มนุษย์หมาป่า (Werewolf)
เป็นผีจำพวกเดียวกับแวมไพร์และมีพฤติกรรมคล้ายกัน คือ ดื่มกินเลือดและเนื้อของมนุษย์และสัตว์อื่นเป็นอาหาร เป็นความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ของชาวยุโรปในยุคกลาง โดยที่เชื่อว่า บุคคลที่เป็นมนุษย์หมาป่าจะกลายร่างเป็นหมาป่าในคืนวันพระจันทร์เต็มดวง อาจจะแปลงร่างเป็นหมาป่าทั้งตัวเลยก็ได้ หรือครึ่งคนครึ่งหมาป่า หรือแม้กระทั่งแปลงเป็นสัตว์ป่าชนิดอื่น เช่น หมี เป็นต้น ....โดยที่วิธีการฆ่ามนุษย์หมาป่าจะคล้าย ๆ กับแวมไพร์ โดยตอกด้วยลิ่ม หรือเผา ที่เห็นบ่อยโดยเฉพาะในภาพยนตร์ก็คือ การยิงด้วยกระสุนที่ทำจากเงินหรือกระสุนผ่านการปลุกเสก มนุษย์หมาป่าก็แพ้แสงแดด และถูกตามล่าเหมือนกับแวมไพร์
เป็นไปได้ว่าความเชื่อเรื่องมนุษย์หมาป่านั้น มีที่มาจากความกลัวหมาป่า โดยเฉพาะหมาป่าที่พบในยุโรป ที่มีลำตัวขนาดใหญ่ และมักออกล่าเป็นฝูง โดยอาจดักซุ่มโจมตีมนุษย์หรือสัตว์เลี้ยงในเวลากลางคืน ผนวกกับความเชื่อและความหวาดกลัวบุคคลนอกสังคม ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นปีศาจ อย่างแม่มดหรือแวมไพร์ ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า เรื่องมนุษย์หมาป่านั้น แท้จริงแล้วคือ สัญชาตญาณสัตว์ป่าที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ ....รากศัพท์ที่มาของคำว่า มนุษย์หมาป่า นั้น Were เป็นภาษาอังกฤษโบราณที่หมายถึง "มนุษย์" นั่นเอง และความเชื่อเรื่องของมนุษย์ที่กลางร่างเป็นกึ่งคนกึ่งสัตว์ที่มีทั่วทุกมุมโลก เช่น ในอเมริกาใต้มีมนุษย์งูเหลือม หรือมนุษย์จระเข้ ที่แอฟริกามีมนุษย์เสือดาว หรือเสือดำ หรือปีศาจช้าง ที่อินเดียมีมนุษย์สิงโต หรือ " นรสิงห์ " นั่นเอง
หรือในเทพปกรณัมกรีก ก็มีเรื่องของชายผู้หนึ่งที่ถูกเทพซุสสาบให้กลายเป็นหมาป่า ชื่อ " Lycaon " มนุษย์บางเผ่าเช่น ไวกิ้ง เชื่อว่า ตนสามารถแปลงร่างเป็นสัตว์ป่าดุร้ายบางชนิดได้เวลาสู้รบ เป็นต้น และตามสถิติที่เก็บได้ บ่งว่า คืนวันพระจันทร์เต็มดวงนั้น มีแนวโน้มที่จะเกิดอาชญากรรมมากกว่าคืนทั่วไป ทั้งนี้เชื่อว่า อาจเป็นเพราะอิทธิพลของดวงจันทร์ เรื่องราวของมนุษย์หมาป่า ถูกเล่าขานมาจนปัจจุบัน และสะท้อนออกมาในรูปแบบของวรรณกรรม เช่น ภาพยนตร์ หรือ ละคร หรือแม้แต่กระทั่งการ์ตูน เป็นต้น
Kappa (กัปปะ)
ตามตำนานของญี่ปุ่น กัปปะเป็นปีศาจน้ำที่ชอบทำให้มนุษย์จมน้ำ มันผอมแห้งเนื้อติดกระดูก และมีศีรษะกลมที่เต็มไปด้วยน้ำกัปปะมีรูปร่างเหมือนมนุษย์ผู้ชายที่มีรูปร่างวิตถารอัปลักษณ์ ที่ผิวของมันจะมีเกล็ดสีเขียวเต็มตัว ที่หลังของมันเป็นกระดองเต่าอันใหญ่ มือและเท้าของกัปปะเป็นพังผืดระหว่างนิ้วใช้ในการว่ายน้ำ ดูคล้ายๆกบ
แต่ทว่าที่นิ้วมือและเท้าของมันเป็นกรงเล็บยาวแหลมใช้จับและฉีกเนื้อเยื่อ ส่วนที่เป็นจมูกจรดไปจนถึงลิมฝีปากบนของเจ้ากัปปะดูคล้ายดูปากนกหรือเต่า ดูแหลม ในปากเต็มไปด้วยฟันแหลม พร้อมด้วยกลิ่นเหม็นปลาเน่าจากตัวของมัน ดูแล้วตัวมันก็ไม่ต่างจากศพผีเน่าๆนี่เอง หัวของมันล้าน และมีลอยบุ๋มลงไปเป็นแอ่งน้ำ ภายในแอ่งนี้จะมีน้ำใส่เต็มอยู่ตลอดเวลา แต่เมื่อใดที่น้ำนั้นหมด เจ้ากัปปะจะหมดพลังทันที นี่คือจุดอ่อนของมัน
กัปปะจะกินเหยื่อตั้งแต่อวัยวะภายในออกมาจนถึงข้างนอกโดยใช้จงอยปากเจาะ(หยืยยย) เจ้าผีน้ำจะรอคอยเหยื่อที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่มาแถวริมแม่น้ำ จากนั้นมันจะโผล่ขึ้นมาแล้วลากตัวผู้เคราะห์ร้ายลงไปกินในน้ำ ....ว่ากันว่ากัปปะเป็นคนที่มีที่มาเสียชีวิตจากการจมน้ำ แต่ร่างมิได้ลอยขึ้นฝั่ง และดวงวิญญาณก็ไม่ได้ออกจากร่าง จมดิ่งอยู่ในความมืดมิดในน้ำ จนวิญญาณความคิดต่างๆ เปลี่ยนไปพร้อมๆกับร่างที่ยังไม่ทันเน่า โนความมืดกัดกล่อนจิตใจ จนกลายเป็นปีศาจไปซะอย่างนั้น^^!
