2012 วันไม่สิ้นโลก !!

คงจำได้ว่าหลายปีก่อน กรณี Y2K ทำให้คนทั้งโลกกังวล แต่ท้ายที่สุด
 ไม่มี อะไรเกิดขึ้นเลย เหตุเพราะเป็นเพียงการวิเคราะห์จาก
 แบบแผนจำลอง สถานการณ์ ซึ่งอาจมีความเป็นไปได้เท่านั้น
 
 วันนี้การกล่าวถึง 2012  วันสิ้นโลก จากการสร้างของภาพยนต์ด้วยเทคนิคพิเศษ
 (Special effects)  นับว่าเป็นสิ่งที่ดี สร้างความสนุกสนาน
 ทำให้ผู้คนทั่วไปเกิดความสนใจ  ด้านวิทยาศาสตร์และอวกาศ
 
 มีความเหมือนกันระหว่าง กรณี Y2K และ 2012  วันสิ้นโลก ต้องมีการวิเคราะห์
 การคำนวณศึกษาจุดจบของโลก  อย่างละเอียดละออ
 บางอย่างทางวิชาการ อาจขัดกับความเชื่อ  ตามสามัญสำนึกของผู้คนทั่วไป
 
 การมีหลักและกฎเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์  ให้สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง
 ทำให้กระจ่างต่อปัญหาความลึกลับ กรณี 2012  วันสิ้นโลกได้
 
 คำอธิบายต่อข้อสงสัย 2012 วันสิ้นโลก  ในแง่มุมต่างๆใช้ฐานข้อมูลจาก
 
 The National Aeronautics and Space  Administration (NASA)
 GFDL's (Geophysical Fluid Dynamics Laboratory)
 NOAA  (The National Oceanicand Atmospheric Administration)
 
 และได้เรียบ เรียงใหม่เพิ่มเติม เพื่อความเข้าใจ
 สำหรับผู้สนใจชาวไทย  ในทุกระดับความรู้
 
 อย่างไรก็ตาม  คำอธิบายนี้จัดทำเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา
 มีเจตนาให้ผู้สงสัย  ได้รับความกระจ่างขึ้น โดยมิได้คัดค้านแนวคิด
 หรือความเชื่อใดๆ  ที่ทุกคนมีสิทธิพึงแสดงความเห็นได้ ตามหลักการที่ถูกต้อง
 
 
 
 <<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<
 
 วันสิ้นโลกมีจริงหรือ แล้วจะเกิดขึ้นเมื่อใด ?  
 
 วันสิ้นโลก มีจริงหรือไม่  ข้อเท็จจริงเป็นสิ่งที่ต้องเกิดแน่นอน จากกรณีผลกระทบ
 การขยายตัวของดวง อาทิตย์ (Red Giant effect) อีกในราว 4.5 - 5 พันล้านปี
 ข้างหน้า 100%  และวันนั้นคือวันสิ้นโลกที่แท้จริง โดยไม่มีทางแก้ไขได้
 
 แม้ว่ามี เวลาอีกนานแสนนาน ผลกระทบต่อโลกนั้นยังมีเรื่องที่หลีกเหลี่ยงไม่ได้
 อย่าง มากมายสามารถสร้างความหายนะ เป็นจุดจบมนุษย์อันเกิดผลกระทบจาก
 ธรรมชาติ  เช่น กรณีผลกระทบจากปฎิกิริยาเรือนกระจก (Greenhouse effect),
 กรณีผล กระทบจากพายุสุริยะ (Solar wind effect), กรณีผลกระทบจากการที่
 ระเบิด ของภูเขาไฟ (Volcanic Activity), กรณีผลกระทบการชนปะทะของวัตถุ
 ใกล้โลก  (Near Earth impact) เป็นต้น ซึ่งแต่ละเดือนได้มีรายงานถึงภัยพิบัติ
 อันตราย ของธรรมชาติกระทำต่อโลก โดยการสำรวจจากอวกาศ ให้ทราบล่วง
 หน้าอยู่บ่อย ครั้ง
 
