10 Garden of Eden
สวนอีเดน เป็นสถานที่บรรยายไว้ในพระธรรมปฐมกาล ว่าเป็นสถานที่มนุษย์สองคนแรกที่พระเจ้าสร้างอาดัม และ อีฟ นอกจากนั้นมันยังอยู่ในบันทึกจารึกในตำนานของชาวสุเมเรียนด้วยว่าเป็นดินแดนที่พระเจ้าสร้างมนุษย์ที่นั่น โดยสวนนั้นบรรยายไว้ว่าสวยงามราวกับสวรรค์ สงบสุข มีพืชพรรณอาหารอุดมสมบูรณ์ เต็มไปด้วยสัตว์ป่า แม่น้ำใสสะอาด ต้นไพรพฤษาแผ่เงาร่มเย็น แต่ปัญหาคือถ้าสถานที่นี้มีจริง มันจะอยู่จุดไหนของโลกกันแน่ โดยหลายคนเชื่อว่าสวนอีเดนนี้อยู่ในโมโสโปเตเนีย ทางภาคกลาง เนื่องจากบันทึกการสร้างโลกในพระธรรมปฐมกาลได้กล่าวถึงที่ตั้งของสวนอีเด็นว่าอยู่ในบริเวณแม่น้ำสำคัญสี่สาย: แม่น้ำพิชอน แม่น้ำกิฮอน แม่น้ำไทกริส และแม่น้ำยูเฟรติสซึ่งอยู่ในบริเวณอาร์เมเนีย, ยอดเขาอาระรัต, เยเรวาน หรือที่ราบสูงอาร์เมเนีย) ซึ่งอยู่ในบริเวณประเทศอิรักในปัจจุบัน ซึ่งน่าจะเป็นบริเวณคอเคซัสโบราณโดยเฉพาะบริเวณใกล้กับอาร์เมเนีย แต่ที่ตั้งของแม่น้ำทั้งสี่ยังเป็นที่ถกเถียงกันและยังไม่มีหลักฐานเป็นที่แน่นอนที่สนับสนุนที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของแม่น้ำนอกจากที่กล่าวในพระธรรมปฐมกาลเอง และ วรรณกรรมยิว-คริสเตียนเช่น “จูบิลี” สมมุติฐานอื่นก็ว่าตั้งอยู่ที่เมโสโปเตเมีย ทวีปแอฟริกา หรือ อ่าวเปอร์เซีย สมมุติฐานหลังมาจากหลักฐานของลุ่มแม่น้ำสี่สายที่มาพบกันที่เป็นที่ผลิตทองคำ และยางไม้หอม ซึ่งตรงกับการพรรณนาการสร้างโลกดังกล่าว (ลอกจากอันเก่ามาลงมักง่ายจังวุ้ย)
9 El Dorado
เป็นภาษาสเปนเดิมมีความหมายว่า “มนุษย์ทองคำ” แต่กระนั้นในเวลาต่อมาก็เปลี่ยนเป็น “นครทองคำ” ซึ่งเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยทองคำและอัญมณีที่มีค่า และปัจจุบันได้กลายเป็นคำอุปมาหมายถึงดินแดนในฝันที่มนุษย์ทุกคนที่ได้มาแล้วร่ำรวยอย่างรวดเร็ว
ในตำนานเล่าว่าเรื่องของนครทองคำนี้มาจากอินเดียแดงเผ่าชิบชาเชื้อสายมูอิสกาบนเทือกเขาแอนดีส เมืองแห่งนี้ทุกบ้านตกแต่งด้วยทอง ทุกอย่างทำด้วยทอง แม้แต่พิธีกรรมสำคัญของพวกเขาอย่างพิธีบวงสรวงเทวีแห่งทะเลสาบกัวตาวีตา กษัตริย์มูอิสกาจะต้องทาตัวด้วยยางไม้จนทั่วแล้วลงไปเกลือกในผงทองแล้วโดดลงในน้ำในทะเลสาบล้างผงทองตามตัว แล้วโยนเครื่องทองและอัญมณีลงทะเลสาบ โดยประเพณีดังกล่าวถูกยกเลิกในปี 1500 