เคยเป็นไหม? คิดไปเอง หรือ เปล่าว่าเขาจีบ

 

คนที่มีอาการแบบนี้ ถ้าไปกินอาหารตามร้าน ก็มักเหมาเอาว่า พนักงานเสิร์ฟหนุ่มหุ่นล่ำลังแจกขนมจีบให้ ทั้งที่เขาแค่บริการลูกค้าตามประสาพนักงานที่ดีเท่านั้น หรือบางรายอาจคิดเลยเถิดกับหมอฟันหนุ่มหล่อสะอ้าน โดยไม่ได้สำเหนียกว่าเขาแค่ดูแลเอาใจใส่คนไข้ตามจรรยาบรรณแพทย์ต่างหากเล่า แบบนี้เขาเรียกว่า ฝันหวานคิดเข้าข้างตัวเองเป็นตุเป็นตะเลยนะนั่น 
 

 


แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาสนใจเราหรือเปล่า วิธีง่ายที่สุดคือ ลองถามตัวเองว่า บุคคลอันเป็นต้นเหตุของความฟุ้งซ่านเหล่านั้น เคยเอ่ยปากชวนเราไปเดทหรือไม่ หรือเคยเสนอตัวเลี้ยงข้าวเราสักมื้อบ้างไหม ถ้าไม่...นั่นแสดงว่าเขามิได้มีจิตพิศวาสเราแม้แต่น้อย! 

ถึงแม้จะสามารถมองสถานการณ์ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง แต่ก็ยังมีผู้หญิงจำนวนมากที่เหมาเอาว่า การที่ผู้ชายแสดงความเอาใจใส่ดูแลพวกหล่อนราวกับเป็นนางฟ้านางสวรรค์ นอกเหนือไปจากการปฏิบัติหน้าที่ตามวิชาชีพ นั่นหมายถึงว่าหนุ่มเหล่านั้นกำลังคิด ”อะไรๆ” อยู่นะสิ 

ในความเป็นจริงแล้ว หากผู้ชายติดเนื้อพึงใจสาวใด ไม่ว่าจะเป็นคนไข้ ลูกค้า พนักงานลูกจ้าง หรือเจ้านายก็ตาม เขาจะพยายามบากบั่นชวนสาวออกเดทให้จงได้ โดยอาจใช้เทคนิคพลิกแพลงนิดหน่อย เช่น ชวนไปออกกำลังกายในยิมที่เขาเป็นสมาชิกอยู่ ชวนไปงานเลี้ยงสังสรรค์ของบริษัท หรือชวนเล่นเทนนิสช่วงสุดสัปดาห์ อาจไม่จำเป็นต้องชวนเดทคืนวันเสาร์ เพราะดูโจ่งแจ้งเกินไป ประเดี๋ยวไก่ตื่นก็เสร็จกัน ที่แน่ๆเขาต้องหาหนทางเจอเรานอกออฟฟิศให้ได้ เห็นได้ชัดว่าเป็นพฤติกรรมที่แตกต่างจากผู้ชายที่ติดต่อสัมพันธ์กันในเรื่องธุรกิจ ซึ่งเขาเหล่านั้นอาจใช้คำพูดอย่างเช่น “โทรหาผมได้ทุกเวลานะครับ” ผู้หญิงมากมายจึงทึกทักเอาว่า เขากำลังสนใจเราแหงๆเลยละ 

