ทำไมตัวคุณเหมือนรู้สึกเหมือนเวลาชั่งยาวนาน คำตอบคือ เพราะนิสัยหรือพฤติกรรมบางอย่างที่คุณทำเป็นประจำ และเจ้าพฤติกรรมเหล่านี้แหละ ที่ดูดพลังและความสนใจในตัวคุณไปจนหมดสิ้น
1.พฤติกรรมเสพติดอีเมล
ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำทุกวันนี้ ทำให้ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนก็สามารถรับ-ส่งอีเมลได้แบบไม่จำกัด ไม่เฉพาะแต่ทางหน้าจอคอมพิวเตอร์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงเจ้าแบล็กเบอร์รี่ที่คุณพกติดตัวอีกด้วย และเชื่อหรือไม่ว่าหลายคนที่คิดว่าการเช็คอีเมล เพื่ออัพเดทข่าวสารรอบตัวทั้งเรื่องงาน และเรื่องส่วนตัวจะช่วยให้เพิ่มพลังในตัวคุณ แต่ในทางกลับกัน การใช้เวลากว่าค่อนวันไปกับการเช็ค และตอบอีเมลนับพันฉบับนี้ เป็นศัตรูตัวฉกาจในการดึงพลังงานในตัวคุณไปโดยไม่รู้ตัว
วิธีแก้
ทางที่ดีที่สุด คือ ปิดเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์สำหรับใช้สื่อสารของคุณ ในช่วงที่หัวของคุณแล่นสุด ๆ ในการทำงาน ซึ่งคนส่วนใหญ่ลงมติว่าเป็นช่วงเช้า นอกจากนี้คุณควรกำหนดเวลาในการเช็คอีเมลของตัวคุณเอง ด้วยการทยอยเช็คเมลชั่วโมงละครั้ง แทนที่จะเช็คทุกครั้งเมื่อมีอีเมลเข้ามา
2.กองขยะแบบหย่อม ๆ บนโต๊ะทำงานของคุณ
คุณลองนึกภาพของห้องนั่งเล่นที่เต็มไปด้วยผู้คนแน่นขนัด หรือโน้ตมหาศาลที่แปะอยู่ที่ตู้เย็น ความรู้สึกอึดอัดเหล่านี้ ก็คงไม่ต่างอะไรกับโต๊ะทำงานของคุณที่เต็มไปด้วยกองกระดาษ แฟ้มงานที่วางอย่างระเกะระกะ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนไปตัวสะท้อนถึงความไม่มีระบบ ระเบียบ ก่อให้เกิดความกังวล
วิธีแก้
ขอให้คุณใช้ความพยายามอย่างสุดความสามารถ ในการจัดระเบียบโต๊ะทำงานของคุณ เพื่อให้ความรู้สึกสบายตาทุกคนที่มองไปรอบ ๆ ให้สายตาของคุณได้พักผ่อน มากกว่าการกวาดตาไปเจอกับกองพะเนิน ซึ่งคุณอาจนำวิธีนี้ไปใช้กับชีวิตประจำวันได้ด้วย เช่น การเคลียร์โน้ตต่าง ๆ ที่ตู้เย็นก่อนเข้านอนทุกคืน เพื่อความสะอาดตาสบายใจ
3.การอยู่ในท่าทางหรืออิริยาบถที่ไม่เอื้ออำนวย
การนั่งทำงานในออฟฟิศเป็นเวลานาน ๆ ต่อวัน ย่อมส่งผลต่ออาการเมื่อยล้าของร่างกาย ระบบความดันเลือด ส่งผลให้ปริมาณออกซิเจนที่ส่งไปยังสมองอยู่ในระดับต่ำ จนรู้สึกอ่อนเพลีย ไม่สดชื่น
วิธีแก้
