เรา มักเห็นพวกสัตว์ประหลาดเหล่านี้ในนิยาย การ์ตูน หรือไม่ก็ภาพยนตร์ และสร้างความหวาดกลัวต่อเรามายาวนาน แต่คุณเชื่อหรือไม่ว่าสิ่งที่เราเห็นเหล่านี้มันปรากฏบนโลกของเราจริงๆ มาแล้ว บางอย่างเกิดขึ้นเพราะเป็นเรื่องจริง!
10. Freddy Krueger
เฟรดดี้ ครูเกอร์ เป็นสัตว์ประหลาดสมมุติที่ปรากฏตัวในภาพยนตร์สยองขวัญครั้งแรกในชื่อนิ้วเขมือบ A Nightmare on Elm Street (1984) โดยรูปร่างของมันเป็นปีศาจ ที่ร่ายกายที่เห็นเนื้อหนังไหม้ไฟ ใส่ชุดสีแดงลายทางสีดำ ใส่หมวกเหมือนขอทาน มาพร้อมกับกรงเล็บเหล็กยาวแหลมเหมือนใบมีดโกนที่นิ้ว มีนิสัยอารมณ์ขันอยู่ตลอดเวลา และเกลียดที่จะเห็นคนอื่นมีความสุข โดยมันมีความสามารถพิเศษคือมันสามารถเข้าไปในความฝันของคนอื่นได้ และมันจะหลอกหลอนหรือฆ่าเจ้าของฝันจนตาย หากเจ้าของความฝันหนีมันไม่พ้นจะไม่มีโอกาสตื่นในโลกแห่งความจริงอีกเลย โดยวิธีป้องกันมีทางเดียวเท่านั้นคือการถ่างตาไม่ให้นอนหลับเฟรด ดี้มีประวัติไม่แน่นอนเพราะเปลี่ยนไปเรื่อย แต่สิ่งที่เหมือนกันคือเขาตายเพราะถูกเผาทั้งเป็น และเฟรดดี้ได้กลายเป็นตัวร้ายในภาพยนตร์ตลอดกาลในจิตใจของคนอเมริกันและคน ทั่วโลกติดอันดับต้นๆ และภาพยนตร์ที่มีเฟรดดี้ปรากฏก็มีมากมายหลายภาค จนมันได้กลายเป็น “แฟรนไชส์” ที่ฮิตติดอันดับเรื่อยมา
เฟรดดี้เป็นผลงานของ เวส คราเวน(Wes Craven) โดยแรงบันดาลใจของเขานั้นคือเขาไปเจอบทความหนึ่งเกี่ยวกับโรคชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นในแถบบ้านเรานั่นก็คือ “โรคไหลตาย” ซึ่ง มันเป็นโรคลึกลับชนิดหนึ่ง ที่เกิดขึ้นที่คนถึงแก่ความตายอย่างปัจจุบันทันด่วน คือก่อนเข้านอนปกติ พอเช้ากลับพบว่าเสียชีวิตโดยไม่ลืมตาตื่นดูโลกอีกเลย โรคนี้เป็นที่ฮือฮามาก ในอเมริการู้จักโรคนี้เมื่อทศวรรษที่ 1970 ในกลุ่มอพยพชาวกัมพูชาที่ลี้ภัยมายังประเทศสหรัฐเป็นจำนวนมาก และหนังสือพิมพ์ยุคนั้นได้ตีข่าวว่ากลุ่มชาวอพยพกัมพูชาปฏิเสธในการนอนหลับ เพราะไม่อยากเจอฝันร้ายที่เกิดจากประสบการณ์เขมรแดงเรืองอำนาจหลอกหลอน ไม่เพียงเท่านั้นหลายคนที่นอนหลับได้เสียชีวิตระหว่างนิทรา ซึ่งในขณะนั้นเจ้าหน้าที่การแพทย์ไม่เคยเจออาการชนิดนี้มาก่อน โดยสาเหตุของอาการนิดนี้ไม่แน่ชัดว่าเกิดมาจากสาเหตุใดกันแน่ ทั้งๆ คนที่เกิดอาการยังเป็นคนหนุ่ม(อายุระหว่าง 19-57 ปี) ร่างกายแข็งแรง ไม่มีอาการเจ็บป่วยใดๆ มาก่อน
9. Vampires
แวม ไพร์ เป็นผีดิบ ที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนมนุษย์ทั่วไป แต่มีฟันแหลมคม ดื่มเลือดของมนุษย์เพื่อความเป็นอมตะ จะปรากฏตัวได้แต่เฉพาะเวลากลางคืน เพราะกลางวันแพ้และกลัวกระเทียม
