล้วยืนฉี่ได้ก็ดีไปครับ แต่ถ้าของเดิมก็ไม่มาก ตัดออกไปอีก คราวนี้ต้องทำท่อปัสสาวะให้ใหม่ แล้วนั่งฉี่ครับ
ทางตะวันตกมักจะเอาใจคนไข้ที่เป็นโดยพยายามเอาออกให้น้อยที่สุดเท่าที่ทำได้ เช่นเป็นแค่ปลายก็แค่ฝานเนื้อที่มีปัญหาออก หรือเอาออกเป็นส่วน ๆ เพื่อเก็บจู๋ไว้ให้คนไข้ แต่ปัญหาที่เกิดคือมีโอกาสเกิดซ้ำสูงมากครับ และทำให้ตัวมะเร็งมันดาวกระจายไปสู่อวัยวะส่วนอื่นมากขึ้น
หากเป็นระยะลุกลามหรือดาวกระจายไปแล้ว ก็มีการเอาวิธีฉายแสงและให้เคมีบำบัดเข้ามาช่วยครับ แต่ก็ยืดอายุไปได้ไม่ค่อยหายขาดครับ
ถ้าจะเลือกวิธีการรักษาก็ต้องรู้ระยะและโอกาสครับ หากเป็นระยะแรกและรักษาเอาเนื้อร้ายออกหมดนี่ โอกาสหายสูงถึง 80 – 100 เปอร์เซ็นต์เลยครับ แต่ถ้าเป็นระยะลุกลามโอกาสที่จะอยู่ถึง 5 ปีก็ครึ่งนึง แต่ถ้าเพิกเฉยอารยะขัดขืนไม่รักษานี่ ส่วนใหญ่ไปภายในสองปีครับ
สรุป
โรคมะเร็งที่จู๋นี่ เป็นโรคที่พบได้ไม่บ่อยแต่ถ้าเป็นทีนี่ฝันร้ายของผู้ชายทุกคนครับ วิธีป้องกันที่ดีและง่ายสุดก็คือการดูแลสุขอนามัยของอวัยวะส่วนสำคัญของตัวเองให้ดีครับ เอามาเปิดหมวกล้างให้สะอาดสม่ำเสมอ หากหมวกแคบหรือยาวไปเป็นอุปสรรคก็ไปให้คุณหมอขริบออก และก็อย่าสูบบุหรี่ หากเจอสิ่งผิดปกติไม่ชอบมาพากลก็รีบไปรพ.ครับ อย่ามัวแต่อายหรือคิดว่าเป็นการจัดฉากครับ รักษาระยะแรกดีกว่าปล่อยให้ลุกลามครับ