จะเป็นข่าวหรือไม่ การคุกคามทางเพศในที่ทำงานก็เป็นเรื่องแย่ๆ ที่ดำรงอยู่ในสถานประกอบการ ผู้บังคับบัญชาที่มีงูอยู่บนหัวพร้อมจะหาเศษหาเลยและใช้อำนาจข่มขู่คุกคามลูกน้องสาวๆ สวยๆ มีตัวตนอยู่จริง
ที่แย่คือเราไม่มีทางรู้ธาตุแท้ของคนพวกนี้ได้จนกว่างูจะโผล่ออกมาให้เห็น
กรณีล่าสุด เมื่อเรือโทหญิงคนหนึ่ง (ตามคำบอกเล่าของเธอ) ต้องถูกข่มเหงจากผู้บังคับบัญชานานถึง 4 ปี กระทั่ง ฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้อูฐหลังหักถูกวางลงไป เธอก็เลือกที่จะไม่ทนอีกต่อไป เดินหน้าเข้าร้องเรียนต่อ ระเบียบรัตน์ พงษ์พานิช นายกสมาคมเสริมสร้างครอบครัวให้อบอุ่นและเป็นสุข และอดีตสมาชิกวุฒิสภา จังหวัดขอนแก่น เปิดโปงพฤติกรรมของนายทหารยศพลเอก สังกัดกองบัญชาการกองทัพไทย นายหนึ่ง ซึ่งเธอเคยให้ความเคารพอย่างสูง
ระเบียบรัตน์ บอกว่าเรื่องการคุกคามทางเพศในที่ทำงานเคยถูกร้องเรียนเข้ามาที่สมาคมฯ อยู่บ้าง และเธอก็ดำเนินการไปตามขั้นตอน แต่ถึงที่สุด เรื่องมักเงียบหายไปกับสายลมของเวลา
“สังคมต้องทำความเข้าใจกับผู้หญิงที่ตกเป็นเหยื่อ เพราะเมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ฝ่ายหญิงมักจะถูกตั้งคำถามในเชิงดูหมิ่นว่า อายุตั้ง 47 แล้ว ถูกละเมิดมาตั้ง 4 ปี ทำไมถึงเพิ่งมาเอาเรื่องตอนนี้
“แต่ต้องเข้าใจว่าผู้หญิงที่อยู่ในสภาพนี้จะถูกกดดัน ถูกข่มขู่ว่าจะแฉ ถูกขู่ว่าจะไล่ออกจากงาน เมื่อผู้หญิงคนหนึ่งกล้าที่จะลุกขึ้นสู้ สังคมจะต้องให้กำลังใจ ไม่ใช่ซ้ำเติม พวกหัวงูทั้งหลายจะได้เพลาๆ และระงับความหื่นลงบ้าง”
สุเพ็ญศรี พึ่งโคกสูง หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิสตรี มูลนิธิเพื่อนหญิง เล่าถึงเรื่องการคุกคามทางเพศในที่ทำงานว่า ส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะของผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา ซึ่งส่วนมากคนที่โดนคุกคามจะไม่คิดหรอกว่าตัวเองจะโดน เพราะผู้บังคับบัญชาบางคนก็เป็นบุคคลที่ตัวเองนับถือและให้ความเคารพ
ที่ผ่านมา การคุกคามนั้นมีอยู่ด้วยกันหลายแบบ ตั้งแต่การคุกคามโดยคำพูด ขู่ทำร้ายบ้าง ขู่ฆ่าบ้าง หรือไม่ก็ใช้อิทธิพลที่ตัวเองมีอยู่กดดันไม่ให้กล้าปริปากหรือแจ้งความ
“เดี๋ยวนี้การคุกคามมันมีมากขึ้นนะ ใช้เทคโนโลยีมาช่วย มีการส่งภาพไปแบล็กเมล์ ถ้าไม่ยอมมาพบหรือไม่ยอมมานอนด้วยก็ส่งภาพให้เพื่อนหรือสามีดู”
เพราะฉะนั้น หากใครเจอเหตุการณ์แบบนี้ ทางออกที่ดีที่สุดก็คือตั้งสติและพอตั้งได้ ก็ต้องหาช่องทางเยียวยาจิตใจ โดยการไปพบแพทย์หรือผู้ที่เคยมีประสบการณ์ร่วมมาก่อน
