เปลือยชีวิตนางระบำ..."โคโยตี้" เงินดีเพราะ"ดริ้งค์-ขายเซ็กซ์" ???
ภาพ 5 นักเต้นสาวสวย ที่วาดลวดลายด้วยลีลาท่าเต้นร้อนแรงสุดอยู่บนเคาน์เตอร์ของบาร์แห่งหนึ่งใน มหานครนิวยอร์ก อาจยังคงติดตราตรึงใจแฟนภาพยนตร์ต่างประเทศได้เป็นอย่างดี เพราะนี่คือฉากสำคัญของภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดเรื่องดัง....."coyote ugly"!!!
เหตุ ที่กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวเพราะฉากสำคัญที่ว่าคือ "ที่มา" ของคำศัพท์ที่ใช้เรียกหญิงสาวนักเต้นในสถานบันเทิงยามค่ำคืนในเมืองไทย ว่า.....
"ไคโยตี้" !!!
แรก เริ่มเดิมถ้าไม่นับท่าเต้น "ยวนใจ" แล้ว ความเป็นไปอื่นๆ ของ "ไคโยตี้" ก็ไม่ได้เป็นที่สน ใจของผู้คนในสังคมไทยมากนัก จวบจนกระทั่งเรื่องราวของ "นางระบำ" เหล่านี้ถูกบรรจุไว้ใน "วา ระแห่งชาติ"!!! ให้ผู้หลักผู้ใหญ่ต้องถกเถียงถึงความเหมาะสมเรื่อง "อายุ" ของผู้ที่จะประกอบอาชีพนี้ เรื่องราวของ "ไคโยตี้" จึงกลายเป็น "ประเด็นร้อน" ขึ้นมา
ชีวิตหญิงสาวที่ทำงาน หาเลี้ยงชีพ โดยการให้ความบันเทิงแก่ผู้อื่นด้วยการเต้นรำและเสียงดน ตรี ฉากหน้าของพวกเธอที่ "โยกย้าย-ส่ายเอว" เต้นอย่างสนุกสนาน ใครจะรู้ว่าเบื้องหลังมีที่มาเช่นไร "รายได้" ก้อนโต หรือ "โอกาส" งามๆ เหตุผลใดที่ทำให้พวกเธอเลือกเดินในเส้นทางที่ถูกสังคม "กัง ขา" ว่าไม่ต่างจาก "หญิงขายบริการ"....."ข้อเท็จจริง" ทั้งหมดจะเป็นอย่างไร ไม่มีใครให้คำตอบได้ นอกจากพวกเธอเอง !!!
"ทำ งานนี้มากว่า 3 ปีแล้ว ตอนแรกทางบ้านก็รับไม่ได้ เลยพาแม่มานั่งดูการทำงานในคลับ เพื่อแสดงให้เห็นว่างานของหนูเป็นแบบไหน จนกระทั่งแม่เข้าใจและอนุญาตให้ทำได้ จึงยึดอาชีพไคโยตี้หาเงินใช้จ่ายส่วนตัว และเป็นค่าเทอมจ่ายมหาวิทยาลัย ส่วนหนึ่งยังนำไปจุนเจือครอบครัวด้วย" แนน สาวไคโยตี้ วัย 21 ปีของบาร์แห่งหนึ่ง เริ่มถ่ายทอดที่มาของการเดินของสู่แวดวงนี้
2 หมื่นบาท คือ จำนวนเงิน "ค่าทิป" สูงสุดที่ "แนน" เคยได้ภายในหนึ่งคืน แต่โดยเฉลี่ยแล้วเธอจะได้ทิปจากลูกค้าตกคืนละประมาณ 3 พันบาท ไม่นับเปอร์เซ็นต์ "ค่าดริ้งค์" ที่จะได้ถ้าลูกค้าสั่งเครื่องดื่มให้เธอ ซึ่งสาวๆไคโยตี้ของบาร์แห่งนี้จะได้ส่วนแบ่งดริ้งค์ละ 80 บาทขึ้นไป "แนน" บอกว่า ในวันเกิดของเธอได้ถึง 80 ดริ้งค์ เลยทีเดียว เมื่อเฉลี่ยรายได้ทั้งหมด รวมเงินเดือนจำนวน 1 หมื่นบาทแล้ว "แนน" จะมีรายได้ถึงเดือนละ 4 ถึง 5 หมื่นบาท
"เข้างานตอน 2 ทุ่มครึ่งก็จะมีเวลาลงมาอยู่ในบาร์ หรือออนบาร์ 3 ทุ่มครึ่ง คอยดูแลลูกค้าที่เขานั่งอยู่ที่บาร์ด้านนอก ชงเหล้าให้ เต้นแบบฟรีสไตล์อยู่บนบาร์ เราจะมีเต้นโชว์ออนสเต็จบนเวทีทุกวันประมาณ 5 ทุ่ม เต้นตามสเต็ปที่ซ้อมมา 3-4 เพลงแล้วจะลงมาคุยกับลูกค้า ทานเหล้า" แนน บอกเล่าถึงงานของเธอ.....
