16 ส.ค. ศาลอาญามีคำพิพากษาในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้อง นายสุรัตน์ มณีนพรัตนสุดา เป็นจำเลย ฐานประกอบกิจการให้เช่า แลกเปลี่ยน หรือจำนำภาพยนตร์ จำพวกแผ่นวีซีดีภาพยนตร์ จำเลยให้การรับสารภาพชั้นสอบสวน แต่ให้การปฏิเสธในชั้นศาล คดีมีอัตราโทษปรับตั้งแต่ 200,000-1,000,000 บาท
โดยนายสุรัตน์ ซึ่งเป็นลูกจ้างชั่วคราว ตำแหน่งพนักงานเก็บขยะ ประจำเขตสะพานสูง กองรักษาความสะอาด กรุงเทพมหานคร เก็บขยะระหว่างเวลา 04.00 น.- 10.00 น. เมื่อเก็บขยะแล้วจะแยกขยะที่พอขายได้ไปขายที่แผงแบกะดิน ตลาดหน้าหมู่บ้านนักกีฬา มีทั้งแผ่นวีซีดีภาพยนตร์ ที่ได้จำหน่ายในราคาแผ่นละ 20 บาท หม้อหุงข้าว และรองเท้าเก่า ต่อมาถูกตำรวจ สน.หัวหมาก จับ โดยยอมรับว่าขายจริงแต่ไม่ได้เป็นผู้ประกอบการ และนำพนักงานขับรถขยะ กับหัวหน้างาน มาให้การทำนองเดียวกัน
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานเห็นว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องจริง สั่งปรับเป็นเงิน 200,100 บาท แต่จำเลยเคยให้การรับสารภาพชั้นสอบสวน คงลดโทษให้เหลือปรับ 133,400 บาท ถ้าไม่จ่ายค่าปรับให้กักขังแทนค่าปรับ จำเลยฟังคำพิพากษาแล้ว ขอยื่นประกันตัว ศาลสั่งอนุญาตในวงเงิน 100,000บาท โดยจำเลยจะยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาให้ศาลลดค่าปรับให้ต่อไป
ทั้งนี้ คดีนี้เป็นอุทธาหรณ์ของชาวบ้านที่เก็บของขายข้างถนน แต่ถูกจับเพราะไม่รู้ว่ามีพ.ร.บ.ภาพยนตร์และวิดีทัศน์พ.ศ.2551 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 27 ก.พ.2551 เพราะไม่รู้ อีกทั้งถ้ารู้ก็ต้องไปขออนุญาตจำหน่าย โดยไปขอที่กระทรวงวัฒนธรรม ค่าธรรมเนียม 5,000 บาท กฎหมายฉบับนี้มีเจตนารมณ์จะเอาผิดกับผู้ประกอบกิจการค้าภาพยนตร์ที่ไม่ได้รับอนุญาตโดยฝ่าฝืน ดังนั้นจำเลยจะอุทธรณ์ในประเด็นว่าไม่ได้เป็นผู้ค้า และจะขอให้ศาลลดค่าปรับลงด้วย เพราะเป็นเพียงคนเก็บขยะมาขายเท่านั้น