10 สิ่งประดิษฐ์ที่สมควรมีในอนาคต

10. Interstellar Travel

มนุษย์ มีความกระหายและกระตือรือร้นในการแสวงหาความรู้จากดินแดนใหม่ๆ มาเป็นเวลานาน ภายหลังจากที่มนุษย์คิดค้นจรวดได้ เป็นแรงปรารถนาอันยิ่งใหญ่ที่จะส่ง ยานอวกาศ ไปพร้อมกับจรวดเพื่อสำรวจดินแดนอันกว้างใหญ่ในอวกาศ จวบจนกระทั่งมาถึงปัจจุบัน แต่ ก็มีปัญหาก็คือเชื้อเพลิงที่ต้องใช้อย่างมหาศาลและระยะทางมหาศาลที่มีหน่วย วัดเป็นปีแสง มีวิธีไหนที่เราสามารถการเดินทางระหว่างดวงดาวได้ง่ายๆ บ้างหนอ

 สังเกต ไหมครับว่าทำไมมนุษย์ต่างดาวถึงมายังโลกได้ ทั้งๆ ที่มีโลกมีระยะทางไกลหลายหมื่นปีแสดง ก็เพราะยานของพวกเขาต้องมีระบบอะไรสักอย่างในการย่นระยะทางการเดินทางแน่นอน หากเรารู้เทคโนโลยีนี้เราสามารถเดินทางไปดวงดาวไหนๆ ก็ได้ในจักรวาล โดยแนวคิดนี้ปรากฏอยู่ในนิยายวิทยาศาสตร์มานานแล้ว

ปัจจุบันดูเหมือนว่า NASA จะพยายามทดลองโครงการการขับเคลื่อนเช่นนี้อยู่ และบางทีมันอาจเป็นไปได้ในอนาคต

 

9. Terraforming

 

 

มีความหมายว่า การเปลี่ยนสภาพของดาวเคราะห์(Terraform) กระบวนการสมมุติที่ให้ดาวที่แห้งแล้ง มีบรรยากาศเบาบาง มีความเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา การเปลี่ยนแปลงสภาพภายในดาว จนเกือบปราศจากสนามแม่เหล็ก(และรังสีต่างๆจากดวงอาทิตย์ ชการปรับเปลี่ยนบรรยากาศ, อุณหภูมิ, พื้นผิว และนิเวศวิทยาให้ดวงดาวนั้นมีลักษณะคล้ายโลก ที่เราสามารถเข้าไปอยู่อาศัยได้ เช่นดวงอังคารที่มีโครงการมายาวนานแล้วว่าสักวันเราจะสามารถอพยพไปอยู่ที่นั้นได้เหมือนกับอยู่บนโลก โดยแนวคิดนี้เป็นขององค์การนาซา ที่เริ่มมีโครงการจะไปเริ่มสร้างเมืองในอวกาศ โดยเลือกพื้นที่ดาวอังคาร เพราะมีสภาพเหมือนกับโลก ขณะที่ดาวดวงอื่นเต็มไปด้วยอากาศพิษ ดาวพุธอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์เกินไป ดาวพฤหัสฯ มีสภาพเป็นกรด ดาวอังคารแม้อากาศหนาวและมีสภาพไร้น้ำหนัก แต่มนุษย์อยู่ได้ด้วยการไปสร้างเมืองกระจกทำให้มีแรงโน้มถ่วงเหมือนกับอยู่บนโลกได้

ในเบื้องต้นจะส่งคนออกไปสร้างอุตสาหกรรมในอวกาศ ใช้วัตถุดิบจากดวงจันทร์ของดาวอังคาร ซึ่งมีอยู่ 2 ดวง จะมีสารทุกอย่างที่เราต้องการ ไม่ว่าจะเป็นเหล็ก ยิปซัม แร่ธาตุต่างๆ และการขนย้ายแร่ธาตุเหล่านี้จะเป็นไปโดยง่ายบนสภาพไร้น้ำหนัก และองค์การนาซาวางแผนไว้ปี ค.ศ. 2020 มนุษย์จะลงไปบนดาวอังคารเป็นครั้งแรก