“การที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะตัดสินใจทำอะไรต่อ มันต้องใช้เวลานะ บางคนถูกคุกคามมา 2 ปีแล้วถึงค่อยยอมแจ้งความ อย่างพี่เคยไปเจอนักข่าวคนหนึ่งถูกกระทำ เขาก็ช็อกเหมือนกัน อาย ทำใจไม่ได้ ร้องไห้เสียใจ เหมือนกันหมดล่ะ เพราะความสูญเสียทางด้านจิตใจมันประเมินค่าไม่ได้ ยิ่งเป็นคนที่เราเคารพนับถือแล้วมาทำกับเราอย่างนี้ ก็ย่อมเสียใจ น้อยใจ เป็นธรรมดา แถมบางรายก็มีการข่มขู่ไม่ให้เราไปแจ้งความ เขาก็ไม่กล้าทำอะไร เพราะฉะนั้น เรื่องอย่างนี้ต้องตั้งสติให้ดี เราต้องคิดไว้เสมอ ไม่ว่าคนกระทำจะเป็นใครก็ตาม ก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่มากไปกว่ากฎหมาย
“สิ่งที่เราทำได้ก็คืออาจจะต้องปล่อยให้พักสักหน่อย แล้วให้คุยกับคนที่เคยเจอเหตุการณ์แบบเดียวกับเขา เพื่อให้เขารู้ว่าอย่างน้อยเขาก็ไม่ได้เป็นคนเดียวที่ต้องเจอกับเรื่องแบบนี้”
และหลังจากที่จิตใจพร้อมแล้ว ก็ต้องไปแจ้งความดำเนินคดี แต่อย่างว่า การไปโรงพักบางครั้งก็อาจจะไม่ได้รับความช่วยเหลือเท่าที่ควร เพราะฉะนั้นบางคนก็อาจจะต้องมีตัวช่วย อย่างสื่อมวลชนหรือมูลนิธิที่เกี่ยวกับสิทธิสตรี
“มีอยู่รายหนึ่งไปโรงพัก ถูกหัวหน้างานจับหน้าอก ก็ถูกเจ้าหน้าที่ต่อว่ามา เขาก็โทร.มาร้องห่มร้องไห้กับเรา เราก็เลยให้เขาคุยกับทนายของเรา เมื่อเขาพร้อม เราก็จะพาเขาไปแจ้งความอีกที แต่ที่พูดนี่ไม่ได้หมายความตำรวจทุกคนนะ ที่ดูแลบริการดีๆ ก็มี”
แต่หากคุณโชคดี ไม่ถูกผู้บังคับบัญชาละเมิด ก็อย่านิ่งนอนใจไป เพื่อไม่เป็นการไม่ประมาท ก็ควรหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในงานเลี้ยงหรืองานต้อนรับ เพราะไม่แน่ในนั้นอาจจะมีสารกระตุ้นหรือสารเสพติดก็ได้
และที่สำคัญ หากไม่จำเป็นก็ไม่ควรอยู่สองต่อสองกับผู้บังคับบัญชา ไม่ว่าจะเป็นในรถ สถานที่อบรม ในห้องทำงาน หรือแม้แต่การไปเฝ้าไข้ หรือเดินทางไปต่างจังหวัดด้วยกัน เพราะส่วนใหญ่คนพวกนี้มักฉวยจังหวะทำสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควร
ทางออกที่ดีสุดคือต้องหาเพื่อนเข้ามาอยู่ด้วยกันคนสองคน แต่หากเลี่ยงไม่ได้จริงๆ อีกทางหนึ่งก็คือการไม่ทำให้ตัวเองต้องอยู่สถานที่ปิดตาย เช่น เวลาที่ผู้หญิงเอากาแฟไปเสิร์ฟให้เจ้านายที่เป็นผู้ชาย ก็อาจจะเปิดประตูทิ้งเอาไว้หรือทำตัวให้อยู่ห่างๆ เอาไว้ เพื่อที่เขาจะได้ไม่กล้าทำอะไร เพราะอย่างที่ทราบ คนพวกนี้มีลักษณะโกหกหน้าตาย ใช้ความน่าเชื่อถือตัวเองเป็นเกราะกำบัง อย่างเวลาที่โดนกล่าวหา เขาก็จะกล่าวหาผู้หญิงกลับว่าผู้หญิงให้ท่าเขาบ้าง ประพฤติไม่เหมาะสมบ้าง จะจับเขาบ้าง ซึ่งจากภาพลักษณ์ที่ดี ก็ทำให้คนส่วนใหญ่เชื่อฝ่ายผู้กระทำมากกว่า เพราะคนที่มีสถานะขนาดนี้ อายุขนาดนี้ คงจะไม่ทำอะไรแบบนี้หรอก
