ภาพถ่ายจากนอกโลก
เรื่องจริง !! หรือลวงโลก ?
เป็นเรื่องเก่าที่เอามาเล่าเล่นๆกันใหม่นะ
>>> ข้อมูลเพิ่มเติมคับ
เรื่องลวงโลกของ NASA กรณี ยานอพอลโล่ 11 ลงจอดบนดวงจันทร์ พ.ศ. 2512 เป็นเรื่องโกหก (แหกตาชาวโลก)
- ภาพทั้งหมด ถ่ายทำจาก สตูดิโอถ่ายทำภาพยนต์ของอเมริกานั่นเอง
- แถม NASA ยังหน้าด้านบอกว่า เทปในวันนั้นหาย ...หายทั้งๆที่เป็นประวัติศาสตร์ของโลกนี่นะ)
ภาพที่ 1 บนดวงจันทร์มีแสงมาจากที่เดียวคือพระอาทิตย์ ดังนั้นทิศทางของเงาต้องไปทางเดียว
แต่ในรูป เงามีหลายทิศทาง ตามที่ลูกศรชี้ มีดวงอาทิตย์หลายดวงหรือ เป็นแสงไฟในสตูดิโอกันแน่
ภาพที่ 2 เงาก็มีหลายทิศทาง และหากบนดวงจันทร์ไร้น้ำหนัก รอยเท้าจะลึกอย่างนั้นได้อย่างไร
ภาพที่ 3 บนดวงจันทร์ไม่มีบรรยากาศ ดังนั้นต้องไม่มีลมและต้องมองท้องฟ้าได้ชัดเจน
แต่ธงโบกสะบัดได้ไง และทำไมบนท้องฟ้าไม่มีดาวเลย
ภาพที่ 4 ยานที่ร่อนลงไปหนักตั้ง 25,000 ปอนด์ และตอนบินขึ้นต้องใช้น้ำหนัก แรงดัน
บวกความร้อนจากเชื้อเพลิงเพื่อให้บินขึ้น ไปบนพื้นผิวดวงจันทร์ แต่มีรอยแค่นี้หรือ เหมือนจับวางแล้วยกขึ้นไป
ภาพที่ 5 มีหลายที่คือ ไม่มีดาวบนท้องฟ้า และจากภาพ แสงอาทิตย์มาจากด้านขวาของ Armstrong
และก็มีเงาคนถ่ายบนกระจกปิดหน้าของเขา แต่พระอาทิตย์อยู่ไหน ไม่ได้อยู่หลังคนถูกถ่ายและคนถ่ายได้ไง
และกล้องอยู่บนอก แต่ไหงมุมถ่ายมันสูงกว่า เหมือนใช้ตาเล็งถ่าย หรือว่าคนถ่ายเป็นนักบินอวกาศที่สูงถึง 7ฟุตครึ่ง
ซึ่งก็ไม่มี
ภาพที่ 6 ภาพนักบินอวกาศกำลังลงจากยาน แสงเหมือนดวงอาทิตย์จะอยู่หลังยาน แต่ไหง
ก้นนักบินอวกาศถึงมีแสงที่ชัด เงายานไม่บัง หรือว่าจะมีแสงถ่ายอีกด้าน
ภาพที่ 7 รูปสุดท้าย นักบินอวกาศทั้ง 2 คน สูงเท่ากัน แต่เงาดันไม่เท่ากัน เหมือนเป็นเงาจากแสงไฟในสตูดิโอ
นาซ่ารับ เทปต้นฉบับ "เหยียบดวงจันทร์" หาย! หรือแหกตาตั้งแต่แรกกันแน่
แม้เวลาล่วงมาหลายสิบปี ประเด็นยานอวกาศ "อพอลโล 11" ของสหรัฐอเมริกา สร้างประวัติศาสตร์ส่งมนุษย์สองคนแรกของโลก ไปประทับรอยเท้าบนดวงจันทร์ ก็ยังคงถูกตั้งคำถามต่างๆ นานา
เอ็งแหกตารึเปล่า ?
