เรื่องของคนบ้าคนหนึ่ง
มีชีวิตอยู่เหมือนคนบ้า ไม่แสวงหาลาภยศเงินทอง ครองชีวิตอยู่แต่ผู้เดียว ไม่ข้องเกี่ยวสังคมโลกที่เขาเป็นกัน
ปรกติวิถีชีวิตของเรา คนอื่นเขามองเป็นเรื่องแปลกพิสดาร
ไม่ใช้เงินเมื่อไม่มีเงิน และไม่ยอมหาเงิน ไม่เคยเรี่ยไรแจกซองผ้าป่ากฐิน (พระด้วยกันยังงงว่ามันอยู่ได้ยังไง)
เดินเมื่อไม่มีรถให้นั่ง และไม่พยายามหาเงินซื้อรถ ดีต่อสุขภาพเพราะได้ออกกำลังกาย และได้ชมวิวทิวทัศน์ข้างทาง
ไม่ ดูหนังละครเกมโชว์หรือแม้แต่กีฬา ยกเว้นที่มีความสำคัญจริงๆอย่างการชิงแชมป์โลก ดูแต่ข่าว, รายการสารคดี และภาพยนตร์บางเรื่อง ที่จริงไม่ได้ดูทีวีมาสิบกว่าปีเพิ่งจะมาดูตอนที่เขาชุมนุมพันธมิตรกัน ดูประจำอยู่สองช่อง คือ astv และ nation สิบกว่าปีที่ไม่ได้ดูทีวีไม่ได้ดูหนังสือพิมพ์ สิบกว่าปีที่ไม่รู้ว่าโลกเขาเป็นอย่างไร เปรียบเหมือนการกระโดดข้ามกาลเวลา
ใช้คอมพิวเตอร์เป็นเมื่อหกปีที่แล้ว ก่อนหน้านั้นแม้แต่พิมพ์ดีดก็ยังพิมพ์ไม่เป็น พอใช้อินเตอร์เน็ต ใช้เนตเป็นจริงๆก่อนการสมัครเป็นสมาชิกโอเคเนชั่นหนึ่งวัน เวลาที่ใช้เนตส่วนใหญ่ก็อยู่แต่ใน "โอเคเนชั่น"
มีโทรศัพท์มือถือก็ต่างจากสากเบือแค่เล็กน้อย ไม่จำเป็นจริงๆไม่โทรหาใคร
ไม่คุยกับผู้หญิง เว้นไว้แต่มีธุระจริงๆ ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยคุยกับสาวๆ แต่พอสนิทกับผู้หญิงแล้วทำให้ปวดหัว กินไม่ได้นอนไม่หลับ เวลาที่เลิกพูดคุยกับผู้หญิงทิ้งระยะเวลาไม่กี่เดือนก็หายจากอาการดังกล่าว กินได้นอนหลับสุขภาพจิตดี (คงจะเป็นอาการคล้ายกับคนแพ้อาหารทะเล)
สามารถอยู่คนเดียวได้โดยไม่ต้องพูดคุยกับใครเป็นเดือน โดยที่มีอารมณ์ดีปรกติเหมือนคนทั่วไป (กลายเป็นว่าผิดปรกติจากคนทั่วไป)
ไม่มีความจำเป็นจริงๆจะไม่ไปไหน ไม่ใส่ใจสังคมรอบข้าง แต่กลับเขียนบล็อกที่เป็นเรื่องการเมืองและสังคม
ด้วยเหตุต่างๆเหล่านี้ จึงต้องอยู่อย่างนี้ตลอดไป........
บล็อกที่สวยงามดูดีเป็นเพียงภาพลวงตาที่ทุกคนมองเห็น (แต่ไม่เคยหลอกใคร)
“คนบ้า”
อยากจะบอกว่า “รับไปแต่ส่วนของเรื่องราวดีๆ”
เหมือนเวลากินผลไม้ควรกินแต่เนื้อ เมล็ดและเปลือกควรทิ้งมันไป