วิธีการเลือกซื้อรถ BigBike
ก่อนอื่นขอบอกก่อนเลยว่าผมไม่ใช่ช่างมืออาชีพ ผมแค่ขอแชร์ความรู้และประสบการณ์ของผมซึ่งอาจจะมากหรือน้อยก็ไม่รู้ แต่คิดว่าคงจะเป็นแนวทางสำหรับมือใหม่ได้ ก่อนอื่นเลยที่เราจะซื้อรถเราจะต้องดูอะไรบ้างเป็นอันดับแรก
1.ศึกษาข้อมูลของรถที่เราชอบ ศึกษาและเปรียบเทียบทั้ง 4 ค่ายของญี่ปุ่น
(ยามาฮ่า คาวา ฮอนด้า ซู) หรืออีก 2 ค่ายใหญ่ของยุโรป (bmw ducati) ว่าเราชอบยี่ห้อไหน และต้องการขนาด cc ของเครื่องยนต์เท่าไหร่
อะไรที่เราจะต้องเปรียบเทียบบ้าง ขนาดของ cc กำลัง แรงม้า แรงบิด นน.รถ ระบบส่งกำลัง ท่านั่งขับขี่และรูปทรง แอโร่ไดนามิกส์ การกินน้ำมัน และการบำรุงรักษาระยะยาวรวมถึงราคาค่าอะไหล่สิ้นเปลืองต่างๆด้วย เช่นโซ่เสตอร์ ยางผ้าเบรค บางยี่ห้อจะแพงกว่า ต้องเช็คให้ดีๆ ระบบระบายความร้อนของรถทุกค่าย ระบบการจ่ายน้ำมันว่าคาบูเรเตอร์หรือหัวฉีด เอาทุกๆอย่างมาเปรียบเทียบกับ 4 ยี่ห้อใหญ่และลองตัดสินดูว่าเราชอบยี่ห้อไหน รุ่นไหน
2.เมื่อเลือกรุ่นในดวงใจได้แล้วทีนี้มาว่ากันเรื่องราคาที่ควรจะซื้อบ้าง ไม่ใช่ว่ามีเงินแล้วอยู่ดีๆจะซื้อได้เลยซี้ซั้ว เราต้องรู้ราคาตลาดก่อนว่ารถรุ่นนี้ inv ขายกันเท่าไหร่ก่อน และรู้ว่าทะเบียน+80000 เช็คได้จากเวปมอไซทั่วไปนั่นแหละให้เรารู้ราคากลางก่อนว่าขายกันเท่าไหร่จะได้ไม่เสียค่าโง่ ว่าเราต้องซื้อในราคาไม่เกินเท่าไหร่ ส่วนมากคนที่จะซื้อรถพวกนี้ถ้ากำเงินอยู่จะอยากได้จนตัวสั่นจนไม่ค่อยต่อ และรีบซื้อและมักจะได้รถไม่ค่อยดีมา ตรงนี้ต้องหักห้ามใจตัวเองด้วย จำไว้ว่ามีเงินในมือก็เหมือนมีรถแล้ว ฉะนั้นใจเย็นๆ ไม่งั้นจะพลาดเหมือนผมที่เคยเจอบ่อยๆ
3.รถที่เราจะซื้อเราจะต้องดูอะไหล่ที่สึกหรอต่างๆ เพราะว่าพวกนี้มีผลในเรื่องการบำรุงรักษาของเรา คุณรู้หรือเปล่าว่ารถ BB ขนาดเครื่อง 600cc ขึ้นไปเนี่ยยางคู่ละประมาณ 14000 และโซ่เสตอร์ชุดละ 7000 และผ้าเบรคชุดละ 500 ซึ่งต้องใช้ 3 คู่คือ 1500 บาท (ผ้าเบรคยี่ห้อถูกๆทั่วไปนะ ถ้ายี่ห้อแพงๆมีชุดละหลายพันเลย) แบตเตอรี่ลูกละ 2200 บาท และส่วนมากคนที่ขายรถมักจะขายในช่วงที่ต้องถึงเวลาซ่อมบำรุงชุดใหญ่ดังที่กล่าวมา ถ้าเราซื้อรถถูกกว่าราคาตลาดสัก 10000 แล้วแอบดีใจ โดยหารู้ไม่ว่าต้องเปลี่ยนอะไหล่สิ้นเปลืองทั้งหมดนี่ จะกลายเป็นว่าเราซื้อแพงในทันที ฉะนั้นการซื้อรถเราต้องเอาราคาตลาดอ้างอิงและต้องได้รถที่ไม่ต้องซ่อมบำรุงในราคากลาง ถ้าซื้อมาในราคากลางแล้วต้องมาเปลี่ยนยางคุณต้องควักอีก 14000 หรืออย่างอื่นตามที่กล่าวมา ซึ่งไม่คุ้มกันเลย ฉะนั้นต้องดูให้ดีๆ บางคันแพงกว่านิดหน่อยแต่ไม่ต้องซ่อมอะไรเลย ยางดอกเหลือเยอะ เบรคเหลือเยอะ โซ่เสตอร์เหลือเยอะ แบบนี้แพงกว่าสัก 10000-15000 ซื้อเถอะครับ เอามาบวกลบให้ดีๆแล้วต่อราคาเค้าไปเลย
4.จุดที่ล้ม หรือเคยชนมาก่อน เราต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่าเรื่องรถล้มรถชนเป็นเรื่องธรรมชาติ ยกตัวอย่างง่ายๆขนาดเราขี่รถเล็กๆบางทียังล้มกันเลยแล้วนี่รถคันเบ้อเร่อล้มนิดๆหน่อยๆจะไปซีเรียสกันทำไม เอาเป็นว่าเรื่องล้มเป็นเรื่องธรรมชาติ อย่าชนยับมาก็พอ
รถที่ยุ่นเนี่ยถ้าเค้าล้มหรือชนถึงขนาดต้องซ่อมเนี่ย เค้าจะไม่นิยมซ่อมกันเพราะว่าที่บ้านเค้าค่าซ่อมแพงมากๆ และสำนักแต่งก็เทพๆทั้งนั้นราคาก็โหดตาม และรถบ้านเค้าถ้าเก่าเกิน 4 ปี ภาษีจะแพงขึ้นตามปี เค้ามีนโยบายให้ใช้รถใหม่ตลอด รถที่เก่าเกิน 4 ปี หรือมากกว่านั้นจะสร้างมลพิษให้ประเทศเค้า เค้าจะขายทิ้งหมดเพื่อไปซื้อรถใหม่ที่เสียภาษีน้อยกว่า รถที่มาถึงเมืองไทยเป็นรถที่ล้มหรืออุบัติเหตุมาแล้วทั้งนั้น เค้าไม่ซ่อม เค้าขายหรือประมูลขายทิ้งกันเลย บ้านเราก็คือต้องเอารถล้มหรือรถชนมาซ่อมต่อ รถล้มรถชนจะถูกกว่ามาก และรถที่ไม่ล้มไม่มีชนรับรองเค้าขายให้เราแพงมาก แพงขนาดเราซื้อกันไม่ได้เลย ฉะนั้นเปิดใจให้กว้างและอย่าซีเรียส ทำใจไว้เลยว่ารถต้องมีล้มบ้าง แต่เราก็พยายามเลือกคันที่บอบช้ำน้อยที่สุดละกัน
ส่วนเรื่องรถหยิบ รถขโมย ก็มีบ้าง พวกนี้จะรถสวยเพราะไม่ได้ล้มแต่หยิบมาดื้อๆเลย พวกนี้สังเกตุง่าย รูที่ล๊อกคอที่แฟรมช่วงคอจะเยินๆเพราะว่าถูกงัดด้วยแป๊ปหรือถีบให้ลีอกคอหักมาก่อนที่รูล๊อกคอตรงแฟรมช่วงคอจะมีรอยเยินๆอยู่ และพวกนี้ไม่ได้มีกุญแจติดมาด้วย และถ้าเป็นรุ่นใหม่ที่มีกุญแจชิพ ก็จะต้องเบิกกุญแจพร้อมกล่อง ECU เพราะว่าโค๊ดของกุญแจและกล่องใช้ชุดเดียวกัน รถหยิบสังเกตุง่ายๆที่ล๊อกคอ และมักจะมีกุญแจ 3 ดอกใหม่ๆ เพราะว่าเบิกกุญแจมาใหม่ไงล่ะ