หันมาปฎิวัตินั่งหลังตรง ขาทั้งสองวางตั้งฉากขนานกับพื้น แขนทั้งสองทุกมุมเหมาะกับแป้นคีย์บอร์ด ปล่อยไล่ทั้งสองข้างทิ้งตัววางสบาย ๆ ไม่ตั้งชันขึ้นมาระดับหู ปรับหน้าจอคอมพิวเตอร์ของคุณให้อยู่ในระดับสายตา ที่สำคัญอย่านั่งแช่อยู่ท่าเดิมทั้งวัน ทางที่ดีควรตั้งเวลาไว้ในใจว่า นานแค่ไหนคุณควรจะลุกออกไปผ่อนคลายซะบ้าง
4.จมปลักอยู่กับอากาศแย่ ๆ
เพราะการทำงาน 8 ชม. ต่อวัน ทำให้ต้องทนอยู่สถานที่เดิม ๆ เป็นเวลานาน โดยที่คุณไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าเชื้อโรคมหาศาลแค่ไหน ที่จะจู่โจมถึงตัวคุณ ทั้งจากพื้นพรม โต๊ะทำงาน หรือการหายใจเข้า-ออกของแต่คน
วิธีแก้
หาเวลาออกไปสูดอากาศข้างนอกซะบ้าง ถ้าเป็นไปไดทุก 10 นาทีก็ดี ที่สำคัญอย่าสวมรองเท้าผ้าของคุณออกไปเหยียบพื้นที่สกปรกด้านนอก
5.กินมื้อใหญ่แบบม้วนเดียวจบ
ถูกต้อง ที่การรับประทานอาหารมื้อใหญ่จะช่วยเพิ่มพลังงานมหาศาลให้กับคุณ แต่ผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงกลับจะมาเยือนคุณในช่วงบ่ายของวันแทน เพราะในมื้อกลางวันที่คุณอิ่มเอมไปกับอาหารรสเลิศ อุดมไปด้วยน้ำตาลและแคลอรี่ที่ดูดซึมเข้าร่างกาย ระดับกลูโคสที่มากเกินความจำเป็น ส่งผลให้ร่างกายต้องเร่งผลิตสารอินซูลิน เพื่อใช้น้ำตาลที่เข้าสู่กระแสเลือดให้หมด
ดังนั้น ทางที่ดีคุณจึงควรกระจายอาจมื้อหนัก-เบาให้เท่ากันตลอดทั้งวัน เพื่อรักษาการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกายให้อยู่ในระดับที่สมดุล
วิธีแก้
รับประทานอาหารทุก ๆ 4 ชม.แทนที่จะเป็น 6 ชม. โดยคุณอาจหาอะไรเบา ๆ รับประทานระหว่างมื้ออาหาร เช่น โยเกิร์ต กาแฟ หรือ สแน็กซ์
6.ใช้ชีวิตอยู่แต่กับแสงไฟเทียม
ชีวิตของคนเราก็เหมือนจังหวะดนตรีที่ขึ้น-ลงตามแสงอาทิตย์ เมื่อไหร่ที่คุณตื่นเช้ามา และลืมตารับอรุณด้วยแสงแดดอ่อน ๆ สมองของคุณจะรับรู้สัญญาณทันทีเลยว่า นี่คือเวลาสำหรับการปลุกเร้าร่างกายให้ตื่นแล้ว
ในทางกลับกัน หากคุณตื่นมาก่อนที่พระอาทิตย์จะขึ้น และไม่ค่อยได้พบหรือสัมผัสกับแสงอาทิตย์ระหว่างวันเท่าที่ควร คุณจะมีอาการเหมือนกับคนที่อ่อนเพลียจากการเดินทางด้วยเครื่องบินเป็นเวลานาน
วิธีแก้
แทนที่คุณจะนั่งชิลจิบกาแฟ คุณควรหาเวลาวันละ 10-20 นาที สำหรับการออกไปเดินเล่นเพื่อรับแสงอาทิตย์ระหว่างวันซะบ้าง