แรกรักน้ำต้มผักก็ว่าหวาน แต่นานไปของหวา นๆ อาจกลายขม
เมื่อแรกรักน้ำต้มผักก็ว่าหวาน แต่นานไปของหวาน ๆ อาจกลายขมไปได้ หลายคนหลายคู่จึงมักเจอกับความรู้สึกหวั่น ๆ ในหัวใจว่า นานไปรักเราจะจืดจางลงไปมั้ย และชีวิตคู่ระหว่างเราจะเป็นอย่างไร
มีคำถามที่น่าสนใจและเป็นคำถามยอดฮิตอยู่คำถามหนึ่งคือ ทำไมคนเราเมื่อรักกันใหม่ ๆ จะเป็นรักแรกหรือรักครั้งใดก็ตาม ความรักนั้นจะดูสดชื่น กระตือรือร้น รู้สึกแจ่มใส อยากอยู่ใกล้ ๆ คนที่เรารัก อยากที่จะพูดอยากที่จะกล่าวคำดีที่สุดให้กับคนที่เรารัก มีความรู้สึกปรารถนาดี และพร้อมที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างให้โดยไม่มีเงื่อนไข และในห้วงของความรู้สึกนึกคิดของคนที่มีความรัก ก็จะหมุนวนแล้วขังอารมณ์ ขังความคิดและความทรงจำไว้กับคนที่เรารักอยู่เป็นระยะ ๆ ตลอดไปไม่ยอมให้เสื่อมคลาย
ความรักอันลึกซึ้งนี้ เมื่อดำเนินไปถึงขั้นที่ได้อยู่กินกันฉันสามีภรรยา ความรักและความผูกพันก็จะยิ่งเหนียวแน่นและมั่นคงมากขึ้น ๆ
มี คำอธิบายอะไรที่มาอธิบายให้เราเข้าใจได้บ้างว่า คนเราเมื่อตกอยู่ในภาษาที่เรียกว่าแรกรักหรือตกหลุมรักแล้ว ทำไมเราจึงมีความรู้สึกเป็นสุขอย่างมากมาย และในเวลานั้นจะไม่หวั่นเกรงถึงอุปสรรค ไม่คิดกลัวว่ารักจะจืดจาง และวาดฝันว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะดำเนินไปด้วยความสุข งดงามและสวยหรู
ในเชิงจิตวิทยากล่าวว่า เมื่อคนเรามีความรักอย่างเต็มเปี่ยมนั้น เราจะนึกถึงตัวเราเองน้อยลงหรืออัตตาของตัวเองได้ลดลงอย่างมากมาย เรียกได้ว่าเป็นการสลายเขตแดนหรืออาณาจักรแห่งตนลงไปอย่างสิ้นเชิง ไม่คิดถึงตัวตน ไม่คิดในเรื่องศักดิ์ศรี ไม่ติดในเรื่องของเกียรติยศ และพร้อมจะลดตนเองให้เป็นธรรมดาที่สุด
และขณะที่มีความรักนั้นยังพบว่า มิเพียงแต่จะสลายตัวตนของตนเองเท่านั้น แต่บุคคลนั้นยังจะขยายเขตแดนของตนกว้างออกไปครอบคลุมคนที่ตนเองรัก ครอบคลุมสังคมและสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวด้วย จึงทำให้เวลามีความรักนั้นเราจะรู้สึกดี ไม่เพียงแต่คนที่เรารักเท่านั้น แต่จะรู้สึกรักและปรารถนาดีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมรอบกายด้วย อาจจะถือได้ว่าหรือพูดได้ว่าอะไร ๆ ก็ดูดีไปหมด สภาวะจิตใจขณะนี้เป็นหัวจิตหัวใจของพรหมอย่างแท้จริง คือจะรวมจิตใจและวิญญาณของความเมตตา กรุณา มุฑิตาและอุเบกขาไว้อย่างเต็มหัวใจ