แต่มันก็ได้กระตุ้นให้มันก็ได้กระตุ้นให้นักสำรวจชาวสเปนและชาวยุโรปเข้ามาสำรวจและยึดคลองดินแดนหลายแห่งในทวีปอเมริกาใต้(รวมไปถึงการปล้นทองคำจากชาวพื้นเมืองหลายพื้นที่) แม้แต่โคลัมบัสก็เคยได้ยินเรื่องนี้และพยายามตามหาเหมือนกัน(เมื่อปี 1502) โดยคาดว่านครทองคำนี้อยู่ห่างจากแม่น้ำโอรีโนโก ในเวเนซุเอลา ใช้เวลาเดินทาง 10 วัน แต่ก็ล้มเหลวต่อมา และต่อมาก็มีนักสำรวจหลายคนพยายามค้นหานครที่ว่านั้นในอเมริกาใต้ โดยครอบคลุมถึงแม่น้ำอเมซอนเลยทีเดียว หากแต่คนที่รอดกลับมานั้นมีไม่กี่คน และชื่อของเอลโดราโดก็อยู่ในนิยายและวรรณกรรมหลายเรื่อง นอกจากนั้นยังถูกตั้งเป็นชื่อเมืองและสถานทีในอเมริกาใต้และอเมริกาหลายแห่ง เช่น เอลโดราโดเคาน์ตีในแคลฟอร์เนียและรัฐอาร์คันซอ
8 Beimeni
หรือน้ำพุแห่งวัยเยาว์ เป็นเรื่องเล่าของนักสำรวจสเปน ที่ได้พบเห็นน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ซึ่งผู้ใดได้ดื่มกินจะกลับเป็นหนุ่มสาวได้ โดยเรื่องนี้เริ่มขึ้นเมืองนักสำรวจสเปนชื่อดังนามฮวน ปองเซ เดอ ลีอองต้องการเดินทางไปในดินแดนแห่งใหม่คืออเมริกา ระหว่างทางเขาได้ยินชาวพื้นเมืองที่กล่าวถึงน้ำพุนี้อย่างน่าสนใจ เขาเลยออกตามหา โดยสถานที่แรกที่ไปคือบริเวณที่ตั้งของรัฐฟลอริด้าในปัจจุบัน ไปจนถึงเกาะแห่งหนึ่งคือเกาะบิมินี่ แต่กระนั้นเขาก็ไม่เคยเห็นน้ำพุที่ว่านี้ด้วยตาของตนเองเลยชั่วชีวิต แต่เขาก็เชื่อว่ามันมีอยู่จริง จึงนำเรื่องของมันเล่าแก่เพื่อนๆ นักเดินเรือจนเป็นที่แพร่หลายแก่หมู่นักเดินเรือชาวสเปนในยุคสำรวจโลกในเวาต่อมา ปัจจุบันน้ำพุแห่งวัยเยาว์กล่าวเป็นศัพท์ที่ที่อุปมาเกี่ยวกับแนวทางการค้นหาชีวิตที่จะทำให้ชีวิตมนุษย์ยืนยาวในทางวิทยาศาสตร์
7 Camelot
คาเมล็อตเป็นเมืองในตำนานของอังกฤษปรากฏในศตวรรษที่ 12 โดยกวีชาวฝรั่งเศส ชื่อ เครเตียง เดอทรัว เขาได้แรงบันดาลใจจากเรื่องเล่าของวณิพกที่มาแสดงลำนำในราชสำนักของราชินีเอลินอร์แห่งอากีแตน เครเตียง ที่เล่าถึงความรัก กษัตริย์อาเธอร์และเมืองหลวงที่วิเศษแห่งนี้ในโลก
ตามตำนานเล่าว่าคาเมล็อตตั้งอยู่ในป่าเขาและที่ใจกลางเมืองมีปราสาทที่เป็นที่อยู่ของกษัตริย์อาเธอร์ และอัศวินโต๊ะกลม ที่ปกครองด้วยสามัคคีธรรม ซึ่งเป็นดินแดนในฝันของคนยุคกลางสาเหตุก็เนื่องมากจากช่วงเวลานั้นเต็มไปด้วยสงครามและโรคระบาด
