ภาค ความเรียง
พิกุลตายเพราะป่วยไข้แต่ยังสาว และด้วยความรักความอาลัยของผู้เป็นพ่อ เขาจึงสั่งปลูกศาลของพิกุลขึ้นที่ป่าท้ายหมู่บ้าน บริเวณป่านี้หนาแน่นไปด้วยต้นพิกุล ชาวบ้านในระยะแรกๆมักเข้าไปกราบไหว้ เล่าเรื่องทุกข์ร้อนและขอพรให้ผ่านความโชคร้ายต่างๆ จนคนลือไปทั่วหมู่บ้านทั้งใกล้ไกลถึงความเฮี้ยนความศักดิ์สิทธิ์ของศาลพิกุล
ต่อมาเกิดพายุใหญ่หลายหน ฝนตกหนักติดต่อกันสิบกว่าวัน ทำให้หมู่บ้านนี้ซึ่งมีเขาด้านหนึ่งติดชายทะเล เมื่อถูกคลื่นในทะเลซัดเข้ามารวมกับน้ำที่ท่วมรอบหมู่บ้าน เป็นเหตุให้บ้านเรือนโค่นล้มจมลงน้ำเร็วมากขึ้น ชาวบ้านส่วนหนึ่งหนีตายไปได้ แต่ส่วนใหญ่มักจมลงกับสายน้ำนี้ และคนเหล่านั้นก่อนตาย ต่างอธิษฐานขอให้พิกุลช่วย
ทว่าเกินความสามารถของนางไม้นี้ นางจึงรับปากเฝ้าของมี่ค่าต่างๆและเงินทอง ให้กับชาวบ้านเหล่านี้ โดยจะส่งคืนให้กับคนในตระกูลนั้นๆ
ยามมากราบไหว้ขอคืน ...
หลังเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้ผ่านไปอีก15ปี บริเวณนี้กลายเป็นหนองน้ำใหญ่ที่อยู่ใกล้ทะเลโดยมีภูเขาลูกหนึ่งกั้นไว้ ชาวบ้านที่ย้ายเข้ามาถางป่าปลูกบ้าน ส่วนใหญ่ไม่กล้าข้ามมาทางหนองน้ำนี้ ทางป่าด้านนี้จึงไม่มีบ้านคนเหมือนเมื่อก่อนนั้น ศาลพิกุลจึงกลายเป็นศาลลึกลับในสายตาชาวบ้าน ที่ต่างลือกันไปต่างๆนานาไม่รู้จบ
ที่เป็นเช่นนี้เพราะมีบางคืนที่ ชาวประมงในบริเวณใกล้เคียง จะมองเห็นเป็นภาพศาลาสีต่างๆรายล้อมอยู่รอบหนองน้ำและเพราะข่าวลือนี้ จึงเป็นเหตุให้พวกโจรพายเรือเข้าไป เพื่อลองขุดค้นสมบัติกันบ่อยๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะกลายเป็นศพลอยมาที่คลองเล็กๆในหมู่บ้าน ให้ชาวบ้านลือถึงความเฮี้ยนของพิกุล แต่เมื่อมีคนตายบ่อยขึ้น กลับดีกับชาวบ้าน ที่จะได้อยู่กันอย่างสงบ ไม่ต้องเกรงกลัวโจรมารบกวนด้วย..
เหตุการณ์สงบเช่นนี้ผ่านไปอีก10ปี ก็เริ่มมีคนมาตายอีก
คราวนี้คนตายหาใช่โจร หากเป็นข้าราชการของเมืองหลวงแดนไกล!
ชาญทนงเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อยของเมืองหลวง ซึ่งบ้านและที่ทำงานของเขาอยู่ไกลจากหมู่บ้านนี้มาก ในครั้งนั้นที่เขาต้องเดินทางเข้ามาที่หมู่บ้านนี้ ก็มาจากสาเหตุจากความรักภรรยา คือมารดาของภรรยาเขา เกิดเจ็บป่วยแล้วล้มหายตายจากไป ทางญาติพี่น้องจึงส่งข่าวให้มาช่วยจัดการกับเรื่องศพที่ยังไม่ได้ทำพิธีเผา ภรรยาของชาญทนงเมื่อทราบข่าว เสียใจจนล้มเจ็บ และเพราะชาญทนง ก็มีงานราชการที่ต้องมาติดตามเรื่องอยู่ในถิ่นนี้ด้วย เขาจึงรับปากว่าจะมาจัดการเรื่องงานศพของมารดาภรรยาเอง
ระหว่างเดินทางมาจวนถึงหมู่บ้าน เขาพบกองโจรที่ภูเขาแห่งหนึ่ง คนใช้ที่พามาด้วยถูกฆ่าตายหมด เขาถูกฟันบาดเจ็บ แต่หนีมาได้ แล้วลื่นตกลงไปในหนองน้ำ ขณะที่โจรตามมาเพื่อฆ่าเขาอีกคน เป็นเวลาเดียวกับที่พิกุลเดินตรวจป่าดูความเรียบร้อยประจำวัน มองเห็นเข้าจึงสำแดงฤทธิ์ยื่นมือมาดึงดาบคนร้าย จนพวกโจรพากันวิ่งหนี เธอจึงพาชายหนุ่มนี้มารักษาบาดแผลที่ศาล....