 

 

8. Space Elevator

 

แนวคิดเรื่องลิฟต์อวกาศ ถูกเสนอขึ้นครั้งแรกโดยผู้เชี่ยวชาญด้านอวกาศ และจรวดขับดัน ชาวรัสเซีย ชื่อ คอนสแตนติน โซลคอฟสกี (Constantin Tsiolkovsky, ค.ศ. 1857 - 1935) ได้เขียนบทความชื่อ "Daydream about the Earth and the Heaven" (ฝันกลางวันเกี่ยวกับโลกและสวรรค์) ในปี 1985 กล่าวถึง "หอคอยสูงเสียดฟ้าจากผิวโลกถึงอวกาศ” จากนั้นเป็นต้นมาก็มีหลายคนวางโครงการที่ยิ่งใหญ่โดยพยายามสร้างทางเชื่อมโลกกับดวงดาวต่างๆ ไว้มีวัตถุประสงค์เคลื่อนย้ายคนและสิ่งของจากพื้นผิวโลกขึ้นไปในอวกาศ รูปแบบที่มีการนำเสนอมักเป็นโครงสร้าง โดยสร้างต่อเนื่องจากผิวโลก ขึ้นไปยังวงโคจรค้างฟ้า และสร้างต่อเนื่องออกไป โดยมีตุ้มน้ำหนักถ่วงที่ปลายอีกด้านหนึ่ง วัสดุที่มีการเสนอให้ใช้ มีลักษณะเป็นเคเบิล หรือแถบรับน้ำหนัก ที่สามารถรับกำลังได้สูง โดยทำเลที่ตั้งโครงสร้างจะอยู่บริเวณแถบเส้นศูนย์สูตร

แนวคิดเรื่องลิฟต์อวกาศมีเค้าลางแห่งความเป็นจริงมากขึ้นเมื่อ นาซ่า ได้ให้ความสนใจโครงการดังกล่าวอย่างจริงจังและได้นำแนวคิดดังกล่าวเข้าร่วมพิจารณาในปี คศ.1999 ทั้งได้มีการทดลองเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานของ "ลิฟต์อวกาศ" หรือชื่อในภาษาอังกฤษว่า Geostationary Orbiting Tether "Space Elevator" โดยได้ซึ่งจัดขึ้น ณ ศูนย์การบินอวกาศมาร์แชล  เมืองฮันสวิลล์ รัฐอลาบามา ประเทศสหรัฐอเมริกา รวมทั้งนาซ่าจัดให้มีการวิจัยในประเด็นต่างๆที่เกี่ยวข้อง เช่น การศึกษาวิจัยความเป็นไปได้จริงของลิฟต์อวกาศมีมากน้อยเพียงใด  การวิจัยและพัฒนาหาวัสดุเหมาะสมสำหรับใช้เป็นสายเคเบิลของลิฟต์อวกาศ การทดลองขั้นต้นเกี่ยวกับลิฟต์อวกาศโดยยานขนส่งอวกาศโดยได้ทดลองปล่อยสายเคเบิ้ลหลายกิโลเมตรเป็นจำนวนหลายครั้ง โครงสร้างของลิฟต์อวกาศ ระบบขับเคลื่อน รวมทั้งเรื่องผลตอบแทนทางด้านเศรษฐศาสตร์

 

อันดับที่ 7 Force field

                

สนามพลังงาน, บาเรีย, เกราะพลังงาน เกราะบาเรีย โล่มหัศจรรย์ ที่เราพบเห็นในหนังนิยายไซไฟแหละครับ เคยเห็นไหมจำพวกสงครามอวกาศที่ปล่อยพลังงานโดยใช้อนุภาคอะไรสักอย่างป้องกันอาวุธหรืออุกาบาตต่างๆ ไม่ให้เข้ามาทำอันตราย ยาน, ดวงดาวได้

