ณ วันนี้ไปจนถึงบั้นปลายชีวิต เราปรารถนาจะหาเงินให้ได้สักเท่าไหร่? หลายคนบอกขอสักหลักแสน หลักล้านก็เพียงพอต่อการใช้ชีวิตแล้ว ในขณะที่อีกหลายคนคงวาดหวังเงินก้อนใหญ่มากกว่าแค่ 7 หลักเป็นแน่ เพราะหวังจะได้อยู่สบาย ๆ อย่างเศรษฐีกับเขาบ้าง
แต่สำหรับ เม่ย พรรณสิรี คุณากรไพบูลย์ศิริ เธอตั้งเป้าจะหาเงินให้ได้ถึง 2,600 ล้าน หากแต่ไม่ใช่เพื่อตัวของเธอเอง แต่ทุกบาททุกสตางค์เธอตั้งใจจะมอบให้สังคม ในฐานะที่เธอเป็นผู้จัดการมูลนิธิโรงพยาบาลรามาธิบดี
ด้วยวัยเพียงแค่ 27 ปีของ เม่ย พรรณสิรี กับการตั้งเป้าหมายชีวิตที่จะหาเงินให้ได้ถึง 2,600 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างศูนย์การแพทย์ใหม่ อาคารสมเด็จพระเทพรัตน์ ของโรงพยาบาลรามาธิบดี ถือเป็นโจทย์ที่หินเอาการ แต่สำหรับ เม่ย พรรณสิรี เธอยินดีรับบทท้าทายข้อนี้ และยังทำเกือบจะสำเร็จแล้วด้วย
นั่นเพราะล่าสุด เม่ย พรรณสิรี รวบรวมเงินจากผู้ใจบุญที่ช่วยกันบริจาคได้เกือบ 2,000 ล้านบาทแล้ว และนำเงินจำนวนนี้ไปใช้ก่อสร้างตัวอาคารจนเสร็จสมบูรณ์ แต่ยังขาดเงินอีกกว่า 800 ร้อยล้านบาทที่จะมาเติมเต็มในส่วนของอุปกรณ์ เครื่องมือทางการแพทย์ ซึ่ง เม่ย พรรณสิรี ก็หวังว่าหากเธอทำโจทย์หินข้อนี้สำเร็จ ศูนย์การแพทย์แห่งนี้ก็จะสามารถเปิดใช้ได้ประมาณต้นปี 2554 และยังช่วยเหลือผู้ป่วยได้เพิ่มอีก 1 ล้าน 4 แสนคนเลยทีเดียว
ภารกิจของ เม่ย พรรณสิรี จึงเป็นภารกิจที่ยิ่งใหญ่เพื่อสังคม และต้องบอกว่าเธอทำด้วยใจล้วน ๆ เพราะฐานะที่บ้านก็ไม่ได้ลำบาก แถมเธอยังเรียนจบปริญญาโทด้านการตลาดมาจากประเทศสหรัฐอเมริกา แต่เธอก็ตัดสินใจเลือกจะเดินมายังสายงานนี้ เพื่อหวังจะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ตามรอยของพ่อแม่ที่มักจะช่วยเหลืองานกุศลอยู่บ่อยครั้ง
จุดเริ่มต้นของเม่ย พรรณสิรี ในการเข้ามาทำงานอาสาสมัครที่รามาธิบดี เริ่มจากการรับคำชักชวนของ ศ.พญ.สุวรรณา เรืองกาญจนเศรษฐ์ รองประธานคณะกรรมการบริหารมูลนิธิรามาธิบดี ซึ่ง เม่ย ตัดสินใจตกปากรับคำจะมาช่วยงานการกุศลทันทีในตอนที่เธออายุเพียงแค่ 24 ปีเท่านั้น และต้องปรับตัวหลายอย่างเมื่อเข้ามารับหน้าที่ผู้จัดการของมูลนิธิ