เรื่อง ราวของแวมไพร์ มีมากมาย ที่เป็นนิทานพื้นบ้านและวรรณกรรม และมีนอกจากนี้ยังมีกรณีที่เกิดขึ้นจริงอีกด้วย โดยกรณีที่โด่งดังคือกรณีของชายที่ชื่อ อาร์โนลด์ โพส(Arnold Paole) หนุ่มร่างกำยำล่ำสันซึ่งเป็นทหารที่เข้าประจำหมู่บ้านที่หลายคนเชื่อว่าเขา เป็นแวมไพร์ โดยเรื่องราวเกิดขึ้นที่หมู่บ้านเมดูเอ็นยาหมู่บ้านแถบกอสโซวา (เตอร์กิชเซอร์เบีย) โดยตำนานเล่าว่า เขาถูกทำร้ายโดยผีดูดเลือดระหว่างทาง เมื่ออาร์โนลด์ถูกผีดูดเลือดกัดคอหอยจนบาดเจ็บ เขารู้สึกเจ็บแค้นผีดูดเลือดตัวนั้น จึงหาวิธีกำจัด โดยเดินทางยังสุสานที่ฝังศพผีดูดเลือดและทำพิธีแก้อาถรรพณ์ โดยขุดศพผีดูดเลือดขึ้นมา เจาะเลือดของมันชโลมกาย และกินดินหลุมศพของมันเข้าไปแต่ผลสุดท้ายนายอาร์โนลด์ก็ไม่พ้นความตายได้ เมื่อวันหนึ่งเขาได้ขับเกวียนเข้าไปในไร่ แล้วเกิดอุบัติเหตุพลัดตกจากเกวียน ศีรษะพาดพื้นอย่างแรงตายคา เขาตายเมื่อปี 1726 หลังจากอาร์โนลด์ตายแล้ว ก็เกิดเหตุการณ์สยองขวัญเกิดขึ้นในหมู่บ้าน เมื่อมีผู้พบเห็นนายอาร์โนลด์ออกมาตะเวนไปตามที่ต่างๆ ด้วยร่างกายแข็งทื่อ เขียวคล้ำทั้งตัว ชาวบ้านต่างหวาดผวา อาร์โนลด์ผีดูดเลือดที่ออกจากหลุม ตระเวรหาเหยื่อไปเรื่อย ผลคือทำให้ชาวบ้านเคราะห์ร้ายต้องเอาชีวิตสังเวยอย่างน้อย 16 คนในหมู่บ้าน จนชาวบ้านทนไม่ไหวจึงรวมตัวเป็นกลุ่มใหญ่ แล้วยกโขยงไปในสุสานประจำหมู่บ้านจัดแจงขุดศพอาร์โนลด์เพื่อขึ้นมาพิสูจน์ ความจริงครั้นแล้วทุกคนต้องผงะ และตกใจกลัวกับภาพทีอยู่ตรงหน้าเมื่อซากศพอาร์โนลด์ยังเปล่งปลั่งด้วยเลือด ฝาด ที่มุมปากมีเขี้ยวยาวแหลมคมงอกออกมาด้วย และมีเลือดที่ปากไหลเป็นทางยาวและเมื่อแสงแดดจัดจ้าส่องเข้ามาในโลงศพ อาร์โนลด์เบิกตากว้างรีบพลิกตัวหลบแดดทันที ชาวบ้านก็ไม่รอช้า ต่างเฮโลขุดศพผู้ตกเป็นเหยื่อผีดูดเลือดอีกสี่ศพมาด้วยแล้วช่วยกันเอาไม้ เสี้ยนปักอก ใช้ค้อนตอกจนมิด เลือดสดๆ ทะลึกออกมากลิ่นเหม็นคาวคลุ้งไปทั่ว ผีดิบทั้งห้าบิดกายอย่างเจ็บปวด ส่งเสียงอืออาในลำคอก่อนที่สงบนิ่งไปเมื่อผีดูดเลือดสงบ ชาวบ้านก็ตัดหัวเอากระเทียมยัดปาก และเผาศพจนมอดไหม้เป็นขี้เถ้าแต่เรื่องนี้ยังไม่จบ อีกหกปีต่อมาหมู่บ้านเมดูเอ็นยาก็ประสบกับเหตุการณ์สยดสยองอีกครั้ง เมื่อมีชาวบ้าน 13 คนตายในระหว่าง 6 สัปดาห์ โดยปราศจากสาเหตุ เมื่อทางการทราบข่าวจึงส่งเจ้าหน้าที่ไปสำรวจข้อเท็จจริงเหล่านี้ร่วมกับชาว บ้านผลสรุปว่า ผีดูดเลือดอาร์โนลด์นอกเหนือจากล่าคนแล้วยังจับสัตว์มาดูดเลือดอีกด้วย และทิ้งซากเอาไว้ และเมื่อชาวบ้านพบซากสัตว์ดังกล่าวจึงนำไปทำอาหาร และได้รับเชื้อมาโดยไม่รู้ตัว จนกลายเป็นผีดูดเลือด แพร่เชื้อออกไปเรื่อยๆ อย่างไม่รู้จบนั่นเอง
8. Werewolf
ผู้ คนส่วนมากมักกลัวมนุษย์หมาป่า พอๆ กับแวมไพร์ เพราะพวกมันมีพฤติกรรมคล้ายกัน คือ ดื่มกินเลือดและเนื้อของมนุษย์เป็นอาหาร โดยที่เชื่อว่า บุคคลที่เป็นมนุษย์หมาป่าจะกลายร่างเป็นหมาป่าในคืนวันพระจันทร์เต็มดวง พร้อมเขี้ยวยาวน่ากลัว และสามารถกลับเป็นมนุษย์อีกครั้งเมื่อพระจันทร์ลาลับ เรื่องราวของมนุษย์หมาป่าถูกเล่ามาช้านานแล้ว ในสมัยโบราณมีหลายรายถูกประหารชีวิตเพราะเชื่อว่าเขาเป็นมนุษย์หมาป่า หนึ่งในนั้นคือกรณีของปีเตอร์ สตัมป์(Peter Stumpp) ฆาตกรต่อเนื่อง 18 ศพจากโคโลญ ประเทศเยอรมัน เมื่อปี 1589 เขาเล่าให้ศาลฟังว่าเขามีเข็มขัดวิเศษทำให้เขาสามารถกลายเป็นมนุษย์หมาป่า