คอลัมน์ หมุนก่อนโลก
วิทยา ผาสุก FutureTechnology
"นีล อาร์มสตรอง" กับ "บัซ อัลดริน" 2 มนุษยอวกาศสหรัฐ ก้าวเท้าย่ำดวงจันทร์ครั้งแรก 20 กรกฎาคม พ.ศ.2512
รัฐบาล-องค์การอวกาศสหรัฐ (นาซ่า) ถ่ายทอดสดภาพประวัติศาสตร์ดังกล่าวไปทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย
สิ่งหนึ่งที่หลายๆ คนอาจไม่ทราบก็คือ การถ่ายทอดครั้งนั้นต้องใช้กล้องโทรทัศน์ถ่ายภาพมาจากหน้าจอมอร์นิเตอร์ของนาซ่าอีกชั้นหนึ่ง
เนื่องจากเทคโนโลยีนาซ่าขณะนั้นยังเชื่อมต่อกับระบบกระจายภาพทางทีวีไม่ได้
ภายหลังจากโครงการอพอลโลสิ้นสุดลง บรรดา "ข่าวลือ-ทฤษฎีสมคบคิด" ทำนองว่ารัฐบาลสหรัฐจัดฉากภารกิจเหยียบดวงจันทร์
หวังต้มตุ๋นแหกตาชาวโลกก็ผุดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ที่ดังๆ ก็เช่น
1. เรื่องทั้งหมดถ่ายทำในสตูดิโอภาพยนตร์ เป็นการจัดฉากแหกตา 100% เพื่อแสดงแสนยานุภาพเหนือโซเวียต
โดยข้อกล่าวหานี้มีข้อสนับสนุนจากการชี้ให้เห็นสิ่งผิดปกติที่ปรากฎในภาพขณะเหยียบพื้นผิวดวงจันทร์
2. จัดฉากบางส่วน คือ อพอลโล 11 นำอาร์มสตรอง อัลดริน และไมเคิล คอลินส์ ออกไปนอกโลกสู่ดวงจันทร์จริง
แต่ไปได้แค่ครึ่งทาง จากนั้นช่างเทคนิคก็นำภาพในยานมาตัดต่อเข้ากับภาพเหยียบดวงจันทร์ที่ถ่ายในสตูดิโอเตรียมเอาไว้แล้ว
3. บางทฤษฎี บอกว่า ทีมอพอลโล 11 ไปถึงพื้นดวงจันทร์จริง แต่นาซ่าเอารูปปลอมมาเผยแพร่
เพราะกลัวชาติคู่แข่งนำข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ไปใช้
ที่ผ่านมา นาซ่าและประชาคมวิทยาศาสตร์บางแห่งพยายามตอบคำถามข้างต้น เพื่อแก้สารพัดข้อกล่าวหา
อย่างไรก็ตาม ไม่แน่ว่าเร็วๆ นี้อาจมีสื่อ หรือ คนบางกลุ่มงัดเอากรณี "แหกตาโลกพระจันทร์" ดังกล่าวขึ้นมาโจมตีนาซ่าอีก
เหตุเพราะจู่ๆ เมื่อ 15 ส.ค. 2549 ที่ผ่านมา นายเกรย์ โฮทาโลมา โฆษกนาซ่า แถลงยอมรับเสียงอ่อยๆ ว่า
นาซ่าทำ "เทปแม่เหล็กตัวต้นฉบับ" ที่บันทึกภาพภารกิจ-การสื่อสารระหว่างอพอลโล 11 กับสถานีภาคพื้นดินหายหมดเกลี้ยง!
รวมถึงเทปซึ่งใช้บันทึกเหตุการณ์ขณะอาร์มสตองพูดประโยคอมตะยามสัมผัสพื้นดวงจันทร์
"One small step for man, one giant leap for mankind!"