  ลองมาดูตัวอย่างความฟุ้งซ่านเหล่านี้ดูสิว่า ตรงกับชีวิตจริงของเราบ้างไหม 

  1.สถานการณ์ระหว่างคุณหมอและคนไข้สาว 
เราเป็นโรคหืดหอบเรื้อรังจึงต้องมีหมอประจำตัวมาสองปีแล้ว คุณหมอผู้น่ารักเคยบอกว่า ถ้ามีโรคกำเริบเมื่อไรให้โทรตามได้ทุกเวลา นอกจากนั้นยังเคยบอกให้เราเรียกเขาด้วยชื่อเล่นซะด้วย แถมบางครั้งเวลาเดินออกมาส่งเรานอกห้องตรวจโรค ยังแตะข้อศอกเรานิดๆหน่อยๆด้วยแน่ะ เราซึ่งเป็นคนไข้ผู้ยังเปี่ยมด้วยเลือดเนื้อแห่งวัยสาวทั้งแท่ง อดสงสัยไม่ได้ว่า ถ้าเราไม่ใช่คนไข้ คุณหมอจะจีบเราไหมนะ หรือว่าเราควรเป็นฝ่ายเอ่ยปากเสียเอง 

โปรดจำไว้ว่า การที่คุณหมอช่างพูดช่างเจรจาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ดูแลเป็นห่วงเป็นใย ล้วนแต่เป็นการทำงานในหน้าที่ทั้งสิ้น อาการหอบหืดสามารถกำเริบถึงขั้นเสียชีวิตได้ ดังนั้นคุณหมอผู้รับผิดชอบในหน้าที่จึงต้องห่วงใยคนไข้ของตัวเองเป็นธรรมดาโลก หมอบางคนเป็นกันเองขนาดให้เรียกชื่อเล่นได้ก็ไม่เห็นแปลกตรงไหน หรือบางคนเป็นประเภทแสดงความอบอุ่นอ่อนโยนด้วยการแตะเนื้อต้องตัวนิดหน่อยก็มีถมถืดไป คุณหมอเมืองฝรั่งเขาจูบแก้มคนไข้ซ้ายขวาเสียด้วยซ้ำ ถ้าหมอเกิดปิ๊งเราและรู้สึกละอายใจ เขาอาจโอนเราให้อยู่ในความดูแลของหมออื่น หลังจากนั้นจึงค่อยเริ่มสานสัมพันธ์เชิงชู้สาวต่อไป ดูเข้าท่ากว่าเยอะ 

สถานการณ์ที่หมอ ทนายความ หรือสายวิชาชีพอื่นๆ จะหันมาจีบคนไข้หรือลูกค้าลูกความของตัวเอง ก็มีทางเป็นไปได้ มิใช่ว่าจะมืดมนไปเสียทีเดียว ซึ่งในช่วงแรกความสัมพันธ์อาจต้องหลบๆซ่อนๆสักพัก จนเมื่อคบหาดูใจรู้ว่ามีทางไปรอด จึงค่อยมาเปิดเผยทีหลัง 

  2.นักบัญชีกับลูกค้า 
หนุ่มที่เราจ้างให้ทำภาษีให้ โทรมาปรึกษาเรื่องแบบฟอร์มการกรอกใบภาษีตอนช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ซึ่งไม่ใช่วันทำงาน เราจึงอดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่า โทรมาแบบนี้ต้องมีอะไรในกอไผ่แหงๆ 

ความจริงคือ นักบัญชีมักทำงานหามรุ่งหามค่ำโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงต้องส่งแบบฟอร์มเสียภาษี งานเยอะเสียจนไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน แทบแยกไม่ออกระหว่างวันหยุดกับวันธรรมดา ดังนั้นย่อมไม่มีอะไรในกอไผ่นอกจากว่าเขาจะเอ่ยปากชวนไปเที่ยวนั่นแหละ...ใช่เลยตัว 