ได้ อย่างไรก็ตามไม่มีใครเคยเห็นเข็มขัดองเขา ส่วนปีเตอร์ถูกทรมานและถูกประหายโดยการใช้ล้อทับตายในที่สุด แต่กรณีที่โด่งดังและโหดที่สุดเป็นของการ์นิเย่(Garnier Gilles) เด็กหนุ่มแห่งหมู่บ้าน St. Bonnot ฝรั่งเศส ซึ่งเป็นฆาตกรต่อเนื่องกินเนื้อคน ที่เขามีปัญหาเรื่องอาหารการกิน และในเวลานั้น จู่ๆ ก็มีเด็กหลายรายหายไป หรือบางรายก็รอดมาได้ และให้การว่า ถูกโจมตีโดยมนุษย์หมาป่า จนกระทั้งเย็นวันหนึ่งกลุ่มคนงานที่กลับจากเดินทางจากเมืองใกล้เคียงได้พบ กับการ์นิเย่กำลังสวาปามร่างเด็กที่ตายแล้ว ส่งผลทำให้เขาถูกจับกุมตัวในที่สุด ในเขาได้สารภาพในชั้นศาลว่าเขา ตัวเองนี่แหละที่เป็นมนุษย์หมาป่า ตัวจริง เสียงจริง เขาสามารถแปรงร่างเป็นมนุษย์หมาป่าได้เพื่อง่ายต่อการล่า สาเหตุที่ฆ่าเด็กนั้นนั้นก็เพื่อนำมาเป็นอาหารแก่เขาและภรรยาเพราะเด็ก มนุษย์ล่าง่ายกว่าสัตว์ทั่วๆ ไป โดยเหยื่อของเขาฆ่าอย่างน้อยสี่ราย อายุระหว่าง 9-12 ปี ในเดือนตุลาคม 1572 โดยเหยื่อรายแรกคือเด็กสาวอายุ 10 ปี ที่เขาลากเธอในขณะอยู่ไร่องุ่น เขาฉีกเสื้อผ้าของเธอออกแล้วกินเนื้อจากต้นขาและแขนของเธอ ส่วนเนื้อบางส่วนเอามันกลับบ้านไปให้ภรรยา สุดท้ายการ์นิเย่ก็ถูกประหารด้วยการเผาทั้งเป็นเมื่อ 18 มกราคม 1573
Zombie
ซอม บี้ เป็นคำเรียกของคนที่ตายไปแล้วแต่กลับมาเดินเหินได้ราวกับมีชีวิตอีกครั้งตาม ความเชื่อของลัทธิวูดู เรื่องราวในลัทธิวูดูนั้นกล่าวถึงซอมบี้ว่าถูกควบคุมด้วยเวทมนตร์ให้ทำงาน ใช้แรงงานให้พ่อมด แต่ภาพลักษณ์ของซอมบี้ในวัฒนธรรมสมัยใหม่ซึ่งปรากฏผ่านสื่อต่างๆนั้นต่างจาก ในลัทธิวูดูมาก โดยสาเหตุสำคัญนั้นมาจากความสำเร็จของภาพยนตร์เรื่อง Night of the Living Dead
การ ทดลองที่สามารถคืนชีพได้นั้นปัจจุบันสามารถทำได้จนสำเร็จ หนึ่งในนั้นคือการทดลองของนักวิทยาศาสตร์จากศูนย์การวิจัยกู้ชีพซาฟาร์ แห่งมหาวิทยาลัยพิตต์สเบิร์ก (Pittsburgh's Safar Centre for Resuscitation Research) สหรัฐฯ ได้พัฒนาเทคนิคการถ่ายเลือดและเติมสารละลายน้ำเกลือที่เป็นน้ำแข็งและเย็นยะ เยือกลงไปในเส้นเลือดดำ เพื่อรักษาสภาพและฟื้นชีวิตที่ตายไปแล้วให้กลับฟื้นคืนมาใหม่ได้เป็นผล สำเร็จ โดยการชุบชีวิตครั้งแรกได้ทดสอบกับ “สุนัข” จำนวน หนึ่งซึ่งตายแล้วตามนิยามทางการแพทย์ คือหยุดหายใจและหัวใจไม่เต้นหรือไม่มีกิจกรรมใดๆ เกิดขึ้นในสมอง และสภาพศพอยู่ในอุณหภูมิที่ต่ำกว่าศูนย์องศา อุณหภูมิร่างกายเหลือเพียง 7 องศาเซลเซียส แม้ ว่าสุนัขน้อยเหล่านี้จะตายแล้วในทางการแพทย์แต่เนื้อเยื่อและอวัยวะต่างๆ ยังอยู่ในสภาพดี เส้นเลือดต่างๆ และเนื้อเยื่อที่เสียหายสามารถซ่อมแซมได้ด้วยการศัลยกรรม โดยกระบวนการคืนชีพทางวิทยาศาสตร์นี้สามารถทำได้โดยการช็อตด้วยไฟฟ้าระหว่างกระบวนการแทนที่เลือดด้วยน้ำเกลือ