วิธีการยอดฮิตสำหรับการเอาตัวรอดจากเจ้ากัปปะ คือ เมื่อพบกัปปะโผล่ขึ้นมาจากน้ำ ให้ก้มศีรษะให้มันอย่างสุภาพสุดแล้วมันก็จะโคล้งตาม ตอนนั้นน้ำในแอ่งบนหัวของมันก็หกหมดแล้ว มันต้องลงกับไปในน้ำเพื่อเติมน้ำให้เต็มดังเดิมบ้างก็ว่าเมื่อน้ำลดลงกัปปะจะมีแรงดึงให้เหยื่อของมันจมน้ำได้น้อยลง และนี่ก็เป็นเวลาเผ่นของผู้ที่พบกัปปะในการหนีเอาชีวิตรอด(นี่แหละ นาทีชีวิต) และไม่ต้องมีเรื่องติดใจนะครับว่าทำไมต้องไปก้มหัวให้ผีนั่นด้วย
อีกวิธีหนึ่งสำหรับการรอดพ้นจากกัปปะ คือไปยืนหรอกล่อเจ้ากัปปะให้ขึ้นมาจากน้ำ มากินเรา จากนั้นเมื่อมันโผล่ขึ้นมาให้เอาแตงกวาที่สลักชื่อของเราไว้โยนไปให้มันแทน(ซึ่งแตงกวาเป็นของโปรดของกัปปะ รวมถึงเนื้อมนุษย์ด้วย) กัปปะจะรับแตงกวานั้นไปกินและจะจำชื่อของคนๆนั้นไว้ คนๆนั้นก็จะปลอดภัยจากกัปปะครับ
เมดูซ่า(Medusa)
เมดูซ่า - Medusa เป็นคำที่มีมานานมากแล้ว ที่ยังคงเป็นรากศัพท์ไว้ในหลายๆภาษาโบราณ เช่น ในภาษาสันสกฤต คือ "เมธา ในภาษากรีก คือ Metis และในภาษาอียิปต์โบราณคือคำว่า Met หรือ Maat มีแหล่งกำเนิดจากตำนานของประเทศลิเบีย ที่นำเข้ามารวมในตำนานกรีกทีหลัง เป็นที่นับถือของชาวลิเบียโบราณว่าเป็น เทพแห่งงู หรือเจ้าป่าเจ้าเขาผู้มีอำนาจดุร้าย ในยุโรปสมัยโบราณยุคหิน งู ยังไม่ได้เป็นสัญญลักษณ์ของความชั่วร้าย ซึ่งเป็นทัศนคติตามคริสตศาสนาที่เกิดขึ้นมาภายหลัง หากเป็นสัญญลักษณ์ของพลังอำนาจเหนือธรรมชาติ และก็อาจเป็นไปได้ที่ว่า เมดูซ่า เจ้าแม่ผู้ทรงพลังจากสังคมโบราณ เป็นเค้าเงื่อนที่ชาวอินเดียนำไปผูกเป็น เจ้าแม่ทุรคา หรือ กาลี ก็ได้
....เมดูซ่า นั้น แต่เดิมทีหลายพันหลายหมื่นปีมาแล้วก็คงเป็น เจ้าป่าเจ้าเขาที่มีอำนาจ มีผมขอดหยิกหยักถักเป็นเปียเล็กๆทั่วทั้งหัวแบบชาวอัฟริกัน (แบบที่เรียกว่า dreadlocks) ที่ดูคล้ายงูในสังคมดึกดำบรรพ์ ที่ยังนับถือยกย่องให้ผู้หญิงเป็นใหญ่ ภายหลังที่สังคมกรีกกลายมาให้ผู้ชายเป็นใหญ่ ภาพพจน์ของ เมดูซ่า ก็ค่อยๆเปลี่ยนไป เนื่องจากเทพบุรุษเข้ามาแทนที่เทพสตรี ในสังคมกรีก ในช่วงพันปีแรกของอาณาจักรกรีก
จนมาถึงประมาณ 600 ปีก่อนคริสตกาล วิหารบูชา เมดูซ่า ก็ถูกทำลายลงไปไม่เหลือซาก ชาวกรีกคงเอามาผูกเป็นตำนานให้เป็นนางมารร้ายไปในภายหลัง ชื่อของเธอ ก็กลายไปเป็นเพียงตำนานแห่งความพ่ายแพ้ ที่ถูกฆ่าโดย เพอร์ซีอุส แล้วชาวกรีก ก็ถ่ายทอดพลังอำนาจของ เมดูซ่า มาให้ เทพอะธีน่า ผู้เป็นเทพสตรีตัวอย่างของสังคม ที่ชาวกรีกต้องการใช้เป็นแบบอย่าง คือรักษาพรหมจรรย์ และรับใช้ครอบครัว ยึดมั่นในความซื่อสัตย์จงรักภักดีและเทิดทูน เทพเซอุส พระบิดา เหนือตนเอง
ตามประวัติก่อนจะกล่าวถึงเมดูซ่าก็ต้องเริ่มที่กอร์กอน กอร์กอน เป็นอสูรกายน่าเกลียดน่ากลัวมีผมเป็นงู มีด้วยกันสามพี่น้องคงกระพันฆ่าไม่ตาย ยกเว้นตัวน้องสุดท้องที่ชื่อเมดูซ่าที่อาจฆ่าให้ตายได้ หากผู้ใดมองตานางเมดูซ่าจะกลายเป็นหิน ตำนานกล่าวว่าเดิมทีกอร์กอนทั้งสามเป็นเทพธิดารูปงามและอ่อนโยน มีความบริสุทธิ์เป็นพรหมจารีย์ แต่ขณะที่เมดูซ่ากำลังบูชาเทวี อะธีน่า ในวิหารได้ถูกโพไซดอนหลงรักและพยายามใช้กำลังขืนใจ ....