  3.พนักงานเสิร์ฟกับแขกในร้าน 
เราคิดว่าพนักงานเสิร์ฟหนุ่มหน้ามนในภัตตาคารที่เราแวะไปอาทิตย์ละสองครั้งต้องพิศวาสเราแน่นอน ทำไมเหรอ ก็เพราะเขาจำได้แม่นว่า เราชอบกินอาหารแบบไหน ขนาดกาแฟเติมน้ำตาลกี่ก้อนยังรู้เลย เราจึงอดเผลอไผลคิดไม่ได้ว่า เขาช่างเอาใจใส่เรามากกว่าลูกค้ารายอื่น แถมยังคอยเติมกาแฟให้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องเอ่ยปาก ราวกับกำลังจ้องดูเราอย่างไม่คลาดสายตา ยิ่งไปกว่านั้นยังชวนเราพูดคุยเรื่อยเปื่อย เราอยากให้เขารู้จังว่า ตอนนี้เราไม่ได้คบใครจริงจัง และยินดีจะเดทกับเขาถ้าเขาเอ่ยชวน แต่ปัญหาคือ เขายังไม่เอ่ยปากสักที ทำไงดีหนอเรา 

เรื่องที่ควรรับรู้คือพนักงานเสิร์ฟหรือบริกรนั้นทำงานให้บริการเป็นสำคัญ เป็นเรื่องปกติที่พนักงานเสิร์ฟสามารถจดจำรายละเอียดของลูกค้าขาประจำได้ เขาทำงานเพื่อทิปนะคะโปรดอย่าลืม ดังนั้นเขาจึงต้องสร้างความเป็นกันเองกับแขกด้วยการพูดคุย และรับคำสั่งได้ถูกต้องแม่นยำ ถ้าเขาปิ๊งเราจริงๆ เขาจะเอ่ยชวนไปหาอะไรดื่มเป็นการส่วนตัว 

โดยทั่วไปแล้วผู้ชายส่วนมากที่ทำงานเคร่งเครียดอยู่ในออฟฟิศตลอดเวลา ทั้งวันเจอแต่ตัวเลข หรือเจอแต่ข้อมูลต่างๆมักคลายเครียดด้วยการคุยเจ๊าะแจ๊ะกับสาวๆ ยิ่งถ้าเราเป็นสาวหุ่นสะบึมหรือแค่เปลี่ยนทรงผมมาใหม่ ก็มีสิทธิ์เข้าข่ายถูกหยอดนิดหยอดหน่อยได้ทั้งนั้น ทำไมรึ ก็เพราะว่าเขาเป็นผู้ชายนะสิ ย่อมต้องมองสาวเป็นธรรมดามนุษย์ นอกจากมองแล้วยังคอยมาตอด เพื่อทดสอบความมีเสน่ห์ของตัวเอง พฤติกรรมเช่นนี้ไม่มีพิษมีภัยอันใด อย่าไปคิดอะไรมากกับพวกหมาหยอกไก่ เอาไว้เวลาที่เขามาชวนเดทค่อยเสียสมองมาคิดดีกว่า 

นี่ไม่ได้หมายความว่า เราไม่มีสิทธิฝันหวานคิดถึงคุณหมอสุดหล่อ หรือหนุ่มที่ปรึกษาทางธุรกิจมาดเท่ เพียงแต่ควรเรียนรู้ให้ได้ว่า อันไหนจริงอันไหนปลอม ผู้หญิงที่เอาแต่ฝันกลางวันมักคว้าน้ำเหลว ไม่ได้อะไรเป็นจริงเป็นจังสักที 

เมื่อได้ตรองดูอย่างถ้วนถี่และรู้ว่า คุณหมอ ทนายความ หรือที่ปรึกษาทางกฎหมายทั้งหลาย หาได้มีจิตพิศวาสเราไม่ ก็ควรยอมรับความจริงแทนที่จะทู่ซี้ดันทุรังต่อไป ผู้หญิงบางคนอาจใจเร็วด่วนได้โดยอ้างว่านี่คือการแสดงความเปิดเผยจริงใจ ด้วยการสารภาพความในใจเสียเลย พร้อมกับถามความรู้สึกของอีกฝ่ายว่าคิดอย่างไร 