แต่ว่าอีก 3 ชั่วโมงต่อมาเลือดของสุนัขที่สิ้นใจก็ถูกแทนที่ด้วยน้ำเกลือและได้ออกซิเจนเต็มที่ 100% บรรดาสุนัขๆ ก็ฟื้นคืนชีพมาเป็น “สุนัขซอมบี้” การ ทดลองนี้นับว่าเป็นความก้าวหน้าทางการแพทย์ที่มีประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง โดยนักวิทยาศาสตร์พยายามทำให้ผู้ป่วยกลับฟื้นชีวิตได้ อย่างน้อยเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็ตาม แต่ก็มากพอสำหรับการรักษาชีวิตผู้บาดเจ็บจากสงคราม หรือเหยื่อที่ถูกแทง ถูกยิง เพราะพวกเขาจะเจ็บปวดและขาดใจจากการเสียเลือดมากผลที่ได้ทำให้ทางศูนย์มีแผน จะนำเทคนิคนี้ไปทดสอบใช้ในมนุษย์ภายในปีหน้า อีกทั้งเชื่อว่าภายใน 10 ปีจะสามารถนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ขัดขวาง “การตาย” ของมนุษย์ได้ในบางกรณี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมรภูมิรบ
Frankenstein
แฟรง เกนสไตน์ เป็นนวนิยายยอดนิยมเรื่องหนึ่ง เขียนโดย แมรี เชลลีย์ จัดพิมพ์ครั้งแรก ณ กรุงลอนดอน เมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1818 โดยเนื้อเรื่องของแฟรงเกนสไตน์มีอยู่ว่า มีชายคนหนึ่งชื่อ วิคเตอร์ แฟรงเกนสไตน์ ได้ไปศึกษาที่เยอรมนี เขาสนใจในเรื่องการใช้ไฟฟ้ากับร่างกายของมนุษย์ จึงนำชิ้นส่วนจากศพหลายๆ ศพ มาเย็บเข้าด้วยกันและช็อตด้วยไฟฟ้า ทำให้ซากศพนั้นมีชีวิตขึ้นมา เป็นอสุรกายที่มีร่างกายใหญ่โต แต่เมื่ออสุรกายนั้นมีชีวิต วิคเตอร์ก็เกิดกลัวอสุรกายนั้นขึ้นมา จึงได้หนีไปและทิ้งให้อสุรกายตนนั้นมีชีวิตอย่างเดียวดาย โดยไม่ยอมรับมัน อสุรกายจึงขอร้องให้วิคเตอร์สร้างอสุรกายแบบมันขึ้นมาอีก 1 ตน แต่วิคเตอร์ก็ไม่ยอม มันจึงเริ่มฆ่าคนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับวิคเตอร์เพื่อให้วิคเตอร์รับ รู้ความรู้สึกของความโดดเดี่ยวบ้าง จนวิคเตอร์เสียชีวิต อสุรกายก็เสียใจมาก เพราะมันได้สูญเสียเพื่อนคนแรกและคนสุดท้ายในชีวิตของมันไป
ความ จริงแล้วเรื่องราวการทำศพมาต่อกันเป็นรูปร่างคนนั้นมีมากมาย ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 พวกนาซีก็เคยมีการทดลองที่ว่านี้เหมือนกัน แต่กรณีที่โด่งดังที่สุดคือกรณีของ Vladimir Demikhov(1916 – 1998) เป็นนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัยกายภาพมีชื่อเสียของโซเวียต เคย เป็นหมอทหารรัสเซียในสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ มีความเชี่ยวชาญเรื่องการผ่าตัดสมอง และการปลูกถ่ายอวัยวะ เขาเป็นที่รู้จักกันดีในโครงการปลูกถ่ายหัวสุนัขเมื่อ 1950 เขาได้แสดงผลงานวิจัยของเขา มันคือสุนัขสองหัว โดยหัวของลูกสุนัขได้ถูกใส่เข้าไปในส่วนคอของสุนัขเชพเพิร์ดขนาดใหญ่ โดยหัวที่สองจำเป็นต้องดื่มนม(แม้ว่าทุกๆ หยดจะเข้าปากและรั่วตรงรอยต่อก็ตาม)แต่ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องในเดียวกับ สุนัขตัวใหญ่ อย่างไรก็ตามสุนัขสองหัวนี้ก็ตายเพราะร่างกายรับไม่ไหวและเนื้อเยื่อเข้ากัน ไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตามผลงานของเขาได้กลายเป็นรายบันดาลใจในการปลูกถ่ายอวัยวะใน เวลาต่อมา
ชมคลิปได้ที่ http://www.youtube.com/watch?v=spwRSAXPyVc
The Hills Have Eyes