หลาย คนมองว่าไคโยตี้อาจมีการ "เปลื้องผ้า" บางชิ้น แต่เธอย้ำว่า "ไม่ใช่" มันเป็นการเต้นอีกอย่างหนึ่งโดยการออกลีลาท่าทางบนบาร์เท่านั้น สาวๆ ไคโยตี้จะไม่ลงไปนั่งคุยกับแขก ถ้าลูกค้าอยากคุยด้วยก็ต้องเลี้ยงเครื่องดื่มให้เธอ แล้วใช้วิธีแหงนหน้าคุย หรือไม่ก็พูดข้ามเคาน์เตอร์บาร์แทน ซึ่งเป็นหลักทั่วไปที่สาวไคโยตี้ส่วนใหญ่พึงกระทำ
ขณะที่ "แอน" สาวไคโยตี้ วัย 22 ปี นักศึกษาชั้นปีสุดท้ายของมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง เล่าว่า เส้นทางการเข้ามาเป็นสาวไคโยตี้ของเธอคล้ายกับเพื่อนๆอีกหลายคน คือ เริ่มจากที่เป็นคนชอบเต้นรำ ชอบเที่ยวตามสถานบันเทิง จึงถูกชักชวนจากเพื่อนๆให้เข้ามาเต้นไคโยตี้ ซึ่งส่วนตัวเห็นว่าเป็นงานที่รายได้ดีสามารถเลี้ยงตัวเองได้โดยไม่ต้องให้ ครอบครัวเดือดร้อน เพราะการเข้ามาเรียนในกรุง เทพฯ มีค่าใช้จ่ายจำนวนมาก จึงลองเข้ามาเต้นในช่วงปิดภาคเรียน ก่อนจะยึดเป็นอาชีพมาโดยตลอด
"ถึง จะยึดอาชีพนี้มาได้ 2 ปีแล้ว แต่ที่บ้านยังไม่รู้ ไม่กล้าบอกก็ยังไม่กล้าบอก เพราะกลัวพ่อแม่จะรับไม่ได้กับอาชีพของหนู และยอมรับว่างานของพวกหนูมักจะถูกมองจากสังคมว่าส่อไปทางอนาจาร หรืออาจถึงขั้นยั่วยุกามารมณ์ แต่สำหรับสาวไคโยตี้ส่วนใหญ่แล้วคิดว่าค่าตอบแทนที่ได้รับก็คุ้มค่ากับการ เต้นแบบนี้" แอน กล่าว
"แอน" บอกอีกว่า สำหรับรายได้ของสาวไคโยตี้ ถ้ามีผับหรือร้านเต้นประจำจะมีเงินเดือนคนละไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นบาท ไม่รวมเงินค่าทิปจากหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ที่ไม่ต้องแบ่งใคร รวมๆ แล้วรายได้ไม่ต่ำกว่า 3 ถึง 4 หมื่นบาทต่อเดือน ส่วนสาวๆที่ไม่มีร้านเต้นประจำ หรือไม่ชอบงานแบบจำเจ ก็มัก จะ "รวมทีม" กันประมาณ 4-6 คน รับงานเต้นไคโยตี้ตามงานเทศกาล หรือสถานบันเทิงตามต่าง จังหวัด ซึ่งผู้จัดจะจ้างแบบรายวัน วันละไม่ต่ำกว่า 1 พันบาท จึงทำให้ไคโยตี้กลายเป็นอาชีพที่กำลังได้ รับความนิยมจากบรรดานักเรียน นักศึกษา
"ส่วนที่สังคมมองว่าสาวไค โยตี้บางส่วนมีการการขายบริการทางเพศแอบแฝงด้วยนั้น เราไม่ปฏิเสธว่าอาชีพนี้ต้องโชว์เนื้อหนังมังสา และถูกแทะโลมจากนักเที่ยวทั้งสายตาและคำพูด แต่การขายบริการนั้นมันเป็นคนละเรื่อง แม้จะมีอยู่จริง แต่เป็นเรื่องของตัวบุคคลมากกว่า ไม่อยากให้เหมารวมว่าสาวไคโยตี้ต้องขายบริการ เพราะจริงๆ มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น และจริงๆ แล้วคนที่ขายบริการมีอยู่ทุกสาขาอาชีพ ทั้งสาวออฟฟิศ นักศึกษา หรือแม้กระทั่งดารานักแสดง รายได้ของพวกหนูก็มากพอ ไม่จำ เป็นต้องขายตัวก็อยู่ได้สบายๆ" แอน กล่าว
ว่า กันว่ากระบวนการเข้าสู่เส้นทางอาชีพ "สาวนักเต้น" ยามราตรีนั้นมีหลากหลายรูปแบบ ตั้ง แต่การชักนำผ่าน "โมเดลลิ่ง" บางแห่ง ไปจนถึงลงประกาศรับสมัครผ่านหน้าหนังสือพิมพ์ แต่ส่วนใหญ่มักจะเป็นระบบ "เส้นสาย" โดยใช้วิธีดึงคนรู้จักกันเข้ามาร่วมงาน เช่น รุ่นพี่สาวไคโยตี้ที่ทำงานมาก่อนก็จะไปชักชวนเพื่อนๆ หรือรุ่นน้องที่รูปร่างหน้าตาดีมาทำงานเป็นไคโยตี้ โดยมีข้อเสนอที่ดึง ดูดใจอย่างยิ่ง.....นั่นคือ "รายได้" ขั้นต่ำเป็นตัวเลขถึง 5 หลักต่อเดือน!!!