เรื่องรู้ถึงเทวี อะธีน่า ทรงได้ฉวยโอกาศใส่ความว่าลบหลู่นางโดยการสมสู่ในวิหารของนางเนื่องด้วยความเดิม อะธีน่า กับเมดูซ่ามีแม่คนเดียวกัน และ อะธีน่า ต้องการทำลายเมดูซ่าให้สิ้นซาก จึง สาปให้เมดูซ่ามีหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว และสาปให้ผมที่สวยงามดุจเส้นไหมทองของนางกลายเป็นงูเลื้อยยั้วเยี้ยเต็มหัว จากหญิงพรหมจารีย์ที่งดงาม ก็กลายเป็นปีศาจที่น่าขยะแขยง เมดูซ่าทั้งโศกเศร้า อับอาย และน้อยใจในความอยุติธรรมทั้งที่เธอมิได้ทำผิด ทั้งที่เธอตั้งใจรักษาพรหมจารีย์ ....แต่นางก็มิเคยได้ผลความดีตรงนั้นเลยจนนางมีแต่ความอับอายและความแค้น จนเมดูซ่าต้องการทำลายทุกชีวิตที่ขวางหน้าจากความเกลียดชังที่ปะทุขึ้น ทุกคนที่มองหน้านางก็จะกลายเป็นหินไปหมด จนได้กล่าวขวัญเป็นอสูรกายที่ร้ายกาจที่สุดในตำนานกรีก
....ตามตำนานกรีกนั้น เมทิส แม่ของเมดูซ่าและพี่น้องอีกสองสาว ทั้งเมดูซ่าและพี่สาวแต่เดิมนั้น เป็นสาวงามมาก ต่อมา เมทิส แม่ของนาง ถูก เทพเซอุส ข่มขืน แล้วกลืนลงท้องไป เมทิส เป็นเจ้าแห่งปัญญา และสามารถแปลงร่างต่างๆได้ เซอุส จึงอาศัยพลังปัญญาและเวทย์มนต์ของ เมทิส มาเพิ่มอำนาจให้ตัวเอง ช่วยให้ เซอุส มีอำนาจยิ่งใหญ่กว่าเทพทั้งปวง และยังสามารถแปลงร่างได้ดังใจนึก ไปเอาสตรีมากมายเป็นภรรยาได้ในภายหลัง พลังของ เมทิส สำลักออกทางหน้าผากของเซอุส กลายเป็นเทพธิดา อะธีน่า ผู้ได้รับมรดกทางปัญญาจาก เมทิส ผู้เป็นแม่ ตั้งแต่เกิดมา อะธีน่า ก็ถือ เมดูซ่า เป็นศัตรูคู่แค้นที่จักต้องพิฆาตให้ดับสิ้น เพราะในบรรดาพี่น้อง มีแต่เมดูซ่า ผู้เดียวที่เป็นมนุษย์ พี่สาวชาวกอร์กอนทั้งสองร่วมท้องแม่ของเธอ มีสถานะเป็นเทพ จึงฆ่าไม่ตาย ....อะธีน่า จึงหันมาหาทางทำลาย เมดูซ่า แต่ผู้เดียวในบรรดาลูกแม่เดียวกันทั้งหมด วันหนึ่งใน วิหารอะธีน่า ที่ชาวกรีกสร้างไว้บูชาสักการะแต่ละเทพเป็นวิหารๆไป เทพอะธีน่า เป็นเทพอุปถัมภ์ของสาวพรหมจารี ที่สตรีพรหมจรรย์ชาวมนุษย์มักไปบูชา สาวงาม เมดูซ่า ที่มีชายมากหลายหมายปอง ก็ไปบูชา เทพอะธีน่า ยังวิหารตามปกติ เทพโพไซดอน ได้ประจักษ์เห็นความงามของนางแล้ว ก็ต้องการครอบครองโดยใช้กำลังขืนใจ ....อะธีน่า จึงได้โอกาสใส่ความว่า เมดูซ่า บังอาจลบหลู่นางด้วยการสู่สมในวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ แล้วฉวยโอกาสสาบ เมดูซ่า ให้กลายเป็นมารร้ายน่าเกลียดน่ากลัว และสาปให้ผมอันสวยงามลือชื่อของนาง กลายเป็นงูเต็มหัว จากสาวงามเลื่องชื่อ ต้องมากลายเป็นมารร้ายที่น่าชิงชังขยะแขยง จนใครที่ได้เห็น จะต้องกลายเป็นหินไป เมดูซ่า ทั้งชอกช้ำ ทั้งอับอาย ก็แปรความเจ็บช้ำที่ได้รับให้กลายเป็นความเคียดแค้นชิงชัง ต้องการทำร้ายหมายมาดทุกชีวิตที่ขวางหน้า โดยทำให้กลายเป็นหินไปจากการมองหน้าของนาง เป็นการตอบโต้ความอยุติธรรม ที่ทำให้นางต้องรับ ชะตากรรมอันโหดร้าย เมดูซ่า จึงกลายเป็นมารร้าย ผู้เป็นที่กล่าวขวัญถึง มากที่สุดในตำนาน กรีก มีทั้งภาพสลัก รูปปั้นต่างๆของเมดูซ่าตามวิหารต่างๆมากมาย