คาเมล็อต เป็นดินแดนมหัศจรรย์ที่ดึงดูดจิตใจผู้คนมานานกว่า 8 ศตวรรษ หลายคนต่างเสาะแสวงหาตามที่ต่างๆ ว่าเมืองแห่งนี้แท้ที่จริงคือเมืองไหนกันแน่และกษัตริย์อาเธอร์มีความจริงหรือเปล่า แต่จนบัดนี้ก็ไม่สามารถหาคำตอบได้ แต่เชื่อกันว่าปราสาทอาเธอร์แห่งเมืองคาเมล็อตน่าจะเป็น ปราสาทแคดเบอร์รีที่เมืองเซาท์แคดเบอร์รีมณฑลซอมเมอร์เซ็ตเป็นสถานที่ที่น่าเชื่อถือที่สุด เพราะปราสาทนี้เป็นป้อมปราการขนาดใหญ่ที่สุดของอังกฤษในช่วงเวลาที่น่าจะเป็นยุคสมัยของกษัตริย์อาร์เธอร์ และเป็นศูนย์บัญชาการของกษัตริย์นักรบผู้ทรงแสนยานุภาพ อีกทั้งในปลายศตวรรษที่ 5 ซึ่งเป็นช่วงที่กษัตริย์อาร์เธอร์น่าจะมีพระชนม์ชีพอยู่ ป้อมนี้ถูกโรมันตีแตกไปเมื่อ ค.ศ.83 และทิ้งให้ร้างต่อมาถึง 400 ปีก่อนจะมีการบูรณะขึ้นมาอีกครั้ง มีร่องรอยของอาคารไม้และห้องโถงยาว 19 เมตร ซึ่งอาจเคยเป็นที่ตั้งโต๊ะกลมของบรรดาอัศวินก็ได้
6 Cockaigne
เป็นดินแดนจินตนาการในตำนานในยุคกลาง ที่เรียกว่าสวรรค์บนดินชัดๆ โดยเล่าว่า เป็นดินแดนที่ไม่มีกฎหมายและไม่มีกฎใดๆ ในเมืองแห่งนี้ มีเสรีภาพทางเพศ มีอาหารการกินอุดมสมบรณ์ทั้งบนดินและบนท้องฟ้า(ฝนตกเป็นชีส) และอากาศที่สบายเหมาะแก่การนอน โดยเมืองแห่งนี้ปรากฏอยู่ในบันทึก the Latin "Cucaniensis" และ the Middle English "Cokaygne" นอกจากนั้นในประเทศต่างๆ เรียกชื่อเมืองนี้แตกต่างกัน เช่น ดัตช์เรียกเมืองนี้ว่า “ดินแดนแห่งความขี้เกียจ” เยอรมันเรียกเมืองนี้ว่า “ดินแดนแห่งน้ำนมและน้ำผึ้ง” สวีเดนเรียก ดินแดนเพื่อนสันหลังยาวและไขมัน บางประเทศก็เรียก “ดินแดนแห่งอาหาร” แน่นอนดินแดนแห่งนี้ไม่มีอยู่จริงในโลกแน่นอน โดยที่มาของเมืองนี้เป็นการสมมุติเมืองแบบยูโทเปียแบบเมืองสวรรค์ ที่ความเกียจคล้ายและการกินเป็นอาชีพหลัก ซึ่งถือว่าเป็นดินแดนในฝันของชาวนายุคกลาง ซึ่งอาชีพชาวนาสมัยนั้นลำบากมากๆ
5 Valhalla
สวรรค์วัลฮัลลา เป็นตำนานของสแกนดิเนเวีย ปรากฏในศตวรรษที่ 13 ในกวี Edda ตามตำนานเล่าว่าที่แห่งนี้เป็นสวรรค์ของชาวนอร์ส(หรือพวกไวกิ้ง) ปกครองโดยพระเจ้าโอดินที่มีคำสั่งให้วาลคิวรี(ผมเขียนถูกหรือเปล่า)รวบรวมวิญญาณของเหล่านักรบผู้กล้าที่ตายมาในดินแดนแห่งนี้ เพื่อฝึกฝนเตรียมตัวในการทำสงครามแร็คนาร็อก โดยจะมีสัตว์ประหลาดออกมาเพื่อต่อสู้ หากชนะก็จะสามารถกินดื่มกันไม่อั้นในมีอาคารขนาดใหญ่ที่เรียกว่าวิหารแห่งนักรบ Valhalla วิหารแห่งนี้มี 540 ประตู ใช้หอกเป็นจันทัน ใช้โล่เป็นหลังคา และใช้แผ่นเกราะตรงหน้าเป็นม้านั่ง