เวลาล่วงเลยมาถึงกลางเดือนสิงหาคมของทุกปี สำหรับคนที่เป็นนักสะสมรถ หรือแฟนพันธุ์แท้รถยนต์โบราณ คงทราบดีว่า บนหลุมที่ 18 ของสนามกอล์ฟ Pebble Beach Golf Links ที่เมืองมอนเทอเรย์ มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา จะถูกเว้นวรรคในการทำหน้าที่อย่างเคย จากการเป็นสังเวียนในการแข่งกีฬาส่งลูกลงหลุมถูกเปลี่ยนมาเป็นเวทีสำหรับจัดแสดงและประกวดรถยนต์โบราณรายการใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลยทีเดียว
การจัดงานนี้ถูกเรียกว่า Pebble Beach Concours d'Elegance และมีการจัดงานกันมาตั้งแต่ปี 1950 ส่วนในปีนี้มีการจัดกันตั้งแต่วันที่ 11-15 สิงหาคม และเป็นปีที่มีความสำคัญ เนื่องจากเป็นการฉลองครบปีที่ 60 ปีพอดี โดยนอกจากจะเป็นเวทีสำหรับประกวดรถยนต์โบราณแล้ว Pebble Beach Concours d'Elegance ยังมีการจัดการประมูลรถยนต์โบราณหายากโดยทาง Gooding&Company รับหน้าที่จัดงาน การขับรถทัวร์บนเส้นทางเลาะชายฝั่งแปซิฟิก หรือ Pebble Beach Tour d'Elegance รวมเป็นอีเวนท์ที่น่าสนใจตลอดสุดสัปดาห์ของการจัดงานด้วย
ที่มา
http://www.manager.co.th/Motoring/ViewNews.aspx?NewsID=9530000117887
บรรยากาศการขึ้นรับรางวัล Best of Show ของ Delage D8S De Villars Roadster
Best of Show ปีนี้มาจากปี 1933
แน่นอนว่า Pebble Beach Concours d'Elegance ถูกใช้เป็นเวทีสำหรับการประกวดรถยนต์โบราณ จึงเป็นจุดศูนย์รวมของบรรดานักสะสมรถยนต์ทั่วโลกในการส่งของดีมาร่วมประกวด ซึ่งในงานนี้มีการจัดรางวัลเอาไว้เยอะมาก และแต่ละรางวัลจะมีเปลี่ยนไปไม่เหมือนกันไปในแต่ละปี เช่น ในปีนี้เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองครบ 100 ปีของอัลฟา โรมีโอก็มีการจัดประกวดคลาส E แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ E-1 สำหรับ Alfa Centennial และ E-2 สำหรับ Alfa 8C
แต่ที่ได้รับความสนใจมากที่สุดคือ รางวัล Best of Show ซึ่งจะเป็นการนำรถยนต์ที่ชนะในคลาสหลักๆ มาประกวดกันอีกครั้งเพื่อค้นหารถยนต์คลาสสิคซึ่งเป็นที่สุดของงาน และในปีนี้ รางวัลตกเป็นของยานยนต์จากปี 1933 กับรถยนต์เปิดประทุนรุ่น D8S De Villars Roadster ของค่าย Delage ซึ่งทาง The Patterson Collection ในเมือง Louisville มลรัฐเคนตักกี้เป็นผู้ส่งเข้าประกวด
D8S De Villars Roadster ต้องประชันกับเพื่อนร่วมค่ายอย่าง D8 120 Henri Chapron Cabriolet รุ่นปี 1939 รวมถึง Duesenberg J Graber Cabriolet ปี 1930 และ Bentley Speed Six Park Ward Open Two Seater รุ่นปี 1929 ก่อนที่จะคว้ารางวัลใหญ่ที่สุดของปีนี้ไปครองอย่างสมเกียรติ
วาระพิเศษฉลอง 100 ปีอินดี้ 500
สำหรับคอมอเตอร์สปอร์ต ชื่อของอินเดียนาโพลิส 500 หรืออินดี้ 500 คงคุ้นหูกันดี และรายการรถแข่งอินดี้คาร์ที่จัดกันมานานร่วมศตวรรษรายการนี้มีความยิ่งใหญ่ชนิดที่เรียกว่า ใครที่ได้แชมป์รายการนี้จะมีชื่อเสียงเทียบเคียงกับคนที่ได้แชมป์โลกของปีนั้นๆ เลย ดีไม่ดีได้รับการจดจำมากกว่าคนที่เป็นแชมป์โลกเลยด้วยซ้ำ
