ฟาร์มศพนี้เป็นสถานที่มีอยู่จริงในโลกเราครับ บ้านเราอาจไม่มี เพราะมันอาจผิดศิลธรรมในบ้านเรา ถือว่าไม่ให้ความเคารพกับคนตาย แต่สำหรับบ้านเขาแล้ววันเป็นสถานที่สำคัญมากๆ เพราะมันช่วยให้วิชาการชันสูตรศพให้เจริญก้าวหน้า และผมเชื่อว่าคุณหญิงแพทย์หญิงพรทิตย์ก็น่าจะเคยไปสถานนี้เช่นกัน
ฟาร์มศพ หรือเรียกว่า บอดี้ ฟาร์ม แต่ถ้าเรียกตามหลักวิทยาการหรูๆ ก็เรียกว่า “ศูนย์วิจัยทางมนุษยวิทยา” สถานที่นี้ตั้งอยู่ในหุบเขาแห่งหนึ่ง ในเมืองน็อกซ์วิลล์ แห่งรัฐเทนเนสซี สหรัฐอเมริกา มีพื้นที่ประมาณ 3 เอเคอร์ ค่อนข้างกว้างที่เดียว
เมื่อเข้าไป คุณอาจตกกะใจ หวาดกลัว หวีดหวิว และเหม็นเพราะที่นั้นมีศพมนุษย์มากมายถูกทิ้ง ตายเกลื่อน กระจัดกระจายเต็มพื้นที่เลยครับ บางศพถูกทิ้งบนเบาะรถที่สนิมเกรอะกรัง บางศพถูกนำมาทิ้งที่พุ่มไม้เตี้ยๆ ใต้เงาต้นไม้ใหญ่ บางศพคว่ำหน้าไว้ในดินครึ่งหนึ่ง บางศพถูกทิ้งแบบนอนหงายท้าแดด ท้าลมฝน ฯลฯ เสมือนหนึ่งทุ่งสังหารแห่งใดแห่งหนึ่งในโลกใบนี้เลยที่เดียว (คงไม่ต้องถามนะครับว่ามีแร้งกับหมาป่ามากินศพไหม มีเพียบครับ แต่บางศพก็ใจดีถูกเก็บไว้ในกรงเหมือนกัน)
ถ้าคนธรรมดาคงคิดว่าสงสารที่พวกเอาไปทิ้งไม่ให้ความเคารพกับคนตายแต่สำหรับพวกแพทย์ชันสูตร เอฟบีไอ หน่วยงานตำรวจต่างๆ นั้นคิดคนละอย่างเลยครับ
สถานที่แห่งนี้เป็นที่พึ่ง มันเปรียบเสมือนแหล่งศึกษาเรียนรู้ การตายของมนุษย์ที่ดีที่สุดโลกก็ว่าได้ เพราะที่นี้รวมลักษณะการตายทุกประเภท สามารถมาอ้างอิงทางคดีความ การฆาตกรรมต่างๆ อย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ
เออ.....ลืมบอกไป สถานที่นี้อยู่ในการดูแลของมหาวิทยาลัยแห่งเทนเนสซี และเขาจงใจทิ้งศพไว้ตามจุดต่างๆ ในหุบเขาไว้เองครับ โดยนายวิลเลี่ยม เบสส์ นักวิทยาศาสตร์ทางนิติเวชวิทยาและเป็นอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยเป็นผู้ต้นคิด และก่อตั้งฟาร์มแห่งนี้
ทำไมต้องทิ้งเหรอ? จุดประสงค์ก็เพราะเขาต้องการให้ศพที่ถูกทิ้งที่นั้นมีการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติแห่งการเน่าเปื่อยเพื่อผลวิเคราะห์ วิจัยกันอย่างเป็นระบบ
โดยการวิจัยมี 4 ขั้นตอนด้วยกันคือ
1. ชีวเคมีเหลวจากเซลล์ต่างๆ ในร่างกายศพ
2. การย่อยสลายของแบคทีเรียในเนื้อเยื่อศพ
3. การแห้งเ***่ยวแห่งผิวหนังศพ
4. การวิเคราะห์โครงกระดูก
นอกจากนั้นยังรวมถึงผ้ารองศพ ผิวดิน เสื้อผ้าของศพ และถุงห่อศพ ก็มีผลต่อการวิจัยเช่นกัน
สถานที่แห่งนี้มีประโยชน์ในการช่วยเหลือคดีฆาตกรรมมากครับ มันมีส่วนช่วยเหลือในคดีฆาตกรรมหลายคดี อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานอื่นๆ เอฟบีไอและตำรวจท้องถิ่นมากมาย และที่สำคัญคือมันช่วยเปลี่ยนโฉมหน้างานสืบสวนให้เป็นสมัยใหม่มากขึ้นจนวิธีการเดาสุ่มในการสืบสวนในอดีตนั้นต้องโยนทิ้งขยะเลยที่เดียว
ลูกศิษย์ทั้งหลายที่มาศึกษาฟาร์มแห่งนี้ จบออกไป ต่างบอก “พระเจ้าจอร์ดมันยอดมาก”แต่ละคนที่จบไปได้ดิบได้ดีกันทั้งนั้น ตัวอย่างก็เช่น นายอาร์เพิร์ด แฟซ ที่ศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยฟาร์มศพแห่งนี้มายาวนานตั้งแต่ทศวรรษที่ 80 ปัจจุบันเป็นอาจารย์ในฟาร์มศพ และมีส่วนช่วยในการใช้ความรู้ในการสะสารคดีที่ยากถึง 100 คดีด้วยกัน
สำหรับเรื่องของศพ ก็ไม่เป็นปัญหาเพราะศพทยอยมาเรื่อยๆ ไม่ขดตอน เพราะทุกวันนี้ “ศพอาสาสมัคร”เข้ามาในฟาร์มแห่งนี้เสมอ
บางส่วนก็เอามาจากชาวบ้านท้องถิ่นที่ปรารถนาจะเป็นครูใหญ่ที่ฟาร์มศพ บางส่วนก็มาจากศพนิรนามไม่รู้สาเหตุการตายหรือที่ไปที่มาเป็นอย่างไร บางศพได้จากการบริจาคของสุสานบางแห่ง บางส่วนได้จากครอบครัวยากจนไม่มีเงินพอจะจัดงานศพเลยฝากไว้ที่ฟาร์มเพื่อศึกษา ฯลฯ+ +