นอกจากนั้นยังมีหมาป่าเป็นผู้รักษาประตูทิศตะวันตกและนกอินทรีย์คอยบินโฉบเฉี่ยวไปมา ที่นี้สามารถดื่มสำราญกันอย่างไม่มีสิ้นสุด หมูที่กินไปหมดแล้วก็มีมาเรื่อยๆ ไม่รู้จักหมด น้ำที่ดื่มเป็นไวน์ที่ดื่มก็ไม่มีพร่อง และเมื่อถึงเวลาสงครามนักรบ 800 คนจะเดินสวนสนามออกไปทางแต่ละประตู (ดินแดนแห่งนี้ปรากฏในการ์ตูนเรื่องการผจญภัยของบิลลี่กับแมนดี้)
4 Avalon
อวาลอน (คาดว่ามาจากคำในภาษาเคลติก abal หมายถึง แอปเปิล) เป็นเกาะและเมืองในตำนานกษัตริย์อาเธอร์ ได้เชื่อว่าเป็นเมืองที่กษัตริย์อาเธอร์อยู่ก่อนที่เขาจะเสียชีวิต ปรากฏครั้งแรกในวรรณกรรมของเจฟฟรีย์แห่งมอนมอธ ในบันทึกประวัติศาสตร์จำลอง ฉบับ ค.ศ. 1136 เรื่อง Historia Regum Britanniae ("ประวัติกษัตริย์แห่งบริเตน") ในตำนานเล่าว่าในที่แห่งนี้เป็นดินแดนแห่งแอปเปิล มีที่สวยงามและอร่อยที่สุดในโลก และยังเป็นสถานที่ที่สร้างดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์ของกษัตริย์อาเธอร์ และเป็นที่ซึ่งอาเธอร์ใช้รักษาแผลบาดเจ็บจากการรบ หลังจากการศึกครั้งสุดท้ายที่คัมลานน์ นอกจากนั้น ในตำนานของชาวคริสต์ ช่วงที่พระเยซูฟื้นจากความตาย ได้บอกกับโจเซฟว่า เขาจะไปยังที่อวาลอนแห่งนี้ ซึ่งความจริงแล้วบนโลกของเรามีชื่อเกาะอวาลอนอยู่จริง ในประเทศอังกฤษ ซึ่งในปีค.ศ.1911 นักบวชที่วิหารกลาสตันเบอรี่ ในซอมเมอร์เซต บน พบพระศพของกษัตริย์และราชินีคู่หนึ่ง ซึ่งต่อมาประกาศว่าเป็นพระศพของกษัตริย์อาเธอร์และราชินีของพระองค์ ทางพระเจ้าเฮนรี่ที่ 2 จึงโปรดให้จัดพิธีฝังพระศพขึ้นใหม่เพื่อเป็นสัญลักษณ์อันดีงามและเป็นความฝันของชาวอังกฤษ หากแต่ในเวลาต่อมาก็พบว่ามันเป็นของปลอม และเกาะอวาลอนที่แท้จริงนั้นก็ยังไม่มีใครทราบว่ามันอยู่ที่ใดกันแน่ (เกาะอวาลอนปรากฏอยู่ในการ์ตูนหลายเรื่อง หนึ่งในคือการ์ตูนมหาสงครามจอกศักดิ์สิทธิ์)
3.Shangri-La
เป็นสถานที่จิตนาการที่ปรากฏอยู่ในหนังสือเรื่อง Lost Horizon(แปลไทยในชื่อ ลับฟ้าปลายฝัน) เขียนโดย เจมส์ ฮิลตัน โดยหนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1933 เพื่อปลอบประโลมจิตวิญญาณของผู้คนที่กำลังสับสนกับชีวิตหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยหนังสือเล่มนี้ทำให้ชาวโลกรู้จักเมืองแชงกรีลาซึ่งเป็นภาษาธิเบตหมายถึงทางนำไปสู่ดวงตะวันและดวงจันทร์โดยดวงจิต หรือ ดินแดนอีกด้านหนึ่งของโลก