ใน ความคิดของคนที่มีความรัก ก็จะขมวดเป็นพันธะและคำมั่นสัญญาว่าจะรัก จะเกื้อกูลและเอื้ออาทรต่อกันตราบเท่าชีวิตจะหาไม่ และไม่มีคำว่ารักจะจืดจางลงไปได้
แต่ในชีวิตจริงหลายคู่ที่แต่งงาน กันและรักกันปานจะกลืนกิน ซึ่งเพียงไม่กี่เดือนรักก็เริ่มจืดจาง อีกหลายคู่ดำเนินชีวิตครอบครัวไปได้อย่างงดงาม และต่างเฝ้าอบรมเลี้ยงดูจนกระทั่งลูกเติบโตขึ้น แล้วในที่สุกความรักก็อาจเริ่มจืดจาง แต่ก็มีชีวิตคู่อีกส่วนหนึ่ง ที่มีความรู้สึกที่ดี และรักกันตลอดชีวิตคู่ของเขา
เพราะเหตุใดความรักจึงได้ค่อย ๆ จืดจางจนในที่สุดไม่เหลือเยื่อใยต่อกัน
ดังที่ได้กล่าวแล้วว่า เมื่อคนเรามีความรัก โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในสภาวะที่เรียกว่าตกหลุมรักนั้น เราจะนึกถึงตนเองน้อยลง และลดความเป็นตัวตนหรืออัตตาลงไปได้อย่างมากมาย แล้วพร้อมที่จะทำ พร้อมที่จะให้ทุกสิ่งทุกอย่างกับคนที่ตนรัก
ต่อมาเมื่อสภาวะหลงรักหรือตกหลุมรักได้ผ่านไปสักระยะหนึ่ง เราก็จะค่อยเริ่มรู้ตัวเองมากขึ้น ความเป็นตัวตนจะค่อย ๆ กลับมา อัตตาของตนก็จะค่อย ๆ คืนมา เขตแดนของตนที่ได้ขยายกว้างไปครอบคลุมคนที่เรารัก ก็จะค่อย ๆ หดแคบลงมาอยู่ที่ตัวเองเท่านั้น ดังนั้นอารมณ์และความคิดก็จะกลับมาอยู่ที่ใจของตนเองอีกครั้ง จุดนี้เป็นจุดหักเหที่สำคัญ
สภาวะอย่างนี้จะทำให้เราคำนึงถึงคนที่ เรารักน้อยลง จะทำอะไรก็จะคิดถึงตนเองก่อนคนที่เรารัก สิ่งที่เคยทุ่มเทให้อย่างเต็มที่ก็ทุ่มเทน้อยลง คิดถึงน้อยลง คำนึงถึงน้อยลง พะวงถึงน้อยลง และสิ่งที่เราเคยมีจิตใจเป็นพรหมคือมีความเมตตา กรุณา มุฑิตาและอุเบกขาก็จะลดลงตามลำดับ
ตรงนี้แหละครับที่คู่รักเริ่มรู้สึกว่าความรักกำลังจะจืดจางลง
สิ่งที่ผมอยากชี้ประเด็นเชิงจิตวิทยาให้ผู้อ่านได้เห็นก็คือ เมื่อ ไรก็ตามที่เราต่างคำนึงถึงอัตตาเรามาก เรานึกถึงตัวตนของเรามาก เรายึดความคิดและอารมณ์ของเราเป็นหลัก และเราไม่ยอมที่จะขยายแดนของตนออกไปสู่คนที่เราเองรักบ้างแล้ว เมื่อนั้นสัมพันธภาพอันดีต่อคนที่เรารักก็จะเริ่มลดลง ๆ ไปเรื่อย ๆ แล้วความรักก็จะค่อย ๆ เริ่มจืดจางลง
ถ้า จะพิจารณาตามหลักของจิตวิทยาแล้ว ผมคิดว่าเราคงจะไม่ต้องกลัวความรักจะจืดจางลงเลย ถ้าทั้งคู่ต่างฝ่ายต่างลดอัตตาของตนลง สลายเขตแดนของตนลง และขอให้ขยายแดนของตนเข้าไปครอบคลุมคนที่เรารัก แล้วมอบความรัก ความห่วงใย ความตระหนักถึง มีความเมตตาต่อกัน มีความกรุณา เอื้ออาทรต่อกัน มอบความสุขให้แก่กันและกัน หัดให้อภัยต่อกัน แล้วเราจะไม่ต้องกลัวว่าความรักจะจืดจางลงเลย