แต่ อาชีพไคโยตี้ก็ใช่ว่าจะมีแง่มุมเดียวเสมอไป เช่น "เปิ้ล" อดีตสาวไคโยตี้ ซึ่งรุ่นพี่ที่รู้จักกันได้ชักชวนให้ไปเป็นไคโยตี้ที่สถานบริการแห่งหนึ่ง ย่านรามคำแหง ด้วยจำนวนเงินเดือนสูงถึง 12,000 บาท กอปรกับความช่างสงสัยใคร่รู้อันเป็นนิสัยประจำตัวของเธอ จึงลองมาสมัคร หลังจากถูกถามสัด ส่วน ส่วนสูง และน้ำหนักแล้ว ผู้ที่รับสมัครก็ให้เธอลองเต้นให้ดู จากนั้น "เปิ้ล" จึงได้เริ่มงานเป็นไคโยตี้ในคืนวันนั้นทันที.....
ไม่ถึงอาทิตย์ เธอก็ต้องประสบกับเหตุการณ์ระทึก!!!
"เปิ้ล" เล่าให้ฟังว่า ตอนแรกที่ตกลงกันจะชัดเจนเลยว่าไคโยตี้จะเต้นเฉพาะบนเวทีและเคาน์ เตอร์บาร์เท่านั้น ไม่ต้องลงไปนั่งพูดคุยกับแขกเหมือน "พาร์ทเนอร์" เพราะที่ทำงานจะมี 3 ชั้น 2 ชั้นแรกเป็นผับกึ่งค็อกเทลเลานจ์ ส่วนชั้น 3 เป็นคาราโอเกะที่พาร์ทเนอร์จะไปนั่งคุยกับแขกได้ แต่พอทำได้ 3 วัน "มาม่าซัง" ที่เขาดูแลพาร์ทเนอร์มาเรียกหนูกับพี่อีกคนให้ไปนั่งคุยเป็นเพื่อนแขกที่ ชั้น 3 หนูเลยต้องไป แต่จะนั่งห่างจากแขกมาก เขาก็พยายามเขยิบมาใกล้ ทำตัวยุ่มย่ามจะเอามือมาจับขาเรา
"หนู เลยต้องหาวิธีเอาตัวรอดลุกขึ้นเต้นร้องเพลงให้เขาฟัง พอครบเวลาก็รีบหนีออกมา อ้างว่าต้องขึ้นเต้นต่อ ทั้งที่จริงๆเป็นเวลาพักของเรา แต่เขาก็ยังตอแยไม่เลิก ทั้งขอเบอร์โทรศัพท์ แล้วยังมาขอกอด และยังให้คนมาเรียกเรากลับไปนั่งด้วยอีก" เปิ้ล ถ่ายทอดประสบการณ์การเป็น "สาวไคโย ตี้" ของเธอให้ฟัง
เมื่อ เห็นสถานการณ์ไม่สู้ดี "เปิ้ล" จึงเลือกที่จะ "ถอย" ออกจากชีวิตกลางคืนแบบนี้.....ขณะนี้เธอใกล้จะจบเป็น "บัณฑิต" ของมหาวิทยาลัยรัฐมีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง แม้ภายหลังตัวแทนจากผับแห่งนั้นจะติดต่อให้เธอกลับไปทำงาน โดยรับประกันว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นอีก แต่ "เปิ้ล" ก็ตัดสิน ใจเลิกเด็ดขาดด้วยเหตุผลว่า....."กลัวจะถูกกลืนไปในระบบ"!!!
"The show must go on"!!!
คือ ประโยคอมตะสำหรับนักแสดงทั่วไป เช่นเดียวกับชีวิตของสาวนักเต้นยามราตรีเหล่านี้ ที่ต้องดำเนินต่อไป ถึงแม้บางครั้งจะถูกมองด้วย "อคติ" จากสังคมก็ตาม
.
.
.
ที่มา.......
http://sex.sanook.com/sex/safetysex/safety_35523.php
http://www.youtube.com/watch?v=1q5HDNoYsl4&feature=related
http://www.youtube.com/watch?v=UYxXZH6NzFo
ภาพประกอบจาก google.co.th