....ผู้ที่ฆ่า เมดูซ่า ได้คือ เพอร์เซอุส เมื่อ เพอร์ซีอุส ตกหลุมรัก โพลีเดคเทส ก็ต้องออกล่าหา เมดูซ่า เพื่อตัดหัวมาตามสัญญาที่ให้ไว้กับ เทพอะธีน่า ซึ่งรอคอยหาคนมากำจัด เมดูซ่า ให้อยู่นานแล้ว เพราะความเป็นเทพของนาง ทำให้ไม่สามารถไปแสดงอำนาจพาลได้ถนัด ยังต้องอาศัยเหตุผลข้ออ้าง และน้ำมือคนอื่นไปกำจัดศัตรูให้ กี่คนๆมาแล้วที่ต้องการไต่เต้าสร้างวีรกรรม ที่ได้กลายเป็นหินไปหมด ....ทันทีที่ เพอร์ซีอุส มาเข้าทางตน อะธีน่า ก็กุลีกุจอปรากฏตัวขึ้นทันที เพื่อช่วยให้ทุกอย่างดำเนินไปตามแผนกำจัด เมดูซ่า ของนางโดยราบรื่น อะธีน่า จึงช่วยบอกทางให้ เพอร์ซีอุส ไปยัง ซามอส อันเป็นที่พำนักของ นางกอร์กอนสามพี่น้อง เทพอะธีน่า ก็ได้ประทานโล่ห์ที่เป็นเงามันวับเหมือนกระจก แล้วช่วยให้ภาพปรากฏของนางมารทั้งสาม เพื่อ เพอร์ซีอุส จะได้เห็นว่าหน้าตาเป็นอย่างไร และเตือน ไม่ให้มองหน้าเมดูซ่าตรงๆ เพราะจะทำให้กลายเป็นหินไปเสียก่อน จากนั้น อะธีน่า ก็ให้อนุชา คือ เทพเฮอร์มีส (ที่ชาวโรมันเรียกว่า เมอร์คิวรี่ นั่นเอง) ซึ่งก็เป็นเทพบุตรของ เซอุส อีกผู้หนึ่ง ไปนำ ดาบโค้ง ของโครนัสมาให้ เพอร์ซีอุส เพื่อใช้ฆ่า เมดูซ่า เพื่อให้เป็นหลักประกันว่า เพอร์ซีอุส จะปฏิบัติการได้สำเร็จ ก็ต้องอาศัยของวิเศษอื่นๆอีก อะธีน่า จึงช่วยบอกอุบายรายละเอียด และชี้ทางให้ เพอร์ซีอุส ไปหานางแม่มดสามพี่น้องแห่ง เกรยี ผู้เป็นแม่เฒ่ามาตั้งแต่เกิด นางทั้งสามมีตาเพียงดวงเดียว และมีฟันเพียงซี่เดียว ต้องแบ่งกันใช้ แต่ก็ทะเลาะเบาะแว้งแย่งตาแย่งฟันกันมาชั่วชีวิต เพอร์ซีอุส จึงอาศัยความชุลมุนจากการแก่งแย่งนั้น เข้าไปขโมยดวงตาและฟันพวกแม่มดเกรยีมา เพื่อบังคับให้นางทั้งสามบอกทางไปหานางนิ้มฟ์ผู้ใจดีแห่งอุตรทิศ แล้วจึงจะคืนตาและฟันให้ เมื่อ เพอร์ซีอุส รู้ทางแล้ว ก็ไปหา นางนิมฟ์ผู้ใจดี ผู้ให้ยืมรองเท้ามีปีกที่ทำให้เหาะได้ หมวกวิเศษที่ทำให้ล่องหนได้ และกระเป๋าวิเศษเพื่อไว้ใส่หัวเมดูซ่า ....เมื่อได้ของวิเศษต่างๆแล้ว เพอร์ซีอุส ก็เข้าไปยังถ้ำของนางมารกอร์กอนสามพี่น้อง เมื่อไปถึงก็พบว่า เมดูซ่า กำลังนอนหลับกับพี่สาวทั้งสอง เพอร์ซีอุส ก็ได้ อะธีน่า ที่ตามมาช่วยอยู่ตลอดเวลา ช่วยถือโล่ห์ให้ จากภาพเงาของเมดูซ่าในโล่ห์มันวับ เพอร์ซีอุส ก็ตัดหัว เมดูซ่า ขาดแล้วเก็บใส่ถุงวิเศษทันที เลือดไหลนอง ออกจากคอของ เมดูซ่า ก่อกำเนิดเกิดออกมาเป็น ม้ามีปีก เพกาซัส แล้ว เมดูซ่า ก็จบสิ้นความระทมทุกข์ทรมาน จากชีวิตอันโหดร้ายของเธอ ส่งผลให้ เพอร์ซีอุส กลายเป็นวีรบุรุษอมตะ ผู้ปราบมาร ของชาวกรีกไป
Kraken (คราเคน)
ในบรรดาเรื่องเล่าเกี่ยวกับสัตว์ยักษ์ใต้สมุทร คงไม่มีเรื่อง ใดจะน่าสยดสยองเท่าความดุร้ายของ Kraken อีกแล้วจากเรื่องเล่าขาน เจ้าสัตว์ยักษ์ตัวนี้มีขนาด มหึมา มีหนวดใหญ่ยุ่บยั่บ โผล่ขึ้นจากน้ำพรวดเดียวก็สูงกว่าเสากระโดงเรือ เจ้า Kraken ชอบที่จะโจมตีเรือเดินสมุทรอย่างกะทันหัน โอบหนวดของมันรัดลำเรือเอาไว้ หนวดที่ เหลือมันจะรัดลูกเรือจนกระดูกแหลกเหลว บ้างก็รัดเข้ามา ป้อนเข้าปากอันน่ากลัวของมัน