จุดที่ต้องดูมีอะไรบ้าง ก็คือจุดที่เราคิดว่าเวลารถล้มแหมะกับพื้นแล้วมันจะต้องโดนพื้น ร่องรอยพวกนี้บอกได้ถึงเรื่องเล่าของรถคันนี้ว่า ล้มมาแรงหรือล้มหนัก หรือสไลด์มามากแค่ไหนคือ
4.1 ตุ้มปลายแฮนด์ ปลายก้านคลัชท์และก้านเบรค ไฟเลี้ยว กระจกข้าง นอตแกนล้อหน้าหลัง แคร้งซ้ายขวา พักเท้า สวิงอาร์ม มุมหน้ากาก บังโคลนหน้า หูยึดแฟริ่งต่างๆและตัวฟริ่งเอง
และระวังเครื่องชนคอขาดด้วยนะครับ รถสมัยใหม่เฟรมทำมาให้ขาดอยู่แล้วเพื่อซับแรง อย่างพวก haya เนี่ยล้มเบาๆคอจะฉีกขาดเลย พวกนินจาก็เหมือนกันครับ ให้ดูรอยเชื่อม หรือยกถังดูรอยเชื่อมที่เฟรมใต้ถังด้วยครับ แต่ฮายาไม่ต้องใต้ถัง แค่ดูข้างๆเฟรมก็จะเห็นเลย
5.เรื่องของสีเดิมดูยังไง ถ้ารถเดิมๆจากโรงงานเค้าจะทำสีก่อนและค่อยแปะสติ๊กเกอร์ เช่นแฟริ่งถ้าสีเดิมเราเอาเล็บขูดของๆดูต้องสะดุดเหมือนจะลอกสติ๊กเกอร์ออกมาได้ แต่ถ้ามันไม่สะดุดแต่เรียบเพราะมีแล๊กเกอร์เคลือบไว้แสดงว่าทำสีมาแล้ว หรือเคยซ่อมสีมาแล้ว (ยกเว้นถังน้ำมัน ถังจะแปะสติ๊กเกอร์และเคลือบแล็คเกอร์มาจากโรงงานอยู่แล้ว) นอกนั้นสมารถขูดออกได้หมด
6.ดูปีที่ผลิตให้ดีๆเพราะรถเดี่ยวนี้มักทำขายรุ่นเดียวกัน 2 ปี เช่น K5 กับ K6 ก็คือรถตัวเดียวกันแต่อาจจะมีรายละเอียดต่างกันเล็กๆน้อยๆ บางคนขี่ k5 แต่บอกว่ารถตัวเองเป็น k6 หลอกชาวบ้านไปวันๆ เพื่ออัพราคาเวลาขายต่อคนที่ไม่รู้คิดว่ารถเป็นปี 2006 ได้อีกหลายหมื่น ตรงนี้เราดูไม่ยากถ้าซูซูกิ จะมีเพลทแปะที่คอบอกเลยว่ารถผลิตปีไหน เราก็จะรู้เลยปีอะไร ส่วนถ้าไม่ได้บอกเราต้องเช็คเลขคอเลขเครื่องเอาครับ
7.เรื่องนอตและหมุดยึดต่างๆ ต้องเป็นของเดิมทั้งหมดเพราะว่าถ้านอตไม่เดิม หมุดยึดไม่เดิม ก็แสดงว่าของเดิมมันมาไม่ครบ..แล้วทำไมมันถึงมาไม่ครบให้คิดได้เลยว่ารถชนมาแล้ว มาใช้อะไหล่ซ่อมของบ้านเราใส่แทน ถ้ามันล้มมาเบาหรือชนเบาๆของเดิมมันต้องอยู่ครบทั้งหมด ถ้าถึงขนาดนอตเดิมยังไม่อยู่สดงว่ามันชนจนแฟริ่งหรือนอตชิ้นนั้นหลุดหายไปซึ่งแปลว่าอุบัติเหตุมาหนักมาก ฉะนั้นต้องนอตเดิมๆตรงรุ่น ไม่ใช่นอตที่มีขายทั่วไปตามบ้านเรา อย่าง cbr1100xx หรือ blackbird เนี่ยจะเป็นนอตเฉพาะของมันเลยคือนอตจะมีรูเล็กๆรอบๆหัวนอตซึ่งเป็นเอกลักษ์มากๆ แล้วถ้านอตมันเป็นนอตที่ซื้อได้ตามร้านอะไหล่ๆทั่วๆไปแสดงว่าไม่มีนอตเดิมมา แล้วนอตเดิมมันหายไปไหน....ทำไมมันหาย...เช่นนอตและหมุดหน้ากากไม่มีของเดิมเลยก็เชื่อเถอะมันชนด้านหน้ามาเต็มๆแล้วมาหาอะไหล่บ้านเราทำสีแล้วซ่อมใส่เข้าไป