 โดยขอบเขตการเกิดขึ้นแต่ละกรณีนั้น มีเงื่อนไขทางธรรมชาติ  มีความรุนแรงที่
 แตกต่างกันไป อาจสร้างความหายนะเฉพาะบางส่วนของโลก  หรืออยู่ในขั้นใด
 ก็สามารถอธิบายเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ได้เสมอ
 
 แต่ วันนี้ เรื่่องวันสิ้นโลก ได้รับการบอกเล่าไปในทิศทางต่างๆ อย่างขาดเหตุผล
 และ ความเข้าใจที่ครบถ้วน และบางครั้งอ้างหลักการทางวิทยาศาสตร์ ที่มีความ
 กำกวม  ผิดหลักเกณฑ์ และเลื่อนลอย ด้วยจุดประสงค์ที่ต่างกันไป โดยเฉพาะ
 การ เล่นตลกบนอินเตอร์เน็ต กระทบต่อความเข้าใจของผู้คนทั่วไป มีความกังวล
 เกิด เป็นคำถามตามมามากมาย ว่า ค.ศ.2012 เป็นวันสิ้นโลกจริงหรือ ?
 

ฝนตกกระหน่ำบนโลกยุคแรกกำเนิดอย่างต่อเนื่อง  1,000,000 ปี
 
 ข้อสงสัย
 
 ทำไม ต้องเกิดเรื่องน่ากลัวกับโลก โดยระบุ ค.ศ.2012 เป็นวันสิ้นโลก ?
 
 คำอธิบาย
 
 ไม่ควรจะมีอะไรเลวร้าย เกิดขึ้นกับโลก ในปี ค.ศ.2012 หากพิจารณาด้วยเหตุผล
 ว่าโลกผ่านวิกฤตมา อย่างมากมาย แต่ครั้นบรมยุคกำเนิดโลก (กัลป์สมัยมหายุคขุม
 นรกแตก)  ตลอดระยะเวลา 4.6 พันล้านปี จนปัจจุบัน และนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก
 มิได้ สนับสนุนความเชื่อกรณี ค.ศ.2012 เป็นวันสิ้นโลก
 

Guto-Sumerian Ziggurat (วิหารของชาวสุเมเรียน)

 รูปปั้นชาวสุเมเรียน พบใน Royal Tombs of Ur  (หลุมศพกษัตริย์ ในเมือง Ur)
 ระหว่าง 2,000-2,600 ปี ก่อนคริสตกาล
 
 ข้อสงสัย
 
 อะไรเป็นต้นเหตุถึงคำนาย  เรื่องวันสิ้นโลก และทำไมต้องเป็นวันที่ 21 ธันวาคม
 ค.ศ.2012 ?
 
 คำอธิบาย
 
 เรื่องราวเกิดขึ้นจาก  การอ้างถึงการสำรวจพบดาว Nibiru โดยกลุ่มชนชาวสุเมเรียน
 (Sumerians)  ที่กลับมายังโลก และมีการทำนายความหายนะ จะเริ่มขึ้นตั้งแต่
 เดือน พฤษภาคม ค.ศ.2003
 
 แต่เมื่อถึงเวลานั้นกลับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นตลอด เดือน จึงเลื่อนวันเกิดเหตุการณ์ไป
 ในเดือน ธันวาคม ค.ศ.2012  และเปรียบว่า เป็นวันที่พระผู้เป็นเจ้าพิพากษามนุษย์
 ทั่วโลก (Doomsday  date)
 