เรื่องของ Kraken ถูกเล่าขานมานานเท่าใดไม่ปรากฏ แต่บันทึกที่เป็น หลักฐานครั้งแรก มาจากนอร์เวย์ เป็นเรื่องราวที่อ้างถึงสิ่งมีชีวิต ขนาดเท่าเกาะ ในหนังสือชื่อ The Natural History of Norway ที่เขียนโดยบิชอปแห่งเบอร์เก้น Erik Ludvigsen Pontoppidan ....ท่านได้บรรยาย เกี่ยวกับ Kraken เอาไว้ว่า มันเปรียบเสมือนเกาะลอยน้ำขนาดย่อม ขนาดความยาว ลำตัวยาวถึงครึ่งไมล์:คราเคนเป็นที่รู้จักกันมานานแสนนานในฐานะอสุรกายร่างยักษ์จากใต้ทะเลลึกซึ่งถูกเล่าขานกันมาในสแกนดิเนเวียน อย่างไรก็ตาม ไม่เคยมีชื่อ "คราเคน" ปรากฏอยู่ในปกรณัมของนอร์สเลยครับ หากแต่ในเออร์วาโอดส์ (Örvar-Odds วรรณคดีเก่าแก่เรื่องหนึ่งของนอร์ส) มีการกล่าวถึงสัตว์ประหลาดที่เรียกว่าฮาฟกูฟา (Hafgufa) ซึ่งเขาว่ามีลักษณะคล้ายกับคราเก้น แต่ฮาฟกูฟาจะมีหน้าตาอย่างไรแน่นั้นผมก็ไม่ทราบเช่นกัน เพราะหาข้อมูลยากเหลือเกินครับ
คราเคนถูกบรรยายลักษณะไว้ว่ามีขนาดพอกับเกาะที่ลอยอยู่เหนือน้ำ ตำนานว่าไว้ว่าอันตรายที่แท้จริงของคราเคนไม่ได้อยู่ที่ตัวมันครับ แต่อยู่ที่น้ำวนขนาดมหึมาที่เกิดขึ้นจากมันต่างหาก อย่างไรก็ตามมันมีพลังขนาดจับเรือรบขนาดใหญ่กดลงไปใต้ผืนน้ำได้เลยทีเดียว เคยมีบันทึกไว้ว่าคราเคนมีขนาดตัวไม่เกิน 16 กิโลเมตร (ก็ใหญ่แล้วนะ แต่เทียบกับบันทึกที่บอกว่าราวครึ่งไมล์แล้วมันก็... -_-") และใช้ชีวิตร่วมกับสัตว์ทะเลทั้งหลาย มันจับปลากินเป็นอาหารในขณะเดียวกับที่ให้อาหารปลาเล็กปลาน้อยด้วยเช่นกัน เหล่าประมงในสมัยนั้นจึงพยายามจะจับปลาในแถบที่ตนคิดว่าคราเก้นอยู่ เพราะจะทำให้จับปลาได้มาก
ที่แปลกก็คือ ว่ากันว่าคราเคนถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเกาะอยู่บ่อยครั้ง และในบางครั้งถ้ามีเกาะใดๆ ในแผนที่ที่สามารถมองเห็นได้เพียงแค่ในบางโอกาสเท่านั้น ก็จะถูกมองว่าจริงๆ แล้วแผนที่นั้นกำลังชี้ตำแหน่งของตัวคราเก้นอยู่ ไม่ใช่เกาะคราเคนเป็นสัตว์ประหลาดในทะเลที่ตัวใหญ่มาก ตามตำนานนั้นมันใหญ่เสียจนคนเข้าใจผิดว่าเป็นเกาะ มันมีหนวดเหมือนหมวดปลาหมึก แต่ส่วนอื่น ๆ นั้นแตกต่างกันไปตามตำนาน กะลาสีเรือสามารถถูกกวาดตกเรือได้ด้วยหนวดของมัน และเรือก็สามารถถูกบดขยี้ด้วยฝีมือของมันได้เช่นกัน ในน้ำทะเลอันเงียบสงบ กะลาสีเรือจะมองหาฟองอากาศและจุดน้ำเดือดบนทะเล ซึ่งบอกให้รู้ว่าคราเคนอยู่ใต้น้ำ .....ในปัจจุบันเกมและภาพยนตร์ต่างๆ นิยมสร้างภาพคราเคนให้เป็นปลาหมึก (หรือสัตว์ที่คล้ายปลาหมึก) ขนาดมหึมา แต่ตามตำนานเดิมไม่เคยมีระบุไว้ว่าคราเคนเป็นปลาหมึกเลย แถมในยุคแรกๆ ลักษณะที่พรรณนาถึงเจ้าคราเก้นนี้ยังกระเดียดไปทางปูเสียมากกว่าปลาหมึกซะอีก (มีบ้างเหมือนกันที่ตีความว่าเป็นปลาวาฬ)ปลาหมึกยักษ์ (Kraken)
ในปี 1930 มีรายงานการโจมตีเรือของเจ้าปลาหมึกชนิดดังกล่าว นักชีววิทยา ผู้ชำนาญการคาดว่า เจ้า Kraken (หรืออาจจะเป็น ปลาหมึกยักษ์ (Giant Squid) นี้โจมตีเข้า เพราะเรือของมนุษย์ ดันไปมีรูปร่างคล้ายปลาวาฬ อาหารหลักของเจ้าปลาหมึกนี่เอง จากรายงานของผู้ประสบเหตุ ปลาหมึกดังกล่าว มีขนาดมหึมากัน เหลือเกินครับ โดยเฉลี่ยมันจะยาวประมาณ 100 ฟุต น้ำหนัก ประมาณ 2-3 ตัน บริเวณที่เกิดเหตุ ส่วนมาก จะเกิดกับเรือเดินทะเลที่ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกเท่านั้น