อีกทั้งยังถือเป็น The Triple Crown ของโลกมอเตอร์สปอร์ต ซึ่งมีนักแข่งที่ยิ่งใหญ่เพียงไม่กี่คนที่สามารถครองแชมป์ 3 รายการหลักได้ นั่นคือ โมนาโก กรังด์ปรีซ์ สำหรับการแข่ง F1, การแข่งอินดี้ 500 สำหรับอินดี้คาร์ และเลอ มังส์สำหรับการแข่งแบบมาราธอน โดยมีแค่เกรแฮม ฮิลล์ พ่อของเดมอน ฮิลล์เพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถทำได้ (อีกทั้งเขายังเป็นนักแข่งคนเดียวที่คว้าทั้ง Triple Crown และแชมป์โลก F1 ด้วย)
เหตุที่ทำให้การคว้า Triple Crown เป็นเรื่องยาก ก็เพราะทั้ง 3 รายการถูกจัดอยู่ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน คือ กลางเดือนพฤษภาคมค่อนไปทางต้นเดือนมิถุนายน และในยุคเก่า การเดินทางข้ามจากยุโรปไปยังอเมริกาต้องใช้เวลานาน ไม่สะดวกเหมือนปัจจุบัน อีกทั้งนักแข่งก็ไม่มีเวลาเตรียมตัวมาก ดังนั้น การคว้าแชมป์ทั้ง 3 รายการภายในช่วงอายุของการลงแข่งจึงเป็นเรื่องที่ยากมาก และมีฮิลล์เพียงคนเดียวเท่านั้นที่ทำได้
และเพื่อให้เข้ากับบรรยายกาศของมอเตอร์สปอร์ต ทางทีมแข่งโลตัส ซึ่งเพิ่งคัมแบ็คเข้าร่วม F1 ในปีนี้ ก็จัดการนำรถแข่งอินดี้คาร์รุ่นใหม่ของตัวเองมาร่วมโชว์ในงานนี้ด้วยเช่นกัน โดยก่อนหน้านี้โลตัสเคยเข้าร่วมการแข่งขันอินดี้คาร์ในสหรัฐอเมริกาอยู่ช่วงหนึ่งในระหว่างทศวรรษที่ 1960 และมีตัวแข่งรุ่นปี 1965 โลตัส 38 ที่ใช้เครื่องยนต์ฟอร์ดเป็นตัวชูโรง
ฉลอง 100 ปีของมอเตอร์สปอร์ตรายการอินเดียนาโพลิส 500 มีการนำรถแข่งอินดี้คาร์หลายรุ่นหลายปีมาจอดเรียงรายให้สัมผัส
ละลานตากับต้นแบบ
นอกจากการประกวดและจัดแสดงรถยนต์โบราณแล้ว ทางผู้จัดยังเตรียมพื้นที่ขนาดย่อมๆ สำหรับใช้เป็น Concept Lawn ในการจัดแสดงรถยนต์ต้นแบบรุ่นต่างๆ ซึ่งในทุกปีที่ผ่านมาได้รับความร่วมมือจากผู้ผลิตรถยนต์หลายต่อหลายรายเป็นอย่างดีในการนำผลผลิตแห่งความล้ำสมัยมาจัดแสดง เพียงแต่ในช่วงหลังๆ นอกจากรถยนต์ต้นแบบแล้ว บางค่ายก็ยังนำรถยนต์รุ่นพิเศษที่มีการผลิตจำกัดมาจัดแสดงด้วย
สำหรับในปีนี้มีจอดกันหลายรุ่นหลายคัน เช่น ออดี้ อาร์8 วี10, บูกัตตี้ เวย์รอย Sang Bleu, เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอสแอลอาร์ แม็คลาเรน สเตอร์ลิง มอสส์, เบอร์โทเน่ แมนไทด์, ฟิสเคอร์ คาร์มา ซันเซ็ต, โลตัส อีโวร่า, โรลส์-รอยซ์ 200EX หรือในปัจจุบันขายด้วยชื่อโกสต์
เปิดตัวครั้งแรกของโลกที่นี่
โลตัส 38 ปี 1965 ที่ใช้เครื่องยนต์ของฟอร์ด เป็นหนึ่งในรถแข่งที่เคยโชว์ฝีเท้ามาแล้วในสนามอินเดียนาโพลิส สปีดเวย์
Pebble Beach Concours d'Elegance ถือเป็นจุดศูนย์รวมของนักเล่นรถและเศรษฐีจากทั่วทุกมุมโลก จึงไม่น่าแปลกใจที่บริษัทรถยนต์ทั้งรายใหญ่หรือรายเล็กจะใช้เวทีแห่งนี้ในการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่มีราคาแพงๆ สำหรับเจาะตลาดลูกค้าเฉพาะกลุ่ม
สำหรับในปีนี้ ทางมอร์แกน ผู้ผลิตรถสปอร์ตจากอังกฤษ นำผลผลิตใหม่ที่เรียกว่า EvaGT มาเปิดตัวที่นี่ โดยตัวรถยังเป็นรุ่นต้นแบบ แต่คาดว่าจะมีการปรับปรุงและพัฒนาเพื่อขายจริงในอนาคต ซึ่งใต้ฝากระโปรงหน้า มอร์แกนวางเครื่องยนต์ 6 สูบเรียง 3,000 ซีซี เทอร์โบของบีเอ็มดับเบิลยูที่มีกำลังสูงสุด 306 แรงม้าเป็นขุมพลัง