The Hills Have Eyes (1977) เป็นภาพยนตร์คลาสสิกของผู้กำกับเวส คราเว่น ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับมนุษย์กลายพันธุ์กินคนในถ้ำกลางทะเลทรายที่ดักล่าคนที่ขับรถไปตามท้องถนน ด้วยเนื้อหาดิบ และเหี้ยมโหดระทึกขวัญ และการเอาตัวรอด ส่งผลทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้โด่งดังในเวลาต่อมา จนถูกนำมาสร้างใหม่ในปี 2006 เพียงแต่เป็นเนื้อหาแตกต่างจากต้นฉบับเล็กน้อย
โดยแรงบันดาลใจของภาพยนตร์เรื่องนี้มาจากเรื่องราวของซอว์นี่ บีน(Sawney Bean) ฆาตกร กินคนในสก็อตแลนด์ ที่เขาและสมาชิกในครอบครัวร่วมมือก่ออาชญากรรมฆ่าคณะคนเดินและกินเนื้อคน โดยเหยื่อที่ถูกครอบครัวนี้ฆ่าว่ากันว่ามีถึง 1000 คน
เรื่อง ราวของซอว์นี่ บีนปรากฏอยู่ในบันทึกนิวเกตส์ เขียนไว้ว่า ซอว์นี่ บีน มีชื่อเต็มว่า อเล็กซานเดอร์ ซอวี่นี เกิดในช่วงต้นศตวรรษที่ 15-16 ที่เมืองอีสต์ โลเธี่ยน ประเทศสก็อตแลนด์ บิดาเป็นช่างสารพัดและคนขุดคลอง โดยซอว์นี่ บีน เป็นคนขี้เกียจอย่างบรม สมองทึบ นิสัยป่าเถื่อนโมโหร้าย เขาออก อก จากบ้านและแต่งงานกับผู้หญิงคนหนึ่งที่มีนิสัยชั่วร้ายเหมือนกับเขา ทั้งคู่ออกเดินทางเร่ร่อนไปตามที่ต่างๆ จนกระทั้งมาหยุดลงที่ถ้ำลึกที่ชื่อบันนาน่าถ้ำชายฝั่งในกัลป์โลเวอร์ (ปัจจุบันคือไอร์ไชร์ใต้) และอาศัยอยู่ที่นั่นเป็นที่พักถวาร พวกเขาหาเลี้ยงชีพด้วนยการปล้นฆ่านักเดินทางที่ผ่านไปผ่านมาในบริเวณแถวนั้น ตอนกลางคืน พวกเขาสืบลูกสืบหลานแบบร่วมประเพณีระหว่างพี่น้อง (ซอว์นี่ บีนมีลูกชาย 8 คน ลูกสาว 6 คน) ทำให้เกิดเด็กลูกหลานที่มีสติไม่สมประกอบพิกลพิการถือกำเนิดขึ้นเป็นจำนวน มาก สภาพบ้านเริ่มแออัด พร้อมกับความต้องการอาหารที่มีมากขึ้น แต่อาหารที่ได้จากการฆ่านักเดินทางนั้นมีน้อยไม่พอในการเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ของครอบครัว ดังนั้นพวกเขาจำเป็นต้องแก้ปัญหานี้โดยการกินเนื้อคนที่ได้จากการฆ่าเพื่อ เป็นอาหาร พวกเขาทำแบบ ต่อเนื่องมาเป็นเวลายาวนานถึง 25 ปี เขามีลูกชาย 8 คน ลูกสาว 6 คน หลานชาย 18 คน และหลานสาว 14 คน ผลสุดท้าย ซอว์นี่ บีนและครอบครัวถูกพิพากษาประหารชีวิต โดยให้พวกผู้ชายต้องถูกหั่นร่าง ส่วนพวกผู้หญิงและเด็กให้ถูกเผาทั้งเป็น
เรื่อง ราวของซอว์นี่ บีนนั้นปรากฏอยู่ในตำนานของสกอตแลนด์ และยังเป็นที่สนใจของนักประวัติศาสตร์ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ในปี 2005 มีบทความของนักประวัติศาสตร์ท่านหนึ่งเขียนว่าเรื่องราวของตระกูลบีนอาจไม่ ใช่เรื่องจริง อาจเป็นเรื่องสมมุติแต่งขึ้นให้คนสมัยนั้นหวาดกลัว ที่สมัยนั้นประชาชนไม่ค่อยเคารพกฎหมาย
The Exorcism
พิธีไล่ผี, เด็กสาวที่ถูกปีศาจสิงแล้วทำตาและพฤติกรรมน่ากลัว,ใช้ภาษาหยาบคาย, การอาเจียนรดพวกพระ และอุปกรณ์และเครื่องมือต่างๆในการไล่ผี, แนวความคิดถูกนำไปสร้างภาพยนตร์และนิยายมากมาย และที่ดังที่สุดคือ The Exorcism of Emily Rose และ Requiem
ซึ่งหนังนี้มาจากเรื่องจริงเสียด้วยสิ!!