แต่เรื่องราวในช่วงถัดมาเกี่ยวกับคราเก้นก็ค่อยๆ ลดขนาดของมันลงเรื่อยๆ ไม่มหึมา โอฬารอย่างในอดีต ถึงกระนั้นก็ยังจัดเป็นสัตว์ไซส์ยักษ์อยู่ดี Kraken ในตำนานของทะเล เหนือ ในสายตาของนักชีววิทยาแล้ว มันคงเป็นสัตว์ประเภทปลาหมึกยักษ์เสียมากกว่า ลักษณะของปลาหมึกชนิดนี้มักจะก้าวร้าวรุกราน และขึ้นมาหาเหยื่อเหนือผิวน้ำ เมื่อแล เห็นมนุษย์ ขนาดของมันไม่ถึงกับยาวกว่าครึ่งไมล์ ตามบันทึกของท่านบิชอปหรอกนะ ถึงกระนั้นขนาดของมันก็สูสีกับสัตว์ที่ตัวใหญ่ที่สุดในโลก คือปลาวาฬเสปิร์มอยู่ดี
Gargoyle(การ์กอยล์)
การ์กอยล์ ปัจจุบันอาศัยอยู่ตามโบสถ์ มหาวิหาร อาคารต่างๆของซีกโลกตะวันตก มหาวิหารดังๆที่โลกรู้จักกันก็มี มังกรการ์กอยล์ อาศัยอยู่ เช่น วิหารนอเตรอดาม แห่ง กรุงปารีส (Notre Dame de Paris) มหาวิหารนอเตรอ-ดาม แห่ง ดิฌง (Notre Dame de Dijon) วิหารแห่งชาติ ณ กรุงวอชิงตัน (Washington National Cathedral) 2 อันแรกนี่เรียกยาก ผมสะกดผิดก็อย่าว่ากันนะคับ แต่อันหลังเนี่ยถูกต้องชัวร์ๆ นับว่าเจ้ารูปสลัก การ์กอยล์ เนี่ย เป็นประติมากรรมที่สวยงามชิ้นเยี่ยมชิ้นหนึ่งเลยทีเดียว และก็ไม่ได้มีไว้ประดับประดาอาคารเพื่อความสวยงามเท่านั้น ยังสามารถใช้ประโยชน์ได้อีกด้วย นั่นคือ เป็นที่ระบายน้ำฝน ถ้าสังเกตให้ดี จะเห็นว่า รูปสลักหน้าตาประหลาด ๆ เหล่านี้มักมีอากัปกิริยาแตกต่างกันไป แต่จะมีจุดหนึ่งที่เหมือนกัน นั่นคือ มีช่องทางให้ระบายน้ำได้ ไม่ว่าจะเป็นทางปาก จมูก หู หรือส่วนอื่น ๆ ของรูปสลักเหล่านี้ ซึ่งบางครั้งอาจจะมีรูปร่างพิลึกพิลั่นอยู่บ้าง มากล่าวถึงชื่อที่เรียกว่า การ์กอยล์ กันบ้าง สันนิษฐานว่ามาจากคำว่า ลา การ์กุยย์ (La Gargouille) ในภาษาฝรั่งเศส อันมีรากศัพท์มาจาก เกอร์กูลิโอ (Gurgulio) ในภาษาละติน หมายถึง คอ และ พ้องกับเสียงของน้ำที่ไหลผ่านรางน้ำฝนบนตัวอาคาร
มีตำนานมากมายกล่าวถึงที่มาของชื่อ การ์กอยล์ หรือ ลา การ์กุยย์ นี้ แต่ตำนานเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย คือ ตำนานอันเก่าแก่ของฝรั่งเศส ที่เล่าขานกันว่า ประมาณ ศตวรรษที่ 7 ณ หมู่บ้านรูออง (Rouen) ทางตอนเหนือของประเทศฝรั่งเศส มีมังกรไฟตัวหนึ่งซึ่งมีนิสัยดุร้ายอาศัยอยู่ในถ้ำใกล้ริมแม่น้ำแซน (Seine) เจ้ามังกรตัวนี้ยื่นคำขาดให้ผู้คนในหมู่บ้านส่งหญิงพรหมจรรย์มาสังเวยมันทุกปี มิฉะนั้นมันจะพ่นไฟให้ทั้งหมู่บ้านจมอยู่ในกองเพลิงภายในพริบตา ด้วยความกลัว ชาวบ้านจึงจำต้องส่งหญิงสาวไปให้มันทุกปี หากปีใดไม่สามารถหาสาวบริสุทธ์ได้ก็จำต้องส่งนักโทษไปแทน
แน่นอนว่าเจ้ามังกรตัวนี้ไม่พอใจอย่างยิ่ง (เป็นผมผมก็ไม่พอใจ จากหญิงสาวพรหมจรรย์เปลี่ยนไปเป็นนักโทษ คนละขั้วกันเลย) ดังนั้นมันจะมาบินวนรอบ ๆ หมู่บ้านพร้อมกับพ่นไฟและ ส่งเสียงขู่คำรามในลำคอ อันเป็นเหตุให้ชาวบ้านเรียกเจ้ามังกรตัวนี้ว่า ลา การ์กุยย์ ชาวบ้านรูอองต้องหวาดกลัวเจ้ามังกรพ่นไปตัวนี้เป็นเวลานาน ....จนกระทั่งวันหนึ่ง นักบวช แซงต์ รูมานีส์ (Saint Romanis) (ไม่ใช่อัศวินขี่ม้าขาวหรอกหรือ? แต่เป็นนักบวช) ได้มาเดินทางเยือนหมู่บ้านแห่งนี้ เมื่อได้รับรู้ชะตากรรมของชาวบ้าน ท่านก็เสนอตัวเข้าช่วยเหลือ โดยมีข้อแม้ว่า หากท่านปราบมังกรตัวนี้ได้ ชาวบ้านจะต้องสร้างโบสถ์ให้ท่านหนึ่งหลัง ซึ่งชาวบ้านก็ตกลงรับเงื่อนไขนี้โดยดี (โบสถ์หนึ่งหลังแลกกับไปฆ่ามังกร คุ้มคับคุ้ม) ท่านนักบวชได้เดินทางไปยังถ้ำมังกรโดยไม่มีอาวุธใด ๆ นอกจากไม้กางเขนและศรัทธาต่อ พระเจ้าเท่านั้น แต่กระนั้น ท่านก็สามารถสยบเจ้ามังกรร้ายตัวนี้ได้ และนำมันกลับมายังหมู่บ้าน ชาวบ้าน รูอองรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่พวกเขาจะได้อยู่อย่างสงบสุขเสียที หลังจากต้องหวาดกลัวมังกรร้ายมาตลอดเวลา