 เป็นการเชื่อมโยงนิทานชาดกโบราณ กับเรื่องปฎิทินชาวมายาโบราณ  (Ancient
 Mayan calendar) ให้ตรงกับ Winter solstice ประมาณวันที่ 21  ธันวาคมของ
 ทุกๆปี อันเป็นวันแรกของเหมันตฤดูหรือฤดูหนาว  และดวงอาทิตยมีตำแหน่งห่าง
 จากเส้นศูนย์สูตรโลกที่สุด
 
 การนำวัน ที่ 21 ธันวาคม ค.ศ.2012 มากำหนดให้มีความน่าสนใจ จุดประสงค์ให้คน
 ทั่ว ไปได้ขบคิด เพื่อเพิ่มน้ำหนักเหตุผลของวันสิ้นโลก

 ปฎิทินชาวมายาโบราณ
 
 ข้อสงสัย
 
 เหตุใดปฎิทินชาวมายาโบราณ  จึงสิ้นสุดเพียง เดือนธันวาคม ค.ศ. 2012 ?
 
 คำอธิบาย
 
 ปฎิทินทั่วไปที่ใช้กันอยู่  ไม่ว่าบนโต๊ะทำงาน ในครัวที่แขวนผนัง แผ่นสุดท้ายคือ
 เดือนธันวาคม  และวันสุดท้ายของเดือนคือ วันที่ 31 แต่ละปีไม่มากกว่านั้น
 
 สำหรับ ปฎิทินชาวมายาโบราณ วันสุดท้ายในยุคนั้นคือ 21 ธันวาคม ค.ศ.2012
 (เป็น การคำนวณระยะยาว จากยุคนั้นมาสิ้นสุดเพียงนี้) เช่นเราก็สามารถคำนวณ
 ปฎิ ทินเริ่มจาก วันที่ 1 มกราคม และจะไปสิ้นสุดในปีใดก็ได้
 
 การแสดงถึง วันสิ้นสุดของปฎิทินชาวมายา เป็นการบอกถึงวันสิ้นโลก กระนั้นหรือ ?

 แนวเส้นทางโคจร ดาวเคราะห์ ของระบบสุริยะ  วันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ.2012 มิได้เป็นแนวตรงกัน
 
 ข้อสงสัย
 
 จะมีปรากฎการณ์อะไรขึ้น  หากดาวเคราะห์มีตำแหน่ง มาอยู่เป็นแนวเส้นตรงและ
 มีทางจะชนโลกหรือไม่ ?
 
 คำอธิบาย
 
 ยังไม่มีระบบดาวเคราะห์  (Planetary) ใดๆในระบบสุริยะ ที่จะมีตำแหน่งในแนว
 ตรงพร้อมๆกันทั้งหมด  หรือหลายๆดวง ระหว่างช่วงเวลา 2-3 ทศวรรษนี้ และโลก
 ก็ไม่ผ่านแม้แต่  แนวระนาบของทางช้างเผือก (Plane of milky way galaxy)
 ในปี ค.ศ. 2012
 
 หาก สมมุติว่า มีกรณีเกิดแนวโคจรตำแหน่งเป็นแนวเส้นตรงเกิดขึ้น มีผลกระทบ
 เพียง เล็กน้อย อย่างไรก็ตามในเดือนธันวาคมทุกปี โลกและดวงอาทิตย์มีตำแหน่ง
 เป็น แนวเส้นตรงโดยคร่าวๆ จากจุดศูนย์กลาง Milky Way Galaxy เป็นเหตุการณ์
 เกิด ขึ้นเป็นประจำที่ผ่านมาไม่มี ผลร้ายใดๆ
 
 และจะไม่เกิดการพุ่งชนกัน ระหว่าง ดาวเคราะห์อย่างแน่นอน เหตุผลเพราะว่าใน
 ระบบสุริยะ  รวมถึงระบบกาแล็กซี่ มีสนามแรงโน้มถ่วงยึดเหนี่ยวกันอย่างมั่นคง
 ซึ่งกัน และกัน โดยมีความเสถียร แม้บางครั้งมีความผิดปกติบ้าง จากพายุสุริยะ
 (Solar  wind) หรือใน Interplanetary Medium (ช่องว่างระหว่างดาวเคราะห์)
 ก็ ไม่ส่งผลให้ดาวเคราะห์ เปลี่ยนเส้นทางโคจรจนปะทะกัน

