ผลการศึกษาของผู้เชี่ยวชาญแดนวิสกี้ ชี้ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เป็นคนขี้ขลาดตาขาว และไม่ได้เป็นวีรบุรุษสงครามตามที่เจ้าตัวนำไปกล่าวอ้าง
สำนัก ข่าวต่างประเทศรายงานโดยอ้างผลการศึกษาของทีมนักวิจัยในสก็อตแลนด์ที่มีการ เผยแพร่เมื่อวันที่ 19 ส.ค.ที่ระบุว่า ในความเป็นจริงแล้วจอมเผด็จการอดอล์ฟ ฮิตเลอร์แห่งเยอรมนีไม่ได้เป็น "วีรบุรุษสงคราม" ที่เคยวิ่งฝ่าดงกระสุนของฝ่ายสัมพันธมิตรในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ตามที่เจ้าตัวกล่าวอ้าง
รายงานข่าวระบุว่าทีมนักวิจัยของมหาวิทยาลัย อเบอร์ดีน ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่อันดับ 3 ในสก็อตแลนด์และอันดับ 5 ในสหราชอาณาจักรที่นำโดย ดร.ธอมัส เวเบอร์ ออกมาเปิดเผยผลการศึกษาเชิงประวัติศาสตร์ชิ้นล่าสุดที่พบข้อมูลว่าในความ เป็นจริงแล้ว อดอล์ฟ ฮิตเลอร์จอมเผด็จการนาซีเยอรมัน ซึ่งมีเชื้อสายออสเตรียเป็นทหารที่ขี้ขลาดและมักจะหลบอยู่แต่ในพื้นที่ ปลอดภัยเสมอระหว่างที่เขาถูกส่งไปร่วมในหน่วยรบ "เกฟรายเทอร์"ของกองทัพเยอรมนีในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1
ผลการศึกษา พบข้อมูลจำนวนมากที่เป็นคำให้การของอดีตเพื่อนทหารของฮิตเลอร์ในหน่วยรบ"เก ฟรายเทอร์" ที่ถูกส่งไปรบในแนวหน้าแถบพรมแดนฝรั่งเศสและเบลเยี่ยมในช่วงสงครามโลกครั้ง แรกที่ระบุว่า ฮิตเลอร์เป็นทหารที่กลัวการเสียชีวิตเป็นที่สุดและแทบไม่เคยได้จับอาวุธออกไปรบกับข้าศึกในแนวหน้าเลยตลอดสงคราม โดยคำให้การของเพื่อนทหารส่วนใหญ่ยืนยันว่าฮิตเลอร์มักจะขออาสาทำหน้าที่ จัดการเอกสารต่างๆอยู่ในค่ายซึ่งตั้งอยู่ห่างจากแนวหน้าหลายกิโลเมตร
ดร.เว เบอร์ ระบุว่า การศึกษาล่าสุดพบว่าแทบไม่มีความเป็นไปได้แม้แต่น้อยที่อดีตผู้นำสูงสุดของ จักรวรรดินาซีเยอรมันรายนี้จะเคยทำหน้าที่เป็นพลนำสารในสนามเพลาะที่เคยวิ่ง ฝ่าดงกระสุนของทหารฝ่ายสัมพันธมิตรในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ตามที่ฮิตเลอร์นำมากล่าวอ้างในช่วงหลังสงครามจนเป็นที่มาของการได้รับเหรียญ กล้าหาญถึงสองครั้งสองครา
ทีมวิจัยของมหาวิทยาลัยอเบอร์ดีนยังพบว่า เมื่อครั้งที่ฮิตเลอร์ยังเป็นทหารชั้นผู้น้อยนั้นเขาได้ชื่อว่าเป็นคนที่ ประจบเอาใจผู้บังคับบัญชาได้เก่งที่สุด ซึ่งการทำตัวให้เป็นที่รักของนายถือเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขาแทบไม่เคย ได้ออกไปเสี่ยงชีวิตในแนวหน้าเลย
ทั้งนี้ ฮิต เลอร์เริ่มก้าวเข้าสู่แวดวงการเมืองของเยอรมนีในช่วงต้นทศวรรษที่ 1930 ในฐานะผู้นำพรรคสังคมนิยมแรงงานแห่งเยอรมนี หรือ พรรคนาซี (Nationalsozialistische Deutsche Arbeiterpartei) ก่อนได้ รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี 1933 และกลายเป็นผู้นำสูงสุด หรือ "Fuhrer" ที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดตั้งแต่ปี 1934 จนกระทั่งเขาตัดสินใจฆ่าตัวตายที่กรุงเบอร์ลินพร้อมกับชู้รัก คือ เอวา บราวน์ เมื่อวันที่ 30 เม.ย. 1945 ซึ่งเป็นช่วงท้ายของสงครามโลกครั้งที่ 2 ในทวีปยุโรป