ขณะนี้ เรามีกฎหมายที่ว่าด้วยการป้องกันความรุนแรงในครอบครัวที่ห้ามสามีข่มขืนภรรยา แต่ยังไม่มีกฎหมายที่ว่าด้วยการป้องกันการคุกคามทางเพศในที่ทำงาน ซึ่งระเบียบรัตน์เรียกร้องว่าฝ่ายนิติบัญญัติควรจะคิดถึงเรื่องนี้และดำเนินการ ไม่ใช่ปล่อยให้เรื่องเกิดขึ้น ปล่อยให้ผู้หญิงตกเป็นเหยื่อและเป็นข่าวเสียก่อนจึงค่อยตื่นตูมเสียทีหนึ่ง
*********
อาชีพสุ่มเสี่ยงของสาวๆ
การคุกคามทางเพศในที่ทำงานหรือจากการทำงานมีอยู่ในทุกสาขาอาชีพ แต่อาชีพหนึ่งที่น่าจะเรียกว่าสุ่มเสี่ยงต่อการถูกลวนลามคงหนีไม่พ้นอาชีพ แอร์โฮสเตส เพราะเคยมีการสำรวจเชิงลึกในเรื่องนี้ และพบว่าแอร์โฮสเตสที่ให้สัมภาษณ์ 50 คน ทุกคนล้วนเคยถูกคุกคามทางเพศ ตั้งแต่การใช้วาจา การแสดงท่าทาง และการสัมผัส
นักข่าว (ผู้หญิง) ก็เป็นอีกอาชีพหนึ่งที่มักตกเป็นเป้าการคุกคาม ด้วยภาพลักษณ์แบบผู้หญิงทำงาน ลงพื้นที่ ทำงานไม่เป็นเวลา ทำให้พวกเธอถูกมองว่ากล้าได้กล้าเสียและพร้อมจะมีความสัมพันธ์ ตัวอย่างที่เห็นเสมอคือนักข่าวสาวกับแหล่งข่าว โดยเฉพาะพวกนักการเมืองหรือข้าราชการชั้นสูง อย่างคดีบิ๊กขี้หลี อดีตนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ที่เคยเป็นข่าวโด่งดัง เพราะไปคุกคามนักข่าวสาวจากช่อง 9 ที่กำลังปฏิบัติภารกิจอยู่ที่จังหวัดภูเก็ต ด้วยการถามเรื่องส่วนตัวพร้อมชักชวนให้ขึ้นเครื่องบินตำรวจกลับกรุงเทพฯ ด้วยกัน
หรือจะเป็นเหตุการณ์ที่สะท้านวงการการเมืองอย่างแรง เมื่อนักการเมืองเฒ่าผู้หนึ่งเรียกนักข่าวสาวไปพบที่ชั้น 28 ของโรงแรม พร้อมลวนลามและหว่านล้อมชักชวนให้ยอมอนุภรรยา แต่ยังดีที่มีนักข่าวชายจากค่ายเดียวกันไปช่วยได้ทัน สาวน้อยก็เลยรอดจากการเป็นเหยื่อของจระเข้แก่ที่รอเขมือบได้อย่างหวุดหวิด
ขณะที่ข้าราชการหญิงก็เสี่ยงไม่แพ้กัน นอกจากจะเสี่ยงถูกเจ้านายหัวงูลวนลามแล้ว ลองถ้าหือขึ้นมา ก็จะพานถูกกลั่นแกล้งจากอำนาจที่อยู่เหนือกว่า ถูกกล่าวหา ถูกสอบสวน ถูกไล่ออก จากสารพัดข้อหาที่เจ้านายหัวงูจะยัดเยียด กรณีของข้าราชการระดับสูงที่มีข่าวลวนลามข้าราชการในหน่วยงาน จนเป็นที่อื้อฉาวไปทั่วเมือง แต่ยังว่า บิ๊กของเราก็เส้นสายใหญ่ไม่ใช่เล่น เพราะจะยอมถูกพักราชการไประยะหนึ่งเพื่อลดกระแส แต่ด้วยความสามารถอย่างล้นเปี่ยม เพราะไม่นานบิ๊กผู้นี้ก็ยังคงได้นั่งในตำแหน่งเดิมต่อไป แถมได้รับการต่ออายุอีก 2 ครั้งอีกต่างหาก