 Nibiru หรือ Planet X  เป็นชื่อดาวที่ไม่มีในสาระบบ
 
 ข้อ สงสัย
 
 ดาวเคราะห์ (Planet) หรือ ดาวแคระสีน้ำตาล (Brown  dwarf) ที่เรียกในหลาย
 ชื่อว่า Nibiru หรือ Planet X หรือ Eris  จะผ่านเข้าใกล้โลกและทำความหายนะ
 กับโลกแบบ ถล่มทะลายได้หรือไม่ ?
 
 คำอธิบาย
 
 สำหรับชื่อ Nibiru  เป็นชื่อดาวเคราะห์ ที่คิดขึ้นเพื่อ เล่นตลกบนอินเตอร์เนต ไม่มี
 ข้อเท็จ จริงอ้างอิงทางวิชาการ
 
 ส่วน Planet X เป็นชื่อตั้งไว้ล่วงหน้า  เป็นความพยายามค้นหาดาวเคราะห์ลึกลับนี้
 แต่ปัจจุบันยืนยันว่าไม่พบ
 
 ถ้า  Nibiru หรือ Planet X บ่ายหน้ามุ่งมายังโลก ในปี ค.ศ.2012 นักดาราศาสตร์
 มี เครื่องมือที่จะตรวจสอบระยะ เส้นทางผ่านเข้ามาได้ล่วงหน้านับทศวรรษ และ
 แน่ นอนหากเป็นจริง ระยะที่ใกล้โลกขณะนี้ คนทั้งโลกสามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า
 แต่ ที่ไม่เห็นเพราะยังไม่ได้เกิดขึ้น
 
 สำหรับ Eris นั้นมีตัวตนจริง  เป็นประเภทดาวเคราะห์แคระ (Dwarf planet) มีขนาด
 เล็กคล้ายดาวพูลโต  (Pluto) จัดว่าเป็นดาวที่รอนแรมอยู่บริเวณ ชายแดนขอบนอก
 ระบบสุริยะ  (Outer solar system) หรือ บริเวณพิภพน้ำแข็ง มีระยะทางห่างจาก
 โลกราว 4  พันล้านไมล์ คงเป็นไปไม่ได้ ที่จะเข้าใกล้โลกและชนโลก

 เป็นไปไม่ได้ที่โลกจะพลิกกลับขั้วสนามแม่เหล็ก เช่นภาพนี้
 
 ข้อสงสัย
 
 อะไร คือ ทฤษฎีแกนโลกพลิกกลับขั้ว (Polar shift theory) และเป็นความจริง
 หรือ เปลือกโลก (Earth’s crust) สามารถหมุนกลับแบบ 180 องศา รอบๆแกนใน
 (Core)  ของโลกในเพียงวันเดียว หรือไม่กี่ชั่วโมง ?
 
 คำอธิบาย
 
 เป็นไปไม่ได้  ที่โลกจะหมุนกลับในทิศตรงกันข้าม แต่แผ่นทวีปจะค่อยๆเลื่อน
 ตัวเอง  (ตัวอย่างอดีตทวีป Antarctica เคยอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรเมื่อ 100 ล้านปี
 ที่ แล้ว) การอ้างถึงการหมุนกลับของขั้วจึงไม่น่าเชื่อถือ
 
 อย่างไรก็ตาม  มีข้อเขียนเป็นจำนวนมากกล่าว ผลักดันเหตุผลถึงความหายนะ
 ให้กับผู้ที่ ไม่เข้าใจ โดยอ้างว่าเป็นความสัมพันธ์การหมุนของโลกกับกระแสไฟฟ้า
 ของ สนามแม่เหล็กโลก (Magnetic polarity of Earth) ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
 อย่าง ผิดปกติ
 