ได้โปรดอย่าทำเช่นนั้นโดยเด็ดขาด สาเหตุเพราะเขาควรเป็นฝ่ายเจรจาเรื่องแบบนี้ก่อน ไม่ใช่หน้าที่ของผู้หญิงอย่างเรา หนำซ้ำการกระทำเช่นนี้ยังไม่ส่งผลในทางดีใดๆทั้งสิ้น หากพูดออกไปแล้วเขาบอกว่า เราแปลเจตนาและการกระทำของเขาผิด เขาปฏิบัติกับลูกค้าทุกคนแบบนี้แหละ แน่นอนว่าคนที่หน้าแตกยับเยินจนหมอไม่รับเย็บก็คือเรานั่นเอง ทั้งเจ็บทั้งอายเลยละ 

ในทางกลับกัน ถ้าเขายอมรับว่าสนอกสนใจเราอยู่เหมือนกัน แต่ไม่คิดสานสัมพันธ์ให้เลยเถิดไปกว่านี้ เพราะมีคู่ใจอยู่แล้ว หรืออยากคงความสัมพันธ์แค่ในเรื่องธุรกิจมากกว่าเป็นคนรัก ก็ไม่ช่วยให้เรารู้สึกหน้าแตกน้อยลงสักเท่าไร เราอาจรู้สึกกระหยิ่มยิ้มย่องว่า เขาก็สนใจเราเหมือนกันนะยะ แล้วมีประโยชน์อะไร เราก็ยังแห้วอยู่ดี ไม่ได้ไปดินเนอร์ใต้แสงเทียนอย่างที่หวัง ถ้าเขาคลั่งเราสุดขีด เขาย่อมไม่คงความสัมพันธ์ไว้แค่ธุรกิจหน้าที่การงานแน่นอน 

ถ้าสารภาพความรู้สึกไม่ได้แล้วจะทำอย่างไร หรือต้องเก็บกดเอาไว้ในใจจนชั่วชีวิต? 

ทางออกที่สวยงามที่สุดคือ แต่งตัวให้สวยเริ่ดเข้าไว้ทุกครั้งที่ต้องพบเขา เวลาคุยกันทางโทรศัพท์หรือมีการพบปะเจรจาควรเป็นฝ่ายวางหูหรือขอตัวจบการสนทนาก่อน แสดงให้รู้ว่าไม่ได้สนใจเขาเป็นส่วนตัว อย่าส่งการ์ดอวยพรตามเทศกาลต่างๆ หรืออย่าเชิญเขามางานเลี้ยงขึ้นปีใหม่ เพราะนั่นอาจเป็นการเปิดทางให้ความสัมพันธ์ทางธุรกิจแปรเปลี่ยนเป็นความสัมพันธ์ส่วนตัวได้ อย่าซื้อเนคไทให้เขาเป็นของขวัญ หรือทำขนมไปให้เขากินช่วงวันหยุด ของขวัญไม่ได้ช่วยให้เขาอยากชวนเราไปเที่ยว พยายามปฏิบัติกับเขาราวกับว่า เขาเป็นชายแก่ที่ไร้เสน่ห์โดยสิ้นเชิง ทั้งที่ในใจอยากกรี๊ดกับความหล่อล่ำของเขาซะเหลือเกิน 

การปฏิบัติตัวดังที่กล่าวมาข้างต้น ไม่ได้ช่วยให้เขาหันมาสนใจเรา แต่เป็นการทำให้เราไม่ต้องเสียเวลามานั่งทำขนมหรือเขียนการ์ดถึงผู้ชายที่ไม่ได้นึกพิศวาสเรา ซึ่งช่วยให้เราแข็งแกร่งและมั่นใจในตัวเองมากขึ้น 

วิธีดีที่สุดคือพยายามเปิดหูเปิดตาออกไปพบผู้ชายหน้าใหม่ๆบ้าง ยังดูมีความหวังมากกว่าการมานั่งฝันลมๆแล้งๆ ก้าวต่อไป หาใหม่ดีกว่านะคะ 

Credit: http://www.zazana.com/Article/id1948.aspx
19 ต.ค. 53 เวลา 21:42 2,890 3 56
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...