เมื่อบวกกับน้ำหนักตัวเพียง 2,755 ปอนด์ หรือประมาณ 1,300 กิโลกรัม บวกกับการส่งกำลังที่เลือกได้ระหว่างเกียร์อัตโนมัติ หรือธรรมดา 6 จังหวะ ใช้เวลาเพียง 4.5 วินาทีสำหรับการทะยานจาก 0-96 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนความประหยัดน้ำมันอยู่ในระดับ 16 กิโลเมตร/ลิตรสำหรับการขับในรูปแบบผสม...ไม่ธรรมดาเลยสำหรับรถสปอร์ตฝีเท้าจัดขนาดนี้
แม้ไอเดียจะผิดเพี้ยนไปจากเดิม แต่ Concept Lawn ก็มีทั้งต้นแบบและรถยนต์ในสายการผลิตที่น่าสนใจหลายรุ่นมาจอดโชว์ตัว
ที่สุดของการประมูล
เป็นเรื่องที่อยู่คู่กันเสมอสำหรับงานประกวดรถยนต์โบราณ ซึ่งใน Pebble Beach Concours d'Elegance ก็มีเช่นกัน และดูเหมือนว่าในปีนี้จะมีของดีเข้ามาให้ประมูลกันเพียบ และแต่ละคันค่าตัวอยู่ในระดับเลข 7 หลักโดยมีเหรียญสหรัฐฯ เป็นหน่วยเงินตามหลัง
บนลานโชว์คอนเซ็ปต์ หรือ Concept Lawn เบอร์โทเน่ แมนไทด์ จอดอวดโฉมคู่กับเมอร์เซเดส-เบนซ์ SLR สเตอร์ลิง มอสส์ รุ่นพิเศษ
Gooding & Company รับหน้าที่ดูแลดการประมูล และทำยอดรวมทั้งสิ้น 64 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 1,984 ล้านบาท โดยมี 6 คันสร้างสถิติโลกใหม่ในรุ่นของตัวเอง ซึ่งคือ
- 1959 Ferrari 250 GT LWB California Spider Competizione ที่ราคา 7,260,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 225 ล้านบาท (ดีนะช่วงนี้ค่าเงินบาทแข็ง ราคาที่คำนวณออกมาเป็นเงินบาทก็เลยไม่ทำให้ตาโตมากไปกว่านี้)
- 1961 Ferrari 250 GT SWB Berlinetta SEFAC Hot Rod ที่ 6,105,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 189 ล้านบาท
- 1933 Alfa Romeo 8C 2300 Monza ที่ 6,710,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 208 ล้านบาท
-1956 Maserati 200SI ที่ 2,640,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 81.8 ล้านบาท
-1951 Ferrari 340 America Spider ที่ 2,530,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 78.4 ล้านบาท
-1937 Jaguar SS100 ที่ 1,045,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 32.3 ล้านบาท
ส่วนคันที่ที่มีราคาแพงเอาเรื่องสำหรับการประมูลในครั้งนี้ก็มี เช่น แม็คลาเรน F1 รุ่นปี 1995 จบที่ 3.575 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 110.5 ล้านบาท, เมอร์เซเดส-เบนซ์ S26/180 Boattail รุ่นปี 1928 จบที่ 3.74 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 115.9 ล้านบาท และฟอร์ด GT40 MkI รุ่นปี 1966 จบที่ 1.65 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 51.1 ล้านบาท
SMS แชลเลนเจอร์ 570 จับเอาดอดจ์ แชลเลนเจอร์มารีดกำลังเพิ่มมัดกล้าม
มอร์แกน EvaGT ต้นแบบของรถสปอร์ตรุ่นใหม่ที่จะมีการผลิตขายในอนาคต โดยวางเครื่องยนต์ 6 สูบเรียงของบีเอ็มดับเบิลยู
Ferrari 250 GT LWB California Spider Competizione ขณะที่ราคากำลังไต่ขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะไปสิ้นสุดการประมูลที่ 7.26 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
การประกวดในคลาส 250GT ที่ฉลอง 50 ปีของเฟอร์รารี่ยังเต็มไปด้วยรถยนต์ที่ส่งเข้าประกวดมากมาย
One-77 สปอร์ตตัวแรงค่าตัวแพงของแอสตัน มาร์ติน มาจอดโชว์หลายครั้งแล้ว แต่ยังไม่ขายสักที
แม็คลาเรน F1 ที่เพิ่งฉลองครบรอบไปเมื่อไม่นานนี้ ก็มีมาประมูลด้วยเช่นกัน เป็นรุ่นปี 1995