 แท้จริงแล้ว การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นราวทุกๆ  400,000-600,000 ปี
 และเปลี่ยนแปลงมาแล้วหลายครั้ง  แบบค่อยเป็นค่อยไปอย่างช้าๆ นับระยะเวลา
 เป็นหมื่นหรืออาจแสนปี  ซึ่งจะไม่ทำอันตรายให้ชีวิตใดๆบนโลกให้บาดเจ็บและ
 ยังไม่เกิดขึ้น ระยะ  1,000 ปีนี้ในทุกๆแห่งบนโลก
 

วัตถุขนาดใหญ่ มีโอกาสการชนปะทะโลกน้อย  แต่ไม่ใช่ไม่มีโอกาส
 
 ข้อสงสัย  
 
 โลกจะอยู่ในอันตราย จากการพุ่งชนปะทะของ อุกกาบาต  (Meteorite) ในปี ค.ศ.
 2012 หรือไม่ ?
 
 คำอธิบาย
 
 โดยปกติโลกจะถูกวัตถุต่างพุ่งเข้าชน เช่น  ดาวหาง (Comets) ดาวเคราะห์น้อย
 (Asteroids) เป็นกิจวัตร  แต่วัตถุที่มีขนาดใหญ่จริงๆนั้น มีโอกาสน้อย แต่ไม่ได้
 หมายความว่าไม่มี โอกาสเลย
 
 ครั้งหลังสุดเกิดขึ้นเมื่อ 65 ล้านปีที่แล้ว  ซึ่งทำให้ไดโนเสาสูญพันธ์ไปสิ้นจากโลก
 และเมื่อ 100 ปีที่แล้ว  เกิดทางตอนเหนือของไซบีเรีย เรียกว่า The Tunguska
 event  (กรณีทังกัสก้า) และเมื่อปี ค.ศ.2009 เกิดเหนือน่านฟ้าอินโดนีเซีย เรียกว่า
 Indonesian  asteroid ซึ่งทั้งสองกรณีไม่มีผู้เสียชีวิต ล่าสุดเมื่อ 6 พฤศจิกายน
 ค.ศ.  2009 ตรวจพบ ดาวเคราะห์น้อย 2009 VA ขนาดเล็กได้ก่อนเข้าใกล้โลก
 
 วันนี้  ด้วยความก้าวหน้าต่อการลาดตะเวนอวกาศ เรียกว่า Spaceguard Survey
 (หน่วย ป้องกัน-ลาดตะเวณอวกาศ) เพื่อค้นหาวัตถุใกล้โลก (Near-earth objects)  โดยเฉพาะวัตถุขนาดใหญ่ เช่น ดาวเคราะห์น้อยใกล้โลก โดยมีความเป็นไปได้
 กรณี  ดาวเคราะห์น้อย 99942 Apophis (2004 MN4) เฉียดใกล้โลก ในวันที่
 วันที่  13 เมษายน ค.ศ. 2029 (พ.ศ.2572) มีการแขวนป้ายเตือน ในระดับที่ 2
 (Yellow  Zone) จาก 10 ระดับหรือ (ในรายงานปี ค.ศ. 2006)
 
 อย่างไรก็ตาม  วัตถุประเภทนี้ เส้นทางโคจรมักมีการเปลี่ยนแปลงเสมอ จึงต้อง
 ตรวจสอบ ติดตามเป็นระยะ ในรายงานผลสรุป เช่น 99942 Apophis (2004 MN4)
 จาก  Earth Impact Risk Summary (ดูหัวข้อ Torino Scale ว่าเป็นหมายเลขใด)
 ซึ่ง อาจมีการเปลี่ยนแปลงระดับการเตือนภัย
 
