ยูเอ็นหวั่นฝูงปลาในท้องทะเลกำลังหมดหายไป จี้ทุกฝ่ายเร่งศึกษา ขณะที่ประเทศไทยติด 1 ใน 10 ประเทศนิยมล่าฉลาม เพื่อเฉือนครีบไปทำเป็นซุปอาหารตามความเชื่อ จากการจัดอันดับของยูเอ็น..... 

นาย เดวิด บัลตอน รัฐมนตรีช่วยกระทรวงมหาสมุทรและการประมงสหรัฐฯ ประธานการประชุมของกลุ่มอนุุรักษ์ส่ิงแวดล้อมและนักวิทยาศาสตร์ระหว่าง ประเทศ ที่สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ(ยูเอ็น) เมื่อ 24 พ.ค. ร่วมเตือนถึงฝูงปลาที่คงเหลือในท้องทะเลกำลังหมดหายไป พร้อมให้ศึกษาส่่ิงที่ต้องขบคิดกับความตกลงสหประชาชาติ 2538 (The UN Fish Stocks Agreement 1995 
ขณะเดียวกัน นายสจ๊วต เบ็ค เอกอัครราชทูตประจำยูเอ็นเกาะปาเลา ฝั่งตะวันออกค่อนใต้หมู่เกาะฟิลิปปินส์ในมหาสมุทรแปซิฟิก ขอให้ทบทวนหยุดล่าครีบฉลาม เพื่อสรุปปริมาณปลาฉลามที่ลดฮวบภายใต้ข้อตกลงดังกล่าวที่เร่ิมใช้ปี 2544 ทั้งนี้ แต่ละปีจะมีฉลามถูกฆ่าท้ิง 73 ล้านตัว เพื่อเฉือนครีบไปทำเป็นซุปอาหารตามความเชื่อว่า บำรุงสุขภาพและบอกถึงฐานะร่ำรวย ถือว่าทารุณเทียบเท่ากับล้มช้างเพื่อตัดงาไปทำเป็นเครื่องประดับ 

ทำ ให้ประธานาธิบดี จอห์นสัน ทอริบิออง แห่งปาเลา ประกาศเมื่อปีกลาย ให้ทั้งเกาะเป็นถ่ินอาศัยปลาฉลามหัวฆ้อน ฉลามเสือดาว ฉลามครีบขาวและอีกกว่า 130 สายพันธุ์แห่งแรกของโลก

นอกจากนี้ ยูเอ็นยังจัดอันดับสุดยอด 10 ประเทศนิยมล่าฉลาม ได้แก่ จีน เปรู สหรัฐฯ อินโดนีเซีย ญีปุ่่น ชิลี อินเดีย รัสเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย จึงขยายกรอบกฎหมายในหมู่พันธมิตรอีก 77 องค์กรรวมสหภาพยุโรป (อียู) ที่ตั้งข้อกำหนดล่าปลาทูน่า ปลาฉนากย้ายถิ่นระยะทางไกล 

ขณะที่ นางซูซาน ลีเบอร์แมน ผอ.ด้านวางนโยบายระหว่างประเทศ ประจำกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมพิว (Pew) อ้างองค์กรการเกษตรและอาหารสหรัฐฯว่า ปลาน่านน้ำสากลลดวูบถึง 3 ส่วนและอาจหมดโลกอีก40ปีข้างหน้า. 
  
ที่มา:ไทยรัฐ