                มันคงดีไม่น้อยหากเรามีเทคโนโลยีชนิดนี้ เพราะหากมีโลกเราก็จะปลอดภัยเรื่องอุกาบาตรชนโลก ยานอวกาศสามารถป้องกันชั้นบรรยากาศก็ได้ สหรัฐก็ไม่ต้องกลัวนิวเคลียร์เกาหลีเหนือโจมตีประเทศของตน ป้องกันน้ำท่วม ป้องกันเมียที่เห็นเราเจ้าชู้เอาปืนมายิง ทุกอย่างป้องกันด้วยบาเรีย

                รู้สึกว่าเทคโนโลยีเป็นจริงอีกครั้งเมื่อมหาลัยกลุ่มวอชิงตันพยายามทดสอบโดยใช้ม่านพลาสม่าห่อหุ้มยานอวกาศ เพื่อใช้ป้องกันรังสีจากดวงดาวและอนุภาคบางอย่างเวลาท่องอวกาศ เช่นเดียวกับคนงานในโรงไฟฟ้า 3M ในมลรัฐเซาท์แคโรไลนา ในเดือนสิงหาคม 1980 ได้พบผนังไฟฟ้าสถิตมองไม่เห็นในพื้นที่หนึ่งในแผ่นฟิล์มพอลิโพรไพลีนซึ่งบางทีมันอาจสามารถดัดแปลงเป็นบาเรียในอนาคตก็เป็นไปได้

 

อันดับ 6 Panacea (medicine)

 



ยาแก้สารพัดโลก(ภาษาอังกฤษตั้งชื่อตามเทพธิดาแห่งการรักษาของกรีก)แน่นอนว่าเทคโนโ,ยีสำคัญต่อชีวิตเราแน่นอน ต่อไปนี้เราก็ไม่ต้องกลัวโรคร้ายที่รักษาไม่หายอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็น เอดส์, มะเร็ง, ไวรัสทุกอย่าง อีกทั้งยังมีสรรพคุณในการยืดอายุอีก เรียกได้ว่าครอบจักรวาลเลย และความคิดเหล่านี้กำลังเป็นจริงเมื่อความก้าวหน้าทางการแพทย์ โดยพวกเขากำลังศึกษายีนพันธุกกรมและสิ่งแวดล้อมที่ ในการสร้างระบบภูมิคุ้มกันเพื่อให้มนุษย์มีอายุยืนยาวขึ้นในยุคปัจจุบัน

 

อันดับ 5 Anti-Gravity

 


พลังงานต้านแรงโน้มถ่วง มันเป็นแนวคิดในการสร้างสถานที่หรือวัตถุที่เป็นอิสระจากแรงโน้มถ่วงของโลก 8คือแรงโน้มถ่วงของโลกจะไม่แสดงหรือไม่สามารถใช้ได้กับสถานที่หรือวัตถุเหล่านั้น

พลังงานต้านแรงโน้มถ่วงนั้นไม่ใช่ของใหม่ มนุษย์เราใฝ่ฝันถึงเรื่องนี้เกิดขึ้นมานานแล้ว ทั้งในนิยายวิทยาศาสตร์และโลกของวิชาการ สำหรับในประวัติศาสตร์ของฟิสิกส์นั้น ความคิดเกี่ยวกับ Anti-Gravity ที่สำคัญที่สุด ได้ถูกประดิษฐ์เมื่อต้นศตวรรษที่ 20 โดยนักวิทยาศาสตร์ที่สำคัญที่สุดในศตวรรษที่แล้ว ซึ่งในเวลานั้นเป็นเพียงแค่เสมียนธรรมดาๆคนหนึ่งในสำนำงานจดลิขสิทธิ์ เขาผู้นั้นคือ
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นั่นเอง และต่อมาก็มีการพัฒนาเรื่องนี้หลายโครงการและบางทีมันอาจจะเป็นจริงในอนาคตก็ได้