 ทั้งนี้สามารถทราบ  เส้นทางโคจรล่วงหน้านานพอ ที่จะเตรียมตัวรับภัยพิบ้ติได้
 การเฝ้าระวัง วัตถุขนาดใกล้โลก เป็นภาระกิจตรวจสอบทุกวัน 24 ชั่วโมง ตลอดปี
 ของ NASA  NEO Program Office (Potentially Hazardous Asteroids)
 ทุกคนสามารถเข้า ไปตรวจสอบได้ด้วยตนเองตลอดเวลา ขณะนี้ทำนายได้ว่าจะ
 ไม่เกิดเหตุการณ์ วัตถุจากนอกโลก ขนาดใหญ่ชนปะทะโลกในปี ค.ศ.2012
 

 ไม่เกิดพายุอวกาศยักษ์ เป็นภัยพิบัติกรณีพิเศษ  ในปี ค.ศ. 2012
 
 ข้อสงสัย
 
 จะ เกิดสิ่งอันตรายจาก พายุอวกาศยักษ์ (Giant solar storms) ตามคำทำนาย
 ใน  ค.ศ.2012 หรือไม่ ?
 
 คำอธิบาย 
 
 กิจกรรมบนดวงอาทิตย์ หรือ เรียกว่า Solar activity  มีกฎเกณฑ์เกิดขึ้นเป็นวัฐจักร
 ประมาณ ทุกๆ 11 ปี  จะเป็นช่วงเวลาการเกิดขึ้นในระดับสูงสุด (Activity peaks)  พวยก๊าซบนดวงอาทิตย์ (Solar flares) สามารถทำอันตรายต่อระบบสื่อสารของ
 ดาว เทียมได้ จากอีเล็คตรอนอวกาศ (Killer electrons in space)
 
 จน กระทั่งวิศวกรด้านอวกาศ ได้เรียนรู้เพื่อสร้างสิ่งป้องกันการทำลาย จากพายุ
 อวกาศ ยักษ์ แต่จะไม่เกิดพายุอวกาศยักษ์ เป็นภัยพิบัติกรณีพิเศษ ในปี ค.ศ.
 2012  โดยจะมีโอกาสเกิด ในช่วงกรอบเวลา ค.ศ. 2012-2014 สามารถทำนายได้
 ล่วง หน้าว่า เป็นระดับค่าเฉลี่ยทั่วไป ไม่ต่างจากที่ผ่านมาในอดีต

การแตกของแผ่นน้ำแข็งขั้วโลก
 
 
 ข้อสงสัย
 
 จะเกิดอุทกภัยน้ำ ท่วมโลก ครั้งใหญ่ หายนะและร้ายแรงขนาดล้างโลก
 ใน ค.ศ. 2012 หรือไม่ ?
 
 คำอธิบาย
 
 สถานการณ์โลกร้อน  จากข้อมูล แบบจำลองสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพ
 อากาศโลก  ทำให้เกิดสิ่งที่น่ากังวลคือ ผลกระทบต่อเนื่องไปยังแผ่นน้ำแข็งขั้วโลก
 ซึ่ง โดยปกติโลกมีปริมาณน้ำบนโลกมีถึง 70% มากกว่าผืนแผ่นดินอยู่แล้ว
 
 การ ยกตัวของระดับน้ำํทะเล จากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ ของน้ำทะเลร้อนขึ้น
 และ การละลายของแผ่นน้ำแข็ง เมื่อรวมทั้งสองกรณี เข้าด้วยกัน จะมีศักยภาพ
 ใหญ่ โตมาก อย่างไม่น่าเชื่อ จากการคำนวณว่าปริมาณแผ่นน้ำแข็ง Greenland
 และ  Antarctica สามารถทำให้ การยกตัวระดับน้ำทะเลอยู่ระหว่าง 7-73 เมตร
 