และบางทีรถที่มาจาก ตจว. หมายถึงร้านที่ซื้อรถจากโกดังที่ กทม.ไปประกอบขายเอง ร้านพวกนี้บางร้านมักง่ายมากไม่เอาใจใส่รายละเอียดของรถ อย่างรถบางคันที่ผมได้มาจากร้านที่ประกอบห่วยๆ นอตไม่ค่อยจะครบ นอตบังโคลน 4 ตัวใส่มาแค่ 2 นอตแฟริ่งมมี 6 ใส่มาแค่ 4 ประมาณนี้ ผมจะเบอบ่อยมากๆเลยรถที่มาจากทางร้านดังทางอีสานเนี่ย ซื้อกี่ทีก็เจอทุกครั้ง ผิดกับรถที่ซื้อจากช่างใน กทม.บางคนซึ่งมาตรฐานการประกอบสูงมาก ได้นอตครบอะไหล่ครบทั้งคันเลย ซึ่งก็ต้องเลือกดูกันดีๆ
8.เรื่องตัวเลขไมค์ก็สำคัญไม่แพ้กัน เรามันจะซื้อรถและถามว่า(เลขไมค์เท่าไหร่แล้วครับ) ซึ่งทุกคนต่างก็รู้ว่าทั้งคนขายอยากได้เลขไมค์น้อยๆทั้งนั้น ซึ่งร้านส่วนใหญ่ก็จะบอกว่า
เลขไมค์ 18000 แท้ไม่ได้กรอ
เลขไมค์ 7000 วิ่งน้อย
ไอ้สราดดดด วิ่งเยอะมึงบอกว่าเลขแท้ไม่เคยกรอ เลขน้อยมึงก็บอกว่ารถดีใช้งานมาน้อย สรุปแม่งจะขายลูกเดียว และรถเดี่ยวนี้ก็กรอไมค์เกือบทั้งนั้นเพราะเค้ารู้ว่าถ้าเลขไมค์เยอะเค้าก็ขายไม่ได้ และค่ากระไมค์ก็แค่ครั้งละ 2000 บาทเท่านั้นเอง
ยังไงว่ากรอมาหรือยังไม่กรอ
8.1ดูง่ายถ้ารถวิ่งมาไม่เกิน 4000-7000 โล เพราะยางจะต้องเป็นลายยางที่ติดมากับรถจากโรงงานเท่านั้นและปีที่ผลิตปีเดียวหรือก่อนปีของรถไม่กี่เดือนเท่านั้น ดูง่ายมากๆและดอกยางต้องสัมพันธ์กับเลขไมค์เช่นไมค์ 200 ยางต้องสวยกริ๊บ ไมค์ 2000 ยางต้องสึกนิดเดียว ไมค์ 7000 ยางต้องหัวโล้นเป็นต้น
8.2เสียงเครื่องต้องเงียบสนิท
8.3ผ้าเบรคต้องยี่ห้อเดียวกับปั๊มเบรคเช่นปั๋มเบรค nissin ผ้าเบรคก็ต้อง nissin ตามไปด้วย ผ้าเบรคมีอายุประมาณ 20000 โล ถ้ารถไมค์ไม่เคยกรอวิ่งไม่ถึง 20000 อย่างน้อยผ้าเบรคต้องไม่เคยเปลี่ยน ซึ่งต้องเป็นยี่ห้อเดียวกับปั๊มเบรคเท่านั้น
8.4โซ่เสตอร์อายุประมาณ 2-30000 โล ถ้ารถไมค์ 10000 โลโซ่เสตอร์ต้องเงียบไม่เสียงโซ่ดังเป็นจังหวะเพราะโซ่ยืดแล้ว
8.5จานเบรค ถ้ารถวิ่งไม่ถึง 10000 โล ดูลวดลายของจานเบรคจะดูง่ายมากถ้ามีประสบการณ์ รถวิ่งน้อยจานจะมีลายไขว้ขัดไปขัดมาจากโรงงาน แต่รถวิ่งเยอะลายที่ขัดไขว้ไปมาที่จานเบรคจะหายหมด แต่ลายจะเปลี่ยนเป็นลายวงกลมใหญ่ๆรอบๆจานเบรคแทน และจะออกเงาๆนิดนึง และถ้าเคยเปลี่ยนผ้าเบรคมาแล้ว และผ้าเบรคห่วยจานจะออกเงาๆแบบโครเมี่ยมที่ใบจาน อยากรู้ว่าลายจานเบรควิ่งเยอะกับน้อยต่างกันยังไงลองไปหารถใหม่กับเก่าเปรียบเทียบดู