 

อันดับ 4 Bionics

 

Bionics หมายถึงการพัฒนาเทคโนโลยีเฉพาะที่เลียนแบบการปรับตัวทางชีวิภาพในสิ่งแวดล้อม เช่นเรือดำน้ำผิวเหมือนปลาโลมา, ภาพอัลตราซาวด์เลียนแบบคลื่นความถี่ของค้างคาว นอกจากนี้คำนี้ยังหมายถึงการเปลี่ยนหรือเพิ่มประสิทธิภาพร่างกายหรืออวัยวะของมนุษย์ให้เข้ากับเครื่องจักร เช่น หัวใจเทียม, ประสาทหูเทียม เลนส์ตา ฯลฯ

แนวความคิดที่จะจับเอาบางส่วนของหุ่นยนต์มาใส่ให้แก่คนที่มีสมรรถนะร่างกายต่ำกว่าคนปกติ เช่น แขนเทียม ขาเทียม ไปจนถึงมือเทียม ได้รับการตอบรับอย่างกว้างขวางจากทั้งผู้วิจัยและพัฒนา และผู้ใช้ทั่วโลก ในปี ค.ศ. 2006 โลกได้กำเนิดมนุษย์กึ่งหุ่นยนต์ทั้งเพศชายและเพศหญิงเป็นครั้งแรก ทั้งคู่ได้สูญเสียแขนจากอุบัติเหตุ คลาวเดีย มิทเชล (Claudia Mitchell) เล่าว่าในช่วงแรกที่เธอกลับมาใช้ชีวิตที่มีแขนข้างเดียว เวลาจะรับประทานกล้วย เธอต้องเอาเท้าทั้งสองจับกล้วยแล้วใช้มือขวาที่เหลืออยู่ปอกกล้วย “การปอกกล้วยเข้าปากไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อย่างที่เคยคิด” ถึงแม้ในที่สุดเธอจะยังสามารถทำภารกิจแบบนี้ได้ มันก็มักจะทำให้อารมณ์เธอแปรปรวนทุกครั้ง แต่ตอนนี้เธอเพียงแต่เอาแขนกลมาอยู่ใกล้ๆ กล้วยแล้วพยายามคิดที่จะจับกล้วย แขนกลนั้นจะตอบสนองคำสั่งจากสมองของเธอด้วยการจับกล้วยลูกนั้น ก่อนที่เธอจะใช้มือจริงของเธอปลอกเปลือกมันออกเพื่อรับประทาน ทหารผ่านศึกพิการจากสงครามในอิรักของสหรัฐอเมริกาจำนวนหลายร้อยคน ต่างก็รอคอยการกลับไปใช้ชีวิตที่ถึงไม่ใช่แต่ก็ใกล้เคียงกับสิ่งที่เคยทำอยู่เดิม เทคโนโลยี Bionics จักเป็นความหวังให้ผู้พิการทางร่างกายทั่วโลก ได้ใช้ชีวิตเทียบเท่ากับคนธรรมดา

 

อันดับ 3 Global Municipal Wi-Fi

 