หรือจะเป็นกรณีของ นายสมบัติ อุทัยสาง อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ที่ถูกลูกน้องสาวที่อ้างตัวเป็นนักศึกษาปริญญาตรีเล่นงานจนเกือบเสียคน เพราะดันไปตอบรับการบริการทางเพศของเธอ โดยหารู้ไม่ว่านั่นคือเธอได้เตรียมกระดาษทิชชูพร้อมคาบอสุจิ พ่วงข้อหาข่มขืน หวังแบล็กเมล์อดีตเสนาบดีผู้นี้ไว้แล้ว ยังดีที่ตำรวจไทยฉลาดรู้เล่ห์กลโกงซะก่อน เลยทำให้สาวเจ้าต้องไปนอนในคุกแทนท่านรัฐมนตรี
ส่วนที่โดนเยอะสุดๆ เห็นจะไม่พ้น คนใช้ตามบ้าน ถ้าเป็นป้าๆ ผมกระเซิงๆ ก็คงไม่มีปัญหา แต่คนใช้สาวรุ่นจากบ้านนอกเข้ากรุง คนกลุ่มนี้เป็นเป้าของคุณผู้ชายหื่นๆ ที่คุณผู้หญิงของบ้านจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน หรือถ้าจับได้ เรื่องก็มักกลายเป็นว่าคนใช้เป็นฝ่ายผิด ถูกย่ำยีไม่พอ ยังถูกไล่ออกซ้ำอีก
และกลุ่มสุดท้ายที่มีข่าวเพียบไม่แพ้กัน ก็คือ นักศึกษาฝึกงาน ผู้ชายจำนวนมากเวลาเห็นชุดนักศึกษาแล้วมักจะออกลาย เก็บอาการไม่อยู่ นักศึกษาฝึกงานสาวๆ จึงมักตกเป็นเป้าอยู่ร่ำไป ที่แย่คือไม่ใช่แค่หัวหน้าในที่ทำงาน แต่ยังรวมถึงบรรดาพนักงานชายอีกพะเรอเกวียนในบริษัทนั้นๆ
********
บทเรียนจากเปรมิกา
เปรมิกา (นามสมมติ) เล่าว่า เธอมีอาชีพที่ต้องเดินทางไปต่างจังหวัดอยู่บ่อยครั้ง และพบปะเพื่อนร่วมอาชีพจากบริษัทอื่นๆ จึงทำให้เธอพบกับเหตุการณ์ที่เรียกได้ว่าการถูกคุกคามทางเพศขณะปฏิบัติหน้าที่ในการทำงาน โดยส่วนตัวเธอและเขาซึ่งเป็นรุ่นพี่ร่วมอาชีพต่างบริษัท ไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัวหรือมีความสนิทสนมกัน เพียงแต่รู้จักกันในฐานะเพื่อนร่วมอาชีพเท่านั้น
“เวลาเราไปทำงานที่ต่างจังหวัดเราก็จะนอนกับเพื่อนที่เป็นผู้หญิงใช่ไหมค่ะ แล้วครั้งแรกที่เกิดเรื่อง เรานอนคนเดียว แล้วเขาก็รู้ว่าเรานอนคนเดียว จึงทำทีมาเป็นขอมานั่งเล่นที่ห้อง ซึ่งเขาโทร. เข้ามาที่เบอร์ห้องและกล่าวคำลวนลามทางวาจา แต่เราก็คิดว่าเขาเมา เลยไม่ถือสาอะไร จนวันนั้นทั้งคืนเขาโทร. มาตลอด ไม่ได้นอนเลย จนต้องยกหูโทรศัพท์ออก”
เมื่อเกิดเหตุการณ์ครั้งแรกขึ้น เปรมิกาไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนักและไม่ได้เล่าเรื่องดังกล่าวให้ใครฟัง เนื่องจากคิดว่ารุ่นพี่ร่วมอาชีพเธอคงเมา จนเมื่อระยะเวลาผ่านไป ถึงคราวต้องไปทำงานที่ต่างจังหวัดอีกครั้งก็เกิดเหตุการณ์แบบเดิมขึ้น