หรือ แดนสวรรค์บนโลก โดยหนังสือได้พรรณนาว่าเป็นดินแดนเร้นลับแห่งใดแห่งหนึ่งในธิเบต และมีความเชื่อที่ว่า นี่คือดินแดนในฝันของมนุษยชาติชุมชนที่สวยงามสงบสุข มีอารยธรรมสูง ไม่มีความรุนแรง ไร้ซึ่งความกังวลใจ ตั้งอยู่ท่ามกลางขุนเขาสูงใหญ่ที่ยอดเขาปกคลุมด้วยหิมะตลอดทั้งปี ความสงบ อากาศเย็น และผู้คนมีความเป็นมิตร มีอายุวัฒนะ แต่จะหายไปทันทีถ้าใครออกไปนอกเขตแชงกรีลา ปัจจุบันชื่อของแชงกรีลากลายเป็นชื่อเมืองหนึ่งของจีน คือตี๋ชิง(Diqing) อำเภอตี๋ชิง เขตจงเตี้ยน บริเวณตะเข็บรอยต่อของมณฑลยูนนานและทิเบต โดยทางจีนประกาศอย่างเป็นทางการ เมื่อปี 1997 (โดยศึกษาค้นคว้า ตามคำบรรยายของ เจมส์ ฮิลตัน เทียบกับพื้นที่ต่างๆในประเทศจีนมาร่วมปี)
2 City of the Caesars
เมืองแห่งซีซาร์ เป็นเมืองในตำนานของอเมริกาใต้ ที่สมมุติตั้งอยู่ใน Patagonia ในหุบเขาแอนดีสระหว่างชิลีกับอาร์เจนติน่า โดยเมืองแห่งนี้ถูกบรรยายว่าเป็นเมืองที่มั่งคั่งด้วยทอง เงิน และเพชร โดยเสน่ห์ของเมืองนี้เกิดขึ้นจากคำบอกเล่าของผู้รอดชีวิตจากเรือแตกชาวสเปนที่เรือสาเหตุจากเรือเต็มไปด้วยทรัพย์สินทองและเงินที่มาจากเมืองนี้(และยังไม่หมด)โดยเรือแตกตรงที่ช่องแคบ Magellan เมืองนี้เป็นอีกเมืองหนึ่งที่พวกล่าอาณานิคมพยายามจะตามหาอย่างหนักจนไม่พบ จนกระปัจจุบันชื่อเมืองที่ว่าได้กลายเป็นชื่อของโรงแรมแห่งหนึ่งในลาสเวกัส(บ่อนพนันละลายทรัพย์)
1 YS
เมือง YS เป็นเมืองในตำนาน ที่สร้างขึ้นในชายฝั่งของมณฑตบรีตัน(YS ในภาษาฝรั่งเศสหมายถึงอยู่ในบรีตัน) ว่ากันว่าเมืองแห่งนี้สวยงามและน่าประทับใจที่สุดในโลก และด้วยความเจริญอย่างรวดเร็วทำให้กลายเป็นเมืองแห่งบาป ซึ่งสุดท้ายเมืองแห่งนี้ก็หายไปโดยการกลื่นของมหาสมุทร ปัจจุบันชื่อ YS เป็นชื่อเกมหนึ่งในระบบในหลายเครื่อง
0 Utopia
ยูโทเปียเป็นแนวคิดเมืองในอุดมคติที่ไม่สามารถเกิดขึ้นจริงบนโลกของเราได้ โดยแนวคิดนี้เป็นของโทมัส มอร์ นักปรัชญามานุษยนิยมชาวอังกฤษ เขียนขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1516 โดยตั้งใจเขียนเป็นวรรณกรรมเสียดสีล้อเลียนความโง่เขลาและความเลวร้ายของสังคมในสมัยนั้น โดยสมมุติเมืองหนึ่งที่ผู้คนเป็นคนดีมีศิลธรรมและความพึงพอใจในการใช้ชีวิต ไม่ให้ความสำคัญกับวัตถุ เห็นเงินทองเป็นสิ่งหยาบช้า ไม่มีค่า ในเมืองไม่มีกฎหมายออกมาบังคับประชาชนมากมาย