เหตุการณ์ประหลาดนี้เกิดขึ้นที่ในปี 1968 หมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งในแคว้นบาวาเรีย ทางตอนใต้ของเยอรมนี นางสาวอันเนลีส มิเชล(Anneliese Michel) อายุ 16 ปี จู่ๆ ก็เกิดอาการประหลาดน่ากลัวเกิดขึ้น เธอเริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้ทำร้ายตัวเอง(เธอวิ่งชนกำแพงฟาดหน้าจน ฟัน คาง กราม และจมูกหัก เบ้าตาอักเสบ) เอาแต่นับเลขพึมพำไม่เป็นภาษา พูดจารุนแรงและหยาบคาย แสดงอาการลุกลี้ลุกลนทำร้ายกัดคนในครอบครัว ทำลายข้าวของ ฉีกเสื้อผ้าและฉี่ลงบนที่นอนและลงไปนอนทับ ครอบครัว เธอไม่กินอาหาร แต่หันไปกินแมลงวัน แมงมุม ถ่านไม้ ดื่มปัสสาวะตัวเองแทนน้ำสะอาด(เธอปัสสาวะลงบนพื้น) แทะทึ้งซากนกจนหัวมันหลุดจากร่าง ฉีกทึ้งเสื้อผ้าตัวเองเป็นว่าเล่น เธอ เคยคลานอยู่ใต้โต๊ะแล้วเห่าหอนอยู่สองวันเต็ม กรีดร้องไม่รู้จักเหนื่อยนานนับชั่วโมง ร้องไห้ กลายเป็นเรื่องปกติร่างกายเธอทรุดโทรมลงมาก หัวเข่าเธอแตกอันเนื่องมาจากการคุกเข่าถึง 600 ครั้ง เธอได้พบภาพหลอนเกี่ยวกับภูตผีปิศาจซ้ำแล้วซ้ำเล่า
พ่อแม่พาตัวเธอไปรักษา แต่ก็รักษาไม่หาย จนทั้งสองคิดว่าเธอถูกปีศาจสิง เลยไปขอร้องบาทหลวงเอิร์นส์ต อัลต์ (Ernst Alt) กับหลวงพ่อโจเซฟ เรนซ์ (Arnold Renz) มาทำพิธีไล่ผี
ว่ากันว่าขณะที่ทำพิธีไล่ผี อันเนลีสดิ้นรนขัดขืนสุดแรงเกิด เรี่ยวแรงของเธอจู่ๆก็มหาศาลถึงขนาดต้องใช้ผู้ชายแข็งแรงกำยำ 3 คน ช่วยกันจับจึงจะเอาอยู่ และบางครั้งถึงต้องเอาโซ่ล่ามเธอไว้ เพราะเธอกระโดดสูงจากพื้นได้เป็นเมตร พิธีไล่ผีเริ่มเข้มข้น แต่ร่างกายของอันเนลีสก็อ่อนแอลงเพราะขาดน้ำและอาหาร พ่อและแม่ของเธอถึงกับต้องเข้ามาช่วยพยุง เพราะเธอไม่ไม่มีแรงจะเดิน และเธอเสียชีวิตเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 1976
เล่ากันว่า ประโยคสุดท้ายที่อันเนลีสพูดกับแม่ของเธอในคืนก่อนหน้านั้น ก็คือ ว่า
"แม่...หนูกลัว (Mother I'm very scared)”
เรื่อง ประหลาดหลังจากเธอตาย ก็ตามมาอีกเป็นระยะไล่ตั้งแต่โลงศพอันเนลีสมีรูปมือปิศาจเกาะอยู่ และท้องฟ้าในขณะทำพิธีฝังศพก็ปรากฏหน้าของปีศาจที่แสนน่ากลัวฯลฯ
ดูควิปที่ www.youtube.com/watch?v=x4n9vK0_mdk
Witches
http://writer.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=486572&chapter=87
ต้อง ขอบคุณอินเตอร์เน็ต ที่กลายเป็นที่หลบภัยแก่สมาคมคนชื่นชอบเวทมนต์ ที่สามารถพ้นจากพวกรังเกียจพ่อมดหมอผี ซึ่งตั้งแต่ไหนแต่ใดมากคนอื่นๆ มักโทษพวกผู้หญิงแก่ที่น่าสงสารว่าพวกเธอเป็นแม่มดโดยปราศจากหลักฐาน และมักลงโทษพวกเธอด้วยวิธีการต่างๆ นาๆ เช่นเอาก้อนหินปา,ถ่วงน้ำ,จุดไฟเผา และเนรเทศไปอยู่อเมริกาหรือออสเตเลียซะ
เรื่องของแม่มดนี้เยอะดีเนอะ มีหลายเรื่องที่จริงบ้างไม่จริงบ้าง ก็ขอยกแม่มดมาซะคนละกัน
มาเธอร์ ชิปตัน (Mother Shipton หรือ Ursula Southeil) (c. 1488 - 1561) เป็นแม่มดนักทำนายชาวอังกฤษ เธอเกิดก่อนนอสตราดามุสเสียอีก(สัก 15 ปี) รูปร่างใหญ่โตกว่าคนธรรมดา หลังค่อม หน้าตาน่ากลัว และเธอถูกเผาตายเพราะถูกกล่าวหาว่าแม่มดที่รู้อนาคตแย่ๆ ให้แก่อังกฤษ(บางอันก็ดีนะ)
คำพยากรณ์ของเธอตรงไปตรงมายิ่งกว่านอตดามุสเสียอีก เหตุการณ์สำคัญที่เธอทำนายและถูกก็เช่น การเผาไหม้ครั้งใหญ่ในกรุงลอนดอน, กองเรือสเปนที่อ่าวอามาด้า, โรคระบาดครั้งยิ่งใหญ่ในกรุงลอนดอน นอกจากนี้ยังทำนายเรื่องรอบโลก เช่น ทวีปอเมริกา, เครื่องจักรไอน้ำ, รถยนต์ เครื่องบิน, เรือดำน้ำ ซึ่งคำทำนายเหล่านั้นถูกนำมาพิมพ์เป็นหนังสือในปี 1797 (สามารถอ่านคำทำนายของเธอจากเว็บข้างต้น)