“ครั้งนี้ก็ไปต่างจังหวัดและเจอเขาอีก ซึ่งเวลาไปทำงานพนักงานก็จะมีกิจกรรมร่วมกันใช่ไหมค่ะ อย่างการถ่ายรูป เขาก็จะมาใกล้ๆ เราและถือโอกาสตอนถ่ายรูปโอบที่เอวบ้าง จับมือบ้าง แล้วพอตอนกลางคืนเขาก็โทร. เข้าที่เบอร์ห้องอีก ซึ่งที่เขารู้เบอร์ห้องเพราะเขาเช็กจากคนจัดงานว่าเรานอนห้องไหน และครั้งนี้จะเริ่มพูดมากขึ้นกว่าเดิม โดยบอกว่าชอบเรา อยากอยู่ด้วย อยากอยู่ใกล้ๆ อยากนอนด้วย ในลักษณะแบบว่าไม่ได้หยาบคายนะ แต่ตอนนั้นเขาก็อยู่ในสภาพที่เมาด้วยแหละ”
เมื่อเกิดเหตุการณ์ครั้งที่สองขึ้น เปรมิกาจึงคิดว่าไม่ควรที่จะเก็บเรื่องนี้ไว้ต่อไปได้ จึงมีการไปปรึกษากับรุ่นพี่ที่ทำงานว่าเจอเหตุการณ์ลักษณะดังกล่าว เรื่องนี้จึงถูกหัวหน้างานมีการกล่าวตักเตือนกับรุ่นพี่ต่างบริษัทคนนั้น
“เราก็คิดว่า เออ มีคนรู้เรื่องและก็ช่วยพูดให้แล้วนะ น่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นในลักษณะแบบนี้อีกแล้วล่ะ แต่ก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้น เพราะเราก็เจอเขาในลักษณะนี้อีกเป็นครั้งที่สาม”
ด้วยอาชีพที่ต้องออกต่างจังหวัดบ่อย จึงทำให้หลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้เธอต้องเจอกับเหตุการณ์ในลักษณะนี้เป็นครั้งที่สาม โดยการไปปฏิบัติงานต่างจังหวัดเช่นเดิม เปรมิกาเล่าว่า เวลาเจอกันปกติเธอก็ทักทายรุ่นพี่ต่างบริษัทคนนั้นด้วยท่าทีสุภาพ และก็ไม่มีอะไรที่เขาแสดงออกเหมือนเวลาที่เขาโทร. เข้ามาคุยกับเธอที่ห้องเมื่อสองครั้งที่ผ่านมา
“เราก็ออกต่างจังหวัดกันอีกครั้ง และมีรุ่นพี่คนนั้นไปด้วย ซึ่งทำงานตอนกลางวันก็ปกติดี ไม่มีอะไร แต่พอตกกลางคืนเขามีการดื่มเหล้า แต่เราไม่ได้ดื่มนะ เขาคงเมาอีกตามเคย แต่ครั้งนี้เขามาบุกถึงตัวเราเลย เรานอนกับเพื่อนร่วมห้องประมาณสี่คน และคนสุดท้ายที่เข้ามาในห้องไม่ได้ล็อกประตู รุ่นพี่คนนั้นเขาก็เลยเข้ามาในห้องในตอนที่เราทั้งสี่คนนอนหลับอยู่
“ตอนนั้นเขาโน้มตัวเข้าหาเราที่เตียงนอน เราก็สะลึมสะลือ จนพี่คนที่นอนข้างๆ รู้สึกตัวตื่นและตะโกนว่า ทำอะไรน่ะ!!! เขาจึงรีบเดินออกไป และคืนนั้นทั้งรีสอร์ตที่เราพักทุกคนก็ตื่นมาด้วยเหตุการณ์นี้”
สุดท้าย เหตุการณ์แบบนี้ก็จบลงเนื่องจากหัวหน้างานของเปรมิกา ได้มีการไปพูดคุยกับตัวรุ่นพี่คนดังกล่าวว่า หากเกิดเหตุการณ์แบบนี้อีกจะมีการแจ้งความและรายงานผู้บังคับบัญชาของเขาให้ทราบ