พวกเขาอยู่ร่วมกันด้วยการให้เกียรติซึ่งกันและกัน ใส่เสื้อผ้าเรียบง่ายคล้ายคลึงกัน เสื้อผ้าแต่ละชุด ใช้ทนทานนานถึงเจ็ดปี และผู้คนในระดับผู้ปกครองก็ไม่มีสิ่งบ่งบอกด้วยวัตถุใดๆ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าอาภรณ์ หรือสิ่งประดับที่ชี้ให้เห็นว่าแตกต่างจากประชาชนอื่นๆบ้านเรือนทุกบ้านเป็นสวนปลูกดอกไม้ ผลไม้หรือพืชผัก ไม่มีกลอนหรือกุญแจบ้าน เพราะไม่จำเป็น และความเป็นอยู่ไม่ขัดสน อยู่ดีกินดีมาก ไม่มีการแก่งแย่งกัน และชาวเมืองต่างทำงานตามหน้าที่โดยไม่เกลียดคร้าน ไม่มีร้านเหล้า ไม่มีการพนัน หรือสิ่งยั่นยุอื่นๆ ความบันเทิงคือการศึกษาหาความรู้ เรียกได้ว่าเป็นสังคมอุดมคติอย่างแท้จริง
-1 Atlantis
แอตแลนติส เป็นเมืองเกาะในตำนานที่ปรากฏในหนังสือของเพลโตนักคิดแห่งกรุงเอเธนส์ ที่เขียนราว 400 ปีก่อนคริสตกาล ในบทสนทนาระหว่าง "ทิมาอีอุส" กับ "ไครติอัส" โดยไครติอัส ที่พรรณนาเมืองแห่งนี้ว่า เป็นเมืองที่ปปกครองโดยกษัตริย์ปกครองแผ่นดินที่มีมหานครบนกลางเกาะ และในใจกลางนครมีหมาราชวังและวิหารที่ยิ่งใหญ่ของเทพโพไซดอน ดินแดนแห่งนี้มีความอุดมสมบูรณ์ มีต้นไม้สีเขียวทุกหนแห่ง อากาศที่แสนวิเศษ ทำให้ผลไม้สุกปีละสองครั้ง ในแผ่นดินมีช้าง และสัตว์อื่นๆ มากมาย ทั้งสัตว์ป่า และสัตว์เลี้ยง ที่เมืองก็เจริญมั่งคั่งทั้งมีน้ำพุร้อนและเย็นสำหรับอาบ เป็นน้ำพุประดับ สวนสาธารณะและสวนผลไม้ มีที่สำหรับออกกำลังกายสำหรับบุรุษและม้า สนามม้าแข่งขนาดใหญ่ โรงทหาร ห้องคนเฝ้ายาม อู่เรือ ท่าเรือ เต็มไปด้วยเรือสิน ค้าและเรือทหาร ผู้คนเคารพกฎหมาย กษัตริย์ของพวกเขาก็ปกครองอย่างชาญฉลาดและยุติธรรม หากต่อมาพวกเขาต่างละโมบโลภมากและทะเยอทะยานจนเป็นเหตุทำให้ ซุส กษัตริย์แห่งทวยเทพโกรธเป็นอย่างมากเลยบันดาลให้เกิดมหันตภัยธรรมชาติ แผ่นดินไหวและน้ำท่วมใหญ่ ทั้งวันและคืนที่โหดร้าย แผ่นดินแยกและกลืนกินชีวิตนักรบของเอเธนส์ทั้งหมด ในขณะที่เกาะยิ่งใหญ่แห่งแอตแลนติสก็จมหายไปในทะเลไปตลอดกาล ปัจจุบันยังมีมีการค้นหาเมืองแอตแลนติสแห่งนี้เนื่องจากเชื่อว่ามีอาวุธโบราณร้ายแรงอยู่ที่นั่น โดยคาดว่าอาจอยู่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เพราะนักประดาน้ำบางคนพบขุมทองบริเวณนั้นนั่นเอง
เนื้อหาจากเว็บ และเพิ่มเติมโดย Cammy
http://listverse.com/2008/08/18/top-10-mythical-places-you-want-to-live-in/