ดังนั้นเพื่อให้แน่ใจว่ามังกรไฟ ลา การ์กุยย์ นี้จะไม่สามารถกลับมาทำร้ายใครได้อีก ชาวบ้านจึงจับมังกรนี้มัดและเผามันทั้งเป็น แต่เนื่องจากเจ้า ลา การ์กุยย์ เป็นมังกรพ่นไฟ เพลิงจึงเผาผลาญทุกส่วนของมัน ยกเว้น หัวและคอ ซึ่งไม่ว่าใช้วิธีใดก็ไม่สามารถทำลายมันได้ ดังนั้น เมื่อชาวบ้านสร้างโบสถ์ให้นักบวช แซงต์ รูมานีส์ ตามสัญญา นักบวชเลยแนะนำให้เอาหัวมังกรไปประดับไว้กับตัวโบสถ์เพราะเจ้ามังกรตัวนี้มีอำนาจศักด์สิทธิ์ ดังนั้นมันจะสามารถขับไล่มิให้ภูติผีปีศาจหรือสิ่งชั่วร้ายต่าง ๆ เข้ามาใน ตัวโบสถ์ได้ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การนำเอารูปสลักสัตว์หน้าตาประหลาดต่าง ๆ มาประดับโบสถ์วิหารก็กลายเป็นประเพณีที่ปฏิบัติสืบต่อกันมา ในยุโรปและเมื่อชาวยุโรปได้อพยพไปตั้งถิ่นฐานในสหรัฐอเมริกา ก็ได้นำประติมากรรมประหลาดนี้ไปด้วย ดังนั้น ตามวิหารหรืออาคารจำนวนไม่น้อยในสหรัฐอเมริกาจึงประดับด้วยรูปสลักการ์กอยล์นี้เช่นกัน หากว่าใครแวะไปเที่ยวที่มหาวิหารที่ผมกล่าวมาเนี่ย ก็แวะไปเยี่ยมเยียน เจ้ามังกรการ์กอยล์กันบ้าง และสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ต้องจำเอาไว้และปฎิบัติตามเคร่งครัดก็คือ อย่าลืมของฝากนะคับ!
Manticore (มันติคอร์)
มันติคอร์เป็นสัตว์ประหลาดที่เกี่ยวข้องกับชาวอินเดีย มันติคอร์มีศีรษะเป็นชาย ร่างกายเป็นสิงห์ และหางเหมือนแมงป่อง (บางตำนานบอกว่าหางเหมือนกับลูกบอลหนาม) มันมีฟันสามแถว และสามารถยิงหนามจากหางของมันดั่งเป็นศรธนู มันติคอร์เป็นสัตว์ที่โหดร้ายและตะกละไม่มีที่สิ้นสุด นอกจากนั้นยังชอบล่ามนุษย์ด้วย
....อย่างไรก็ตาม ใบหน้าของมันไม่ใช่สัตว์ แต่กลับเป็นใบหน้าของมนุษย์ มีฟันบนสามแถว และฟันล่างอีกสามแถว เป็นฟันที่แหลมคมและใหญ่กว่าเขี้ยวของสุนัขล่าเนื้อ ใบหูของ มัน ก็คล้ายกับของมนุษย์ เว้นแต่ว่ามีขนาดใหญ่ กว่าและมี ขนหยาบ ตาของมันมีสีน้ำเงินเทาคล้ายนัยน์ตามนุษย์ แต่เท้า และกรงเล็บของมันเหมือนของสิงโต ที่ปลายหางของมันคือ หางของแมงป่อง ที่อาจจะมีความยาวเกินกว่า 18 นิ้ว ที่ปลาย สุดของหาง มีเหล็กไนที่สามารถต่อยคนถึงตาย ได้ทันที อยู่เต็มไปหมด มันสามารถปล่อยเหล็กไนที่มีลักษณะ เหมือนกับ ลูกศร และสามารถยิงไปได้ไกล เมื่อปล่อยเหล็กในไปแล้ว มันก็จะ ม้วนหางกลับ หากมันจะยิงเหล็กไนไปทิศตรงข้าม มันจะยืดหาง ออกไปจนสุดแทน
คนที่ถูกเหล็กไนของมันติคอร์จะตายทันที ช้างเป็น!ชนิดเดียว ที่มันติคอร์จะ ไม่ทำร้ายเนื่องจาก มันติคอร์ เป็นสัตว์ที่น่ากลัวเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน เพราะมันเกิดจากการผสมพันธุ์ระหว่าง คนกับสิงโต! มีฟันอันแหลมคม นิสัยเจ้าเล่ห์ มีหน้าเป็นคน ตัวเป็นสิงโต ลองคิดดู ถ้าคุณเข้าป่าเห็นหน้ามันโผล่มา คุณต้องคิดว่ามันเป็นคน แน่ๆ แต่พอเข้าไปหา กลายเป็นสัตว์ประหลาด อะไรจะเกิดขึ้น