ทำหายทั้งๆ ที่เทปเหล่านั้นเป็น "ประวัติศาสตร์" สำคัญของโลก!
ใครหวังจะเอาเทปต้นฉบับปฏิบัติการเหยียบดวงจันทร์มาพิสูจน์..เป็นอันจบเกมตามไปด้วย
ฟ้องด้วยภาพ จับโกหกนาซ่า โกหกระดับ(นอก)โลก
สิ่งที่เห็น อาจไม่เป็นอย่างที่คิด นี่คือสิ่งที่เราควรทราบไว้
เป็นสัจธรรมระดับโลก (อาจลามไป ถึงนอกโลกแล้ว) บทความนี้ ต้องการสะกิด
ให้ทุกคนได้ใช้ความคิด ให้รอบคอบ ก่อนที่จะเชื่อ หรือไม่เชื่อ สิ่งใด
ควรใช้สามัญสำนึก และหลักความจริงให้มากๆ อย่างมงาย ใครพูดอะไรก็เชื่อ
เดี๋ยวจะเข้าข่าย เสียค่า NGO ฟรีๆ อย่างเช่น
เรื่องที่จะเล่าให้ฟังต่อไปนี้ ถ้าเป็นจริงตาม สมมติฐาน ก็เข้าข่าย Liar Liar
ระดับโลกเลยทีเดียว
ภาพแรกที่เราจะจับผิด คือภาพนักบินอวกาศ นีล อาร์มสตรอง
ที่รู้จักกันดีว่า เป็นคนแรกที่เหยียบลงบนดวงจันทร์
และนี่เป็นภาพที่มีชื่อเสียงมากภาพหนึ่ง
แต่สังเกตให้ดีว่า มีสิ่งผิดปกติหลายอย่างในภาพ
ตามที่ องค์การนาซ่าได้เคยอ้างไว้ว่า นักบินอวกาศที่ไปในครั้งนั้น
ไม่มีใครถือไฟฉาย หรืออุปกรณ์ที่เป็น แหล่งกำเนิดไฟอื่นๆไปด้วย
ดังนั้น แหล่งกำเนิดแสงเดียวที่มี ในภาพก็คือดวงอาทิตย์เท่านั้น แต่ทำไม
เงาถึงได้ทอดออกไปหลายทิศหลายทางแบบนั้น หรือว่ามีดวงอาทิตย์หลายดวง ?
สำหรับภาพรอยเท้าของ Buzz Aldrin ที่โด่งดังภาพนี้
ก็มีจุดผิดสังเกตว่า เงาทอดตัวลงมาจากหลายทิศทางเช่นเดียวกัน
แสดงว่าเป็นการจัดแสงในสตูดิโอมากกว่า
นอกจากนี้ เนื่องจากแรงโน้มถ่วงของดวงจันทร์ เท่ากับ 1 ใน 6 เท่านั้น
นั่นหมายความว่า แม้แต่คนหนักกว่า 300 กก.