เครือข่ายระบบไร้สายทั่วโลก หรือ Wi-Fi(WLAN = Wireless Local Area Network) เป็นแนวคิดการเปลี่ยนทุกที่ในโลกในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตไร้สารให้เป็นแบบบริการสากล โดยใช้โปรแกรมเครือข่ายไร้สาร อุปกรณ์ทุกตัวที่ต่างยี่ห้อกันจะสามารถติดต่อสื่อสารกันได้โดยไม่ประสบปัญหา  โดยระบบการสื่อสารข้อมูลแบบไร้สารนี้มีความคล่องตัวมาก เพราะใช้การส่งคลื่นความถี่วิทยุในย่านวิทยุ RF และ คลื่นอินฟราเรด ในการรับและส่งข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่อง ผ่านอากาศ ทะลุกำแพง เพดานหรือสิ่งก่อสร้างอื่นๆ โดยปราศจากความต้องการของการเดินสาย อีกทั้งยังสามารถทำงานได้โดยสะดวก ไม่เหมือนระบบ LAN แบบใช้สาย ที่ต้องใช้เวลาและการลงทุนในการปรับเปลี่ยนตำแหน่งการใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ แต่เทคโนโลยีดังกล่าวนั้นอาจไม่สามารถเป็นจริงได้เพราะขาดความเข้าใจกันระหว่างบริษัท เอกชน และรัฐบาล ที่ไม่สนับสนุนเท่าใดนัก

 

อันดับ 2 Transatlantic tunnel

 

อุโมงค์ข้ามหมาสมุทรแอตแลนติก เป็นอุโมงค์ของรถไฟฟ้าที่คิดจะสร้างขึ้นเพื่อใช้ข้ามระหว่างทวีปอเมริกาเหนือและทวีปยุโรป โดยรถไฟฟ้านั้นจะใช้เทคโนโลยีในการขับเคลื่อนด้วยความเร็วสูง 300 ถุง 5000 mph(500 ถึง 8000 km/h) พูดง่ายๆ ก็คือสามารถเดินทางจากนิวยอร์กไปลอนดอนได้โดยใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง หรือจัดส่งสินค้าต่างประเทศได้อย่างสะดวกสบาย ความเป็นไปได้ของโครงการดังกล่าวนี้ความจริงไม่เกินความสามารถของเรา หากแต่อุปสรรคสำคัญในการสร้างอุโมงค์ดังกล่าวคือค่าใช้จ่ายที่สูงมาก ประมาณ 12,000,000,000,000 ดอลลาร์(เลขศูนย์ครบทุกตัว)และเทคโนโลยีที่จำเป็นต้องใช้วัสดุอย่างดี พร้อมระยะเวลาในการสร้างที่ยาวนานซึ่งบางทีอาจใช้เวลา 3,000 ปี

 

 

Ocean Colonization

 

หากวันหนึ่งน้ำท่วมโลกเราจะไปอยู่ที่ไหน คำตอบคือเทคโนโลยี “การสร้างอาณานิคมใต้น้ำ” จะดีขนาดไหนที่เราสามารถสร้างโลกใต้น้ำโดยไม่ต้องกังวลน้ำท่วมได้

Ocean Colonization เป็นทฤษฏีที่มีความคิดว่ามนุษย์น่าจะสามารถสร้างชุมชนถาวรขนาดใหญ่ที่สามารถจุคนได้เป็นแสคนในโลกใต้ทะเลได้โดยไม่ต้องกลัวเรื่องความกดดันอากาศของน้ำหรือเรื่องอากาศหายใจ โดยอาณานิคมนั้นใช้พลังงานหมุนเวียน ทำให้เกิดแสงสว่างเสมือนกับหนึ่งโลกข้างบน(ความจริงความหมายนี้รวมไปถึงการสร้างอาณานิคมที่พื้นน้ำด้วย)

แน่นอนว่าเทคโนโลยีนี้ก็ยังคงเป็นทฤษฏีในฝันต่อไปเนื่องจากความเป็นไปได้ต่ำมาก ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงสิ่งแวดล้อมอารยธรรมและสภาพเศรษฐกิจและสังคมในอาณานิคม การสร้างสิ่งมีชีวิตที่สามารถปรับตัวกับโลกใต้ทะเล ระบบพลังงานมหาศาล การขนส่งทางทะเล

 

จัดอันดับที่ http://listverse.com/2008/04/05/10-great-inventions-that-should-be-invented/

Credit: Cammy
3 ส.ค. 53 เวลา 21:30 14,634 75 728
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...