ส่วนชื่อของมัน ก็มาจากภาษา เปอร์เซีย คือ martikhora แปลว่า ผู้กินคน (แค่ชื่อก็น่ากลัว แล้ว) คน เอเซีย ยุคโบราณต่าง ก็รู้จัก มันติคอร์กันทั้งนั้น ใน ศตวรรษ ที่สอง มีนักประวัติศาสตร์โรมันบรรยายถึง ความ น่ากลัวของมันติคอร์จากเรื่องบอกเล่าที่มีมาราว 700 ปี ก่อนหน้านั้นว่าในอินเดียมี!ป่าชนิดหนึ่งที่มีอำนาจ น่าเกรงขาม รูปร่างใหญ่ราวกับสิงโตตัวที่ใหญ่ที่สุด มีผิวสีแดง ขนหยาบคล้ายสุนัข ในภาษาอินเดียเรียกมันว่า มาร์ติคอรัส
มิโนทอร์ (Minotaur)
ตามเทพนิยายกรีก มิโนทอร์มีตัวเป็นคนหัวเป็นวัวเกิด อยู่ในคุกที่ไม่มีทางออกสร้างโดยแดดาลุส-นักประดิษฐ์ ซึ่งได้รับคำสั่งจากราชาไมนอส (Minos) เป็นห้องโถงที่มีทางเข้าทางออกวกวนน่าเวียนหัว มีทั้งชั้นล่างและชั้นบน เป็นเขาวงกต (Labyrinth) ....เรื่องราวความเป็นมาของมิโนทอร์เริ่มขึ้นเมื่อ ไมนอส (Minos) พยายาม ที่จะก้าวขึ้นสู่ บัลลังก์กษัตริย์ของครีต (Crete) ในการทำเช่นนี้ไมนอส ต้องชนะใจ ชาวครีต และอ้างว่าเทพเจ้าก็เห็นดีเช่นกัน ดังนั้นเทพเจ้าจะตอบรับคำขอทุกข้อของเขาอีกด้วย ชาวครีต อาจจะไม่ค่อยพอใจ การที่ไมนอสจะขึ้นเป็นกษัตริย์เท่าไร จึงท้าให้เขาขอ โปไซดอน (Poseidon) เจ้าแห่งสมุทร ให้ส่งวัวพ่วงพี ขึ้นมาจากทะเล ให้ดูเป็นขวัญตา มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้จริงๆ
....ว่าแล้วชาวครีตทั้งหมดก็ติดตามไมนอสไปที่ริมหาด เพื่อเฝ้ามองไมนอสทำพิธีดังกล่าว ไมนอสได้พยายามเฝ้าวิงวอน เทพเพื่อให้พระองค์ ส่งวัวขึ้นมาให้ตามที่ชาวครีตท้า และสัญญาว่าจะฆ่าวัวตัวนั้นเป็น การบูชายัญ เพื่อเป็นการสรรเสริญเกียรติแห่งโปไซดอนทันที ไมนอสใช้เวลาไม่นานสิ่งประหลาดอย่างหนึ่งก็เกิดขึ้น ในท่ามกลางความแตกตื่น และประหลาดใจของชาวครีต ที่กำลังจ้องมองดูทะเลตรงหน้า น้ำทะเลก็แตกออกเป็นช่อง ....วัวสีขาวพ่วงพีที่งดงามตัวหนึ่งปรากฏขึ้น และว่ายตรงมาเข้าฝั่งดังคำวอนของไมนอส คำท้าทายของชาวครีตกลายเป็นความจริง ไมนอสจึงได้รับการเลือกเป็นกษัตริย์สม เจตนารมณ์ ถ้าเพียงแต่เมื่อขึ้นเป็นกษัตริย์แล้ว พระองค์รักษาสัญญาที่ให้ไว้ แต่ไมนอสก็ไม่สามารถทำได้ สัญญาที่ให้ไว้กับเทพถูกลืมเลือน วัวสีขาว ตัวนั้นช่างงดงามจนพระองค์ไม่กล้าเชือดมัน ได้แต่ปล่อยมันไว้กับฝูงสัตว์ของพระองค์ และทำการบูชายัญวัวธรรมดาๆ ไปให้โปไซดอน
โปไซดอน -เจ้าแห่งสมุทร ซึ่งได้รับการบูชายัญอย่างบิดเบือน ย่อมรู้สึกคั่งแค้นกับการ ทรยศต่อคำมั่นสัญญา อย่างที่ไมนอสทำกับ พระองค์ยิ่งนัก และแล้วพระองค์ก็คิดวิธี แก้แค้นเจ้าคนโฉดได้… โปไซดอนสาปให้ ปาซิฟาอี (Pasiphae) มเหสีของไมนอส หลงรักวัว! ปาซิฟาอีที่ต้องคำสาป เธอเฝ้าทุ่มเทดูแลวัวของเทพเจ้า เฝ้าโอบกอดทะนุ ถนอม ลูบไล้อย่างเสน่หายิ่ง ....ถึงขนาดสั่งการให้ตามตัว แดดาลุส (Daedalus) นักประดิษฐ์มาที่ครีต เพื่อให้ทำอะไรอย่างหนึ่งค่อนข้างน่าตระหนก สำหรับตัณหาของนาง เพราะปาซิฟาอี สั่งสร้างแม่วัวปลอมขึ้น เพื่อตบตาเจ้าวัวหนุ่ม โดยนางจะเข้าไป หมอบสวมรอย อยู่ใต้ร่างแม่วัวปลอมตัวนี้ คอยให้วัวงามของโปไซดอน มาร่วมอภิรมย์กับนาง หล
ดูเอา เอง รู้ แต่ตัว อาจไม่รู้จักที่มา ก้อได้
Credit:
ดูเอา เอง รู้ แต่ตัว อาจไม่รู้จักที่มา ก้อได้