ก็ไม่น่าจะทำให้เกิดรอยเท้าที่ฝังตัวลึกเช่นนี้ บนพื้นผิวดวงจันทร์
เนื่องจากหากน้ำหนักตัวของนักบินอวกาศ รวมเครื่องแต่งตัว
อย่างมากก็ไม่น่าจะเกิน 180 กก. เท่านั้น ซึ่งเทียบเท่ากับน้ำหนัก
เพียง 30 กก. บนโลกเรา เท่านั้น แม้จะเดินบนขี้เถ้าก็ไม่น่าจะเกิดรอยลึก
จนเห็นรายละเอียดชัดเจนขนาดนี้
หากพื้นผิวอ่อนนุ่มจนเกิดรอยเท้านี้ได้จริง ถ้าอย่างนั้น
ภาพถัดมาซึ่งเป็นภาพหลังจากยานลงจอดนี้ ก็ต้องผิดความจริง
เนื่องจากเป็นพื้นผิวบริเวณเดียวกับรอยเท้าดังกล่าว แต่ยาน Lunar Module
ซึ่งมีน้ำหนักกว่า 25,000 ปอนด์ ซึ่งถึงแม้จะร่อนลงอย่างนิ่มนวลอย่างไร
แต่อย่างน้อย ไอพ่น ซึ่งเป็นแรงต้าน ที่รับน้ำหนักกว่า 25,000 ปอนด์นั้น
น่าจะก่อให้เกิด หลุมเครเตอร์ขนาดใหญ่พอประมาณ (ถ้าพื้นผิวอ่อนนุ่ม
อย่างที่อ้างว่าเกิดภาพรอยเท้าได้) แต่ภาพนี้ กลับเหมือนยาน Lunar Module นี้
ถูกบรรจงวางไว้อย่างนุ่มนวลเหลือเกิน หากเทียบกับ
รอยเท้าของคนน้ำหนักเพียง 100 กก.
ถัดมา เป็นเรื่องของชั้นบรรยากาศ ตามที่เราทราบดีว่า
บนดวงจันทร์ไม่มีชั้นบรรยากาศ ห่อหุ้มอยู่เหมือนบนโลก
เมื่อไม่มีชั้นบรรยากาศ เป็นตัวทำให้เกิดการ กระเจิงของแสง
(แสงสะท้อนจาก ฝุ่นละออง หรือ ชิ้นส่วนเล็กๆ
ของสิ่งมีชีวิต ตลอดจนมวลของแก๊สในอากาศ) ที่จะทำให้
ส่วนที่เป็นเงามืด กลับสว่างขึ้นจนเห็นรายละเอียด ในส่วนที่เป็นเงาได้
นอกจากมีการสะท้อนจากวัตถุอื่น ซึ่งตามที่นาซ่าอ้าง
ไม่มีวัตถุอื่นอยู่ในบริเวณใกล้เคียง
แต่ทำไม ธงชาติสหรัฐ ที่ติดอยู่กับตัวยาน Lunar Module
ถึงเห็นได้ชัดมาก (จุดK)
ส่วนภาพนักบินอวกาศ เดินลงจากยาน Lunar Module จากทางด้านมืดของยาน
แต่กลับเห็นรายละเอียดอย่างครบถ้วน และเหมือนแสงมาจากทางด้านขวามือ
มากกว่าจะมาจากทางด้านหลัง (เหมือนใช้ reflect สะท้อนแสงเข้าไป
มากกว่าจะเป็น แสงจากดวงดาว หรือว่าอย่างอื่น)
ที่น่าแปลกอีกอย่างก็คือ ในยามค่ำคืนบนพื้นโลก หากคืนไหนฟ้าเปิด
ไม่มีเมฆบัง ดวงดาวจะกระจ่างเต็มท้องฟ้า แต่ไฉนบนดวงจันทร์ที่ไม่มีบรรยากาศมาบดบัง
ถึงไร้ซึ่งแสงดาวขนาดนั้น เป็นเพียงฟ้าสีดำไร้ชีวิต ในทุกๆภาพ
ดูที่ธงชาติ หากไม่มีลม ทำไมธงชาติถึงได้โบกสบัดชัดเจน
ถ้าจะอ้างว่าเป็นสภาพไร้น้ำหนัก ก็ไม่จริง ถึงจะมีแรงดึงดูน้อยกว่า 6 เท่า