 ดัง นั้นมีความเป็นไปได้ ภายใน 50-100 ปีข้างหน้า แต่ไม่ใช่ภายใน ค.ศ. 2012
 อย่าง ไรก็ตาม ระดับน้ำของโลกจะค่อยๆสูงขึ้นในทุกๆปี บริเวณที่จะเกิดปัญหา
 ก่อน ใคร คือ เกาะขนาดเล็ก เมืองท่าบริเวณปากอ่าวแม่น้ำ และที่ลุ่มริมฝั่งรวม
 ถึง ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาในประเทศไทย
 
 การเพิ่มขึ้นของน้ำ  จะไม่เกิดในลักษณะน้ำท่วมจนไม่เหลือผืนแผ่นดิน แต่จะทำ
 ให้ผืนดินน้อยลง  เกิดความไม่สมดุลยต่อประชากรที่เพิ่มขึ้น ต่อพื้นที่เพาะปลูก
 จะเกิดโรค ระบาดใหม่ ขาดแคลนทรัพยากร จะเห็นปัญหาต่างๆชัดขึ้นราว ค.ศ.
 2050  จนทำให้แก้ไขยากขึ้นเรื่อยๆ
 
 
 เครดิต  Non-profit organization

การแตกของแผ่นน้ำแข็งขั้วโลก
 
 
 ข้อสงสัย
 
 จะเกิดอุทกภัยน้ำ ท่วมโลก ครั้งใหญ่ หายนะและร้ายแรงขนาดล้างโลก
 ใน ค.ศ. 2012 หรือไม่ ?
 
 คำอธิบาย
 
 สถานการณ์โลกร้อน  จากข้อมูล แบบจำลองสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพ
 อากาศโลก  ทำให้เกิดสิ่งที่น่ากังวลคือ ผลกระทบต่อเนื่องไปยังแผ่นน้ำแข็งขั้วโลก
 ซึ่ง โดยปกติโลกมีปริมาณน้ำบนโลกมีถึง 70% มากกว่าผืนแผ่นดินอยู่แล้ว
 
 การ ยกตัวของระดับน้ำํทะเล จากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ ของน้ำทะเลร้อนขึ้น
 และ การละลายของแผ่นน้ำแข็ง เมื่อรวมทั้งสองกรณี เข้าด้วยกัน จะมีศักยภาพ
 ใหญ่ โตมาก อย่างไม่น่าเชื่อ จากการคำนวณว่าปริมาณแผ่นน้ำแข็ง Greenland
 และ  Antarctica สามารถทำให้ การยกตัวระดับน้ำทะเลอยู่ระหว่าง 7-73 เมตร
 
 ดัง นั้นมีความเป็นไปได้ ภายใน 50-100 ปีข้างหน้า แต่ไม่ใช่ภายใน ค.ศ. 2012
 อย่าง ไรก็ตาม ระดับน้ำของโลกจะค่อยๆสูงขึ้นในทุกๆปี บริเวณที่จะเกิดปัญหา
 ก่อน ใคร คือ เกาะขนาดเล็ก เมืองท่าบริเวณปากอ่าวแม่น้ำ และที่ลุ่มริมฝั่งรวม
 ถึง ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาในประเทศไทย
 
 การเพิ่มขึ้นของน้ำ  จะไม่เกิดในลักษณะน้ำท่วมจนไม่เหลือผืนแผ่นดิน แต่จะทำ
 ให้ผืนดินน้อยลง  เกิดความไม่สมดุลยต่อประชากรที่เพิ่มขึ้น ต่อพื้นที่เพาะปลูก
 จะเกิดโรค ระบาดใหม่ ขาดแคลนทรัพยากร จะเห็นปัญหาต่างๆชัดขึ้นราว ค.ศ.
 2050  จนทำให้แก้ไขยากขึ้นเรื่อยๆ
 
 
 เครดิต  Non-profit organization

 

23 ส.ค. 53 เวลา 10:55 13,758 52 354
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...