แต่แล้ว เมื่อ เม่ย พรรณสิรี ทำงานไปได้เพียงแค่ 5-6 เดือน ตัวเองกลับมีอาการบวมที่นิ้วเท้าซึ่งเจ็บมากจนแทบไม่อยากเดินไปไหน เธอจึงตระเวนหาหมอทุกแขนงที่น่าจะช่วยเหลือเธอได้ จนในที่สุดก็ทราบว่าเธอเป็นโรคสะเก็ดเงินลงข้อ คือจะมีอาการบวมที่ข้อซึ่งเกิดจากเซลล์ในร่างกายทำงานผิดปกติ และส่วนหนึ่งอาจมาจากการที่เธอทำงานหนักในช่วงนั้น ทำให้ เม่ย ต้องคอยฉีดยาและรักษาตัวจากโรคประจำตัวที่ไม่หายขาด ซึ่งค่ายา 1 โดสที่ฉีดสูงถึง 7 หมื่นกว่าบาท และต้องฉีดเป็นสิบครั้งเลยทีเดียว และจากอาการป่วยครั้งนี้ทำให้เธอคิดว่าความตายอยู่ใกล้ตัวมากที่คิด ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ ทำให้เธอคิดถึงคนไข้มากขึ้นไปด้วย
และสำหรับภารกิจหาเงินกว่า 2,600 ล้านบาท เพื่อนำมาบริหารจัดการศูนย์การแแพทย์แห่งใหม่ ถือเป็นงานที่ เม่ย ต้องละเอียดรอบคอบเป็นที่สุด เพราะต้องใช้เงินทุกบาททุกสตางค์ ที่ผู้ใจบุญบริจาคมาให้คุ้มค่าที่สุด แน่นอนว่าย่อมทำให้สาวเก่งคนนี้เครียดอยู่บ้างเหมือนกัน เธอจึงเลือกหาทางออกด้วยการทำงานศิลปะหลากหลายรูปแบบ เพื่อผ่อนคลายอารมณ์ แถมยังทำให้เธอได้มีสติ สมาธิในการทำงานเพิ่มขึ้นด้วย
เห็นเป็นผู้หญิงที่ทำงานเก่งขนาดนี้ แต่เธอก็แอบยอมรับว่า รู้สึกท้อบ้างเหมือนกัน แต่ก็คิดว่าตัวเองกำลังทำในสิ่งที่ดีอยู่ และเธอคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ท้าทาย มากกว่างานหนัก
"เม่ยว่ามันท้าทาย มันคือความภาคภูมิใจ มันอาจจะดูหนักและเหนื่อย แต่เม่ยไม่คิดว่าหนัก เพราะเราทำแล้วอิ่มใจไม่รู้สึกว่าสิ่งที่ทำอยู่มันเกินตัว เกินอายุ คนเราจะทำอะไร ไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของอายุหรือสุขภาพ ต้องถือเป็นโอกาสดีที่ได้ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ การทำงานตรงนี้ ถือเป็นสื่อกลางในการเชื่อมโยงความปรารถนาดีจากผู้บริจาคเงิน ไปสู่การเปลี่ยนแปลง เพื่อสร้างความแตกต่างให้กับอีกหลายชีวิต ผลประโยชน์อยู่กับผู้ป่วยมากมาย ที่จะได้รับโอกาสในการรักษาที่ดีขึ้น" เม่ย พรรณสิรี บอก
สุดท้ายแล้วสาวเก่งคนนี้ ยังทิ้งท้ายไว้ว่า ความสุขของเธอคือการได้เห็น ได้ให้โอกาสกับชีวิตคนอื่น ๆ ด้วยน้ำพักน้ำแรงของเรา ซึ่งถือเป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่ของเธอ
ทั้งสวย ทั้งเก่ง แถมยังมีจิตใจงดงามขนาดนี้ ต้องขอปรบมือให้ คุณเม่ย พรรณสิรี คุณากรไพบูลย์ศิริ ดัง ๆ เลยล่ะค่ะ