แต่ทุกอย่างก็ต้องตกลงสู่พื้นอยู่ดี ถึงจะน้ำหนักมากหรือน้อย
ไม่ใช่ประเด็น ในภาพธงควรจะลู่ลง เหมือนอยู่บนโลกเวลาที่ไม่มีลมพัด ให้ธงโบกสบัด
เช่นเดียวกัน ไม่ใช่ธงสามารถลอยขึ้นไปค้างแผ่ อยู่เหมือนธงในภาพ ซึ่งถ้าสังเกตดีๆ
จะเห็นว่าผืนธงตึงเฉพาะส่วน ขอบด้านบน แต่ส่วนอื่นๆ จะพริ้วไหว
เหมือนมีการเสริมลวด หรือของแข็งไว้ด้านใน
แต่ก็เป็นไปได้ว่า เขาเตรียมธงไปแบบนั้นจริงๆ คือเสริมลวดเอาไว้
เพื่อให้มันแผ่ออกมา แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ไม่ควรมีรอย
พริ้วไหวตรงชายธงด้านล่าง เพราะไม่มีมวลอากาศมากระทบ
ควรจะเป็นเสมือนแผ่นไม้แข็งๆ ทั้งผืนมากกว่า
มากไปกว่านั้น นาซ่าได้ทำผิดสังเกต อยู่หลายต่อหลายอย่างในภาพต่อไปนี้
ที่เรียกได้ว่า ผิดพลาดทางเทคนิคแบบจะจะ
มองภาพสะท้อนบนกระจกหน้ากาก ของนักบินอวกาศ นิล อาร์มสตรอง ภาพนี้
และภาพขยายใหญ่ (ทางด้านขวา) ตรงบริเวณลูกศร คือเงาที่ทอดตัวไป
ของนักบินอวกาศอีกคน ที่นาซ่าอ้างว่าเป็น คนที่ถ่ายภาพๆนี้
(ดูจากมุมกล้อง และการทอดตัวของเงา) ก็จะเห็นได้ว่า ถ้าเงาเป็นอย่างที่เราเห็น
ในภาพจริง ก็แสดงว่า แสงจะต้องมาจากทางด้านหลังของ นิลอาร์มสตรอง
แต่ภาพที่เราเห็น แสงเข้ามาจากทางบริเวณไหล่ขวาของนิล อาร์มสตรอง ชัดเจนมาก
นี่หมายความว่า มีดวงอาทิตย์มากกว่า 1 ดวงแน่นอน บนนั้น (ดูภาพประกอบ)
นอกจากนี้ ถ้ากล้อง ถูกติดไว้ที่ตำแหน่ง C ของนักบินอวกาศทุกคน
ภาพที่เราเห็นนี้ก็ยิ่งผิดความเป็นจริงมากๆ เพราะภาพควรออกมาในระดับ
หน้าอกของทุกคน แต่ภาพที่เห็นเป็นภาพที่ ถ่ายมาจากระดับสายตา
แสดงว่าคนถ่ายต้อง ยกกล้องมาส่องที่ตาแล้วถ่าย ไม่ใช่ถ่ายภาพจากระดับหน้าอก
เพราะความสูงของนักบินอวกาศทุกคน ล้วนใกล้เคียงกัน และไม่ปรากฏว่า
คนถ่ายยืนอยู่บนเนิน หรือบนสิ่งของใดๆ (ดูจากภาพสะท้อน)
รูปสุดท้าย ที่นาซ่าก็อึ้งๆไปเหมือนกัน ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี ก็คือ
ภาพเงาที่ทอดตัวยาวออกไป ของนักบินอวกาศทั้งสองคน ในภาพนี้
จะเห็นว่านักบินอวกาศทั้งสอง มีความสูงไล่เลี่ยกัน แต่ทำไม เงาของคน A
ถึงได้ยาวกว่าอีกคน ถึงเกือบเท่าตัว นั่นแสดงว่า ระดับความสูงของแสงไฟ
ที่ส่องมายังคนทั้งสอง เป็นคนละดวงกันหรืออย่างไร ?
ทั้งที่พื้นผิวตรงบริเวณนั้น เป็นพื้นราบ
ต่างคนต่างความคิด ก็วิเคราะห์กันไป