และแน่นอนคำทำนายเรื่องโลกแตกของเธอก็มีเช่นกัน ดั่งเช่นตอนหนึ่งที่กล่าวไว้ว่า
The dragons tail is but a sign (หางมังกรเป็นสัญญาณ)
For mankinds fall and man's decline. (การล่มสลายของมนุษย์ชาติ และการเสื่อมถอยของคน)
And before this prophecy is done (และก่อนทำนายนี้จะจบลง)
I shall be burned at the stake, at one (ฉันคงถูกเผาที่ลานประหาร)
My body singed and my soul set free (ร่างกายของฉันไหม้เกรียม ร่างกายของฉันถูกปลดปล่อย)
You think I utter blasphemy (คุณคิดว่าฉันสบประมาท(ดูถูกพระเจ้า)หรือ)
You're wrong. These things have come to me (คุณคิดผิดแล้วละ เพราะสิ่งเหล่านั้นได้ปรากฏแก่ฉัน)
This prophecy will come to be. (คำทำนายนี้จะเป็นจริงในที่สุด)
(หมายถึงการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 นะ ครับ ต้องเอาหลายๆ บทมาประกอบกัน แต่นี้เป็นส่วนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งส่วนต่อกันก็มีประเทศมหาอำนาจสู้กัน การมาถึงของมนุษย์ต่างดาว ภัยพิบัติ ฯลฯ และเธอเขียนคำทำนายนี้ขึ้นก่อนโดนประหารโดยการเผาในอีกหลายปีต่อมา)
Alien
คุณเคยเห็นนิยายหรือภาพยนตร์ประเภทเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวมีเพศสัมพันธ์กับมนุษย์แล้วแต่งงานกันใช่เปล่าครับ
อัตโตนีโอ วิลลาส โบแอส (Antonio Villas Boas 1934-1992) เป็นชาวนาบราซิลใน หมู่บ้านฟรานซินโก เด เซเลา ในเมืองเซาเปาโล และเป็นหนึ่งในเหยื่อที่ถูกลักพาตัวโดยมนุษย์ต่างดาว ในปี 1957 ที่ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง โดยเรื่องที่เขาอ้างนั้นบอกว่าเขามีเซ็กต์กับมนุษย์ต่างดาว(โอ้!!)
ใน ตอนนั้นอัตโตนีโออายุ 23 ปี ความจริงแล้วเขาพบจานบินหลายครั้งก่อนหน้าลักพาตัว เมื่อมีแสงผ่านตัวเขาและน้องชายหลายครั้ง จนกระทั้งเขาถูกลักพาตัวเมื่อ 16 ตุลาคม 1957 ตอนนั้นเขากำลังพรวนดินด้วยรถแทร็คเตอร์อยู่คนเดียวในตอนกลางคืนตีหนึ่ง (เนื่องจากวันนั้นอากาศร้อนมากๆ เขาเลยมาทำตอนกลางคืน) ทันใดนั้นเขาได้เห็นแสงสีแดงที่ตอนแรกเป็นดวงเล็กๆ ไกลออกไป แต่มันก็เริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และมันมุ่งหน้ามาหาเขาเขาพบว่ามันเป็นวัตถุบินได้รูปไข่สองแสงสว่างมาก เขาพยายามหนี แต่เครื่องยนต์กลับดับลงกะทันหัน เขาเลยกระโดดรถวิ่งหนี แต่กลับโดนสิ่งมีชีวิตหนึ่งที่ไม่ใช่มนุษย์สูงประมาณ 1.5 เมตร(5 ฟุต) สวมชุดคับๆ สีเทาสวมหมวกกันน็อตเชื่อมติดกันหมวกเกราะ โดยมีท่อสีน้ำเงินสามท่อแต่ละชุด มีเกราะสีแดงขนาดผลสับปะรดบนหน้าอก ตามีขนาดเล็กและสีฟ้า และพูดเหมือนตระโกน พวกมันมากันสามคนและจับเขาขึ้นไปบนยาน เขาถูกพาไปยังห้องหนึ่ง พวกมันถอดเสื้อผ้าและเช็ดตัวเขา นอกจากนั้นยังเอาเลือดจากคางของเขาไปด้วย หลังจากนั้นเขาก็พาไปห้องที่สามและเหลือตัวคนเดียวประมาณครึ่งชั่วโมง ในช่วงเวลานั้นมีก๊าซหนึ่งถูกสูบเข้ามาในห้องทำให้เขาล้มป่วยอย่างรุนแรง