จำไว้ว่ารายละเอียดทุกอย่างต้องสัมพันธ์กับเลขไมค์
แต่ถ้ารถที่ซื้อเลขไมค์เกิน 30000 ไปแล้วทุกอย่างที่กล่าวมาจะดูไม่ได้เลยเพราะว่าถูกเปลี่ยนไปหมดแล้ว โซ่เสตอร์ ผ้าเบรค ยาง ถูกเปลี่ยนไปหมดแล้วไม่มีของเดิมติดรถแล้ว คุณจะต้องไปฟังเสียงเครื่อง เสียงรุนของคลัชท์(ที่ดังครึกๆเวลากระชากคันเร่งแทน และเสียงโซ่ราวลิ้น ซึ่งต้องมีประสบการณ์มากๆ) แต่....ถ้าจะซื้อรถไมค์ 30000 แล้วคุณจะเอามาขี่อีกกี่โลล่ะ แล้วถ้าคุณขี่อีก 30000 เป็น เลขไมค์ 60000 โล แล้วคุณอยากขายแล้วใครจะซื้อคุณล่ะ
9.ส่วนเรื่องเครื่องยนต์คงต้องใช้ช่างไปดู เพราะบอกทางนี้คงไม่รู้เรื่อง มันเป็นเรื่องของความชำนาญบุคคลครับ รถบางรุ่นเครื่องมีเสียงดังเฉพาะตัวอยู่แล้ว เช่นซูมักจะดังโซ่ราวลิ้น แระรถปีใหม่ๆจะมีเสียงดูดของแรมแอร์ดังมาก ทำให้ฟังยาก ไหนจะวาลว์ ไหนจะระบบวีเทค หรือโซ่ราวลิ้นที่ซูชอบดังจนเรียกว่า เงียบพังดังวิ่ง เยอะแยะมากมาย เลยไม่ขออธิบายละเอียดละกัน
แต่มีทริปคร่าวๆพอแนะนำได้คือ เอามือล้วงที่ปลายท่อดูต้องแห้ง ถ้าแฉะแสดงว่าเครื่องหลวมแล้ว เสียงเครื่องเวลาเร่งต้องไม่ดัง ครึก ๆ หรือคร๊อกๆเพราะเสื้อคลัชท์หรือชามคลัชท์จะหลวมและรุนแล้ว ต้องไม่มีเสียงยิบๆๆๆๆๆๆละเอียดๆ เพราะนั่นคือเสียงของวาลว์ไม่สมบูรณ์ เดินเบาต้องนิ่ง สต๊าทติดง่าย และต้องแยกให้ออกบางทีเสียงคล้ายโซ่ก็เป็นเสียงของรถสปอร์ตที่มีเคลียร์แรนซ์ที่ให้ตัวได้เยอะมากเพราะว่าเป็นรถรอบจัด ก็อย่าไปเหมาว่ารถเค้าเครื่องมีปัญหาล่ะเดี๋ยวเค้าจะด่าแม่เอาเพราะรู้ไม่จริง
ส่วนเรื่องช่างก็ต้องเลือกให้ดีๆบางทีผมก็เห็นบางท่านรับจ้างไปดูรถและเครื่องยนต์....ทั้งที่ไม่ใช่ช่างและเป็นแค่มือใหม่ บางทีเรื่องง่ายๆยังต้องถามกันอยู่เลยแล้วจะไปเลือกรถให้ใครได้ล่ะครับ ความรู้บางท่านก็ยังมีไม่มาก แต่จะไปรับจ้างดูรถ และถ้ารับเงินเค้ามาแล้วเลือกรถแล้วรถมันมีปัญหาหรือไม่สมบูรณ์ในภายหลังจะรับผิดชอบด้วยการรับซื้อคืนให้เค้าไหวมั้ยรถคันเป็นแสน ซึ่งก็ต้องเลือกกันดีๆ
.......จบแล้ว ขอให้ได้รถดีๆล้มเบาไม่เคยชน ไม่ต้องซ่อมขี่กันนะครับ....