หลัง จากนั้นไม่นานเขาได้อ้างว่ามีผู้หญิงเปลือยสวยคนหนึ่งเข้ามาในห้องของเขา เธอมีดวงตาเฉียงโตสีฟ้า จมูกของเธอไม่โด่งหรือไม่ใหญ่เกินไป โครงหน้าของเธอโหนกแก้มสูงมากทำให้ใบหน้าเธอกว้างมาก(กว้างกว่าผู้หญิง อินเดียนของอเมริกาใต้)แต้ใต้นั้นใบหน้าของเธอแคบลงอย่างมาก และไปสิ้นสุดที่คางแหลมของเธอ ลักษณะเช่นนี้ทำให้หน้าครึ่งล่างเหมือนรูปสามเหลี่ยม ผมของเธอสีขาว(คล้ายทองคำขาวสีบลอนด์) โดยเขาเล่าว่าเขาถูกผู้หญิงคนนั้นดึงดูดให้มีเพศสัมพันธ์ โดยระหว่างทำกิจกรรมนั้น เขาเล่าว่าผู้หญิงไม่ได้จูบเขา เมื่อเสร็จกิจเธอก็ออกจากห้อง เธอได้ชี้ที่ท้องของเธอและที่ตัวของเขา และที่ท้องฟ้า และหลังจากนั้นเขาก็ก็ถูกนำตัวลงจากยาน และยานดังกล่าวก็หายวับบนท้องฟ้า
แน่ นอนหลายฝ่ายไม่เชื่อเรื่องอัตโตนีโอเล่าเพราะว่ามนุษย์ต่างดาวทำไมต้องทำแบบ นี้ด้วย ในเมื่อพวกเขามีวิทยาการชั้นสูง ทำไมมันถึงใช้วิธีโบราณอย่างจับมนุษย์มาทดลอง แต่กรณีของอัตโตนีโอนั้นถือได้ว่าเป็นการลักพาตัวโดยมนุษย์ต่างดาวโดยมีสติ สัมปชัญญะสมบูรณ์ และเป็นคนไม่กี่คนบนโลกมนุษย์ที่มีเซ็กต์กับมนุษย์ต่างดาว
ต่อ มาอัตโตนีโอได้กลายเป็นทนายความ แต่งงานและมีเด็กสี่คน เขาตายในปี 1992 แต่เรื่องราวของเขายังเป็นที่ถกเถียงทางลัทธิเชื่อยูเอฟโอต่อไป
Angel of Death
เรื่องนี้เป็นเรื่องสยองขวัญคลาสสิกของประเทศอังกฤษ ปี 1906 ที่ประสบการณ์ของลอร์ด ดัฟเฟอริน(Lord Dufferin 's Story) เป็นทูตชาวอังกฤษ โดยเหตุการณ์เริ่มขึ้นเมื่อเขาพักในชนบทของสหายที่ไอร์แลนด์
คืน หนึ่ง ระหว่างที่พักอยู่ที่นั่น ท่านทูตรู้สึกกระสับกระส่ายผิดปกติจนไม่สามารถข่มตาหลับได้ ท่านลุกจากเตียง ตรงไปที่หน้าต่าง คืนนั้น ดวงจันทร์ส่องแสงสกาว สว่างราวกับสวนทั้งสวนอยู่ยามเช้า ขณะที่กำลังชมสวนอยู่นั้นเอง ท่านก็มองเห็นชายคนหนึ่งแบกหีบยาวเดินมา ร่างที่เงียบกริบส่อลางร้ายนั้นค่อยๆ เดินตัดสนามหญ้าสกาวในสวน เมื่อผ่านบานหน้าต่างที่ลอร์ด ดัฟเฟอรินยืนอยู่ ชายคนนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาจ้องสบดวงตาท่านทูต ท่านลอร์ดสะดุ้งเฮือกด้วยความหวาดกลัว ดวงตาของชายคนนั้นน่าเกลียดน่ากลัวเกินกว่าจะหาคำใดมาบรรยาย เขาจ้องมองท่านอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็แบกหนียาวเดินลับหายไปในเงามืด ท่านทูตมองเห็นชัดเชนว่าสิ่งที่วางอยู่บนหลังของเขานั่นคือโลงศพ(บางตำนาน ปรากฏว่าเป็นรถม้าแบกโลง)
เช้า วันรุ่งขึ้นลอร์ด ดัฟเฟอรินเที่ยวถามเจ้าของบ้านและแขกคนอื่นๆ ถึงชายลึกลับในสวน แต่ไม่มีใครทราบเรื่องของเขา ทุกคนหัวเราะและบอกว่าท่านคงฝันร้าย แต่ท่านทูตรู้ดีว่าไม่ใช่แน่นอน
หลาย ปีหลังจากนั้นลอร์ด ดัฟเฟอรินเป็นแขกของอัครราชทูตฝรั่งเศส ประจำปารีส ท่านกำลังจะไปงานเลี้ยงรุ่นที่นั่น ขณะที่กำลังจะเดินเข้าไปในลิฟต์นั้นเอง(ลิฟต์เป็นของใหม่ในสมัยนั้น) ลอร์ดก็เกิดความรู้สึกลี้ลับบางอย่างทำให้ท่านหันไปมองพนักงานประจำลิฟต์ ความตื่นตระหนกแล่นมาจับที่ขั้วหัวใจ เขาคือชายคนเดียว(หรือหน้าเหมือน)กับคนที่แบกหีบในสวนกลางแสงจันทร์คืนนั้น ท่านลอร์ดชะงักอยู่หน้าลิฟต์อย่างไม่ตั้งใจ ประตูลิฟต์ค่อยๆ ปิดลง และเพียงสองสามนาทีหลังจากท่านลอร์ดยืนตะลึงอยู่นั้น เสียงโรงก้องกัมปนาทก็ดังขึ้น ท่านลอร์ดสะดุ้งสุดตัว สายเคเบิลขาด ลิฟต์ร่วงลงไปกระแทกกับพื้นขากชั้นสาม
ผู้ โดยสารหลายคนเสียชีวิตอย่างน่าอนาจ รวมทั้งพนักงานกดลิฟต์ผู้ลึกลับ ขากการสอบสวนพบว่า พนักงานผู้นั้นเป็นลูกจ้างชั่วคราวและเพิ่งมาทำงานวันแรก ไม่มีใครรู้เลยว่าเขาเป็นใคร มาจากไหน...?
จัดอันดับโดย Cammy (ข้อมูลมาจากการแปลโดยวีกีพีเดีย) อันดับ 1 มาจากหนังสือ Strangely Enough! (C.B. Colby, Scholastic Book Services)
+ +ไม่อนุญาตให้ตั้งกระทู้ใน เว็บไซต์ Dek- D