เมื่อชาญทนงเล่าเรื่องราว ที่เขาต้องเดินทางมาที่หมู่บ้านนี้ให้พิกุลรู้ และด้วยความสุภาพเรียบร้อยของชายแปลกหน้านี้ ทำให้พิกุลเริ่มสงสารเห็นใจเขา จึงรับปากให้พักอยู่จนหายเป็นปรกติ แล้วจะพาไปส่งที่หมู่บ้านเอง ทว่าความใกล้ชิดเป็นบ่อเกิดของความรักฉันใด พิกุลก็เป็นทาสความรักฉันนั้น
“โอ้เอ๋ยใจเรา จับเจ่าดังบ้า วุ่นแต่คิดถึงคนแปลกหน้า ดังคนหลงเสน่ห์ พรุ่งนี้เขาจะกลับไปแล้ว เพียงแค่คิดเรายังดังถูกไฟนรกเผา
เราจะทำฉันใดดีหนอ?”
และแล้วความรักก็เป็นฝ่ายชนะ
พิกุลคิดกักเขาไว้กับป่ากับเธอตลอดกาล
เพราะยิ่งเห็นเขาเอาอกเอาใจเธอไปแทบทุกก้าวเวลาเดิน
ก็แทบประคอง ในทุกเย็นที่เธอต้องเดินออกไปตรวจป่า
ตรวจศาลาสีต่างๆ เพื่อดูข้าวของเงินทองที่รับปากกับชาวบ้านไว้
เขาก็มักมาเดินเคียงข้างคอยเล่าเรื่องสนุกสนานในโลกของเขา
ให้เธอได้เพลิดเพลินด้วย
พิกุลจึงตัดสินใจเล่าให้รู้ว่า ในศาลาและพุ่มพิกุลต่างๆนั้น
มีสิ่งของที่คนฝากไว้ แต่ก็ไม่ยอมบอกว่าสิ่งเหล่านั้นคืออะไร
จนแล้วจนรอด ......
ความอยากรู้เป็นสันดานของมนุษย์ในฉันใด ชาญทนงก็เป็นเช่นนั้น...
และเพราะเหตุนี้ ในยามกลางวันที่พิกุลต้องพักอยู่แค่ในศาล
เขาจะเดินออกมาดูตามที่ต่างๆที่เคยมากับพิกุล
แล้วเกิดความสงสัยกับการเดินของเธอ
เช่น บางที่ต้องเดินไปพลิกผืนพรมหญ้าเก่าๆสามหน
แล้วจึงหมุนให้มุมที่มีสีเข้มเข้ามาแทนที่มุมเดิม
จึงจะเห็นช่องทางเข้า
บางที่ก็ต้องเดินข้ามแล้วเดินย้อนกลับเข้ามาที่เดิม
ถึงจะเห็นช่องประตู เขาต้องไปทำการทดลองอยู่หลายหน
กว่าจะเปิดเข้าไปได้....
แล้วในวันที่เขาทดลองเดินเข้าไปเปิดห้องหนึ่งในศาลา เพื่อดูว่าของฝากที่พิกุลเฝ้าไว้คืออะไรนั้น ก็เป็นเวลาเดียวกับที่พิกุลกำลังใช้อำนาจของเธอ เพ่งดูเขาเช่นกัน
“โธ่เอ๋ย นี่หรือชายแสนดีของเรา ใบหน้าและน้ำเสียงที่มีเสน่ห์ ไม่อาจกลบความโลภดั่งโจร ไปจากกายใจเขาได้เลย แม้ว่าเราจะบอกกี่หน ว่านั่นเป็น “สิ่งฝากของคนอื่น”
แม้พิกุลจะเสียใจที่รู้ว่ารักชายผิด แต่ความรักก็เป็นสิ่งที่ไม่มีเหตุผลอยู่นั่นแหละ เพราะขณะที่เธอนอนกอดร่างชายผู้นี้ มีอารมณ์รักใคร่กับเขา ใจเธอก็คอยพรางความคิดรังเกียจนิสัยโลภของเขาไว้ลึกๆ แต่
การแช่ด้วยสิ่งใดนานๆสิ่งนั้นก็มักซึมเข้าบังคับใจเราเอง โดยเราไม่รู้ตัวเลย ว่าได้ตกเป็นทาสของมันแล้ว ...
เหมือนพิกุลพยายามพรางความรังเกียจนิสัยโลภมากของคนรัก
เหมือนชาญทนงพยายามพรางความต้องการ
อยากได้ข้าวของเงินทองผู้อื่นฉันนั้น
ปีศาจมรณะก็เข้าคุมใจหนึ่งคน หนึ่งผีฉันนั้น....
เย็นวันหนึ่งที่ชาญทนงพยายามหาทางดึงทองแท่ง
และเงินหลายถุง รวมทั้งของมีค่าอื่นๆออกจากห้องในศาลาหนึ่งนั้น พิกุลกำลังเดินไปมาในศาล อย่างใช้ความคิดหนัก
“เมื่อเขาทำได้ถึงขนาดนี้ก็เอาสิ!”
เมื่อเธอคิดมาถึงการตัดสินใจเรื่องหนึ่ง
ก็มองเห็นชาญทนงเดินเข้ามาใกล้
เธอยังไม่ทันเอ่ยทัก
ฝ่ายชายก็เริ่มตะคอกว่า....
“คนรักกัน เขาไม่ต้องมาตามระแวงกันหรอก
แล้วก็ไม่ปิดบังทุกเรื่องเช่นคุณทำกับผมด้วย”
“คุณต้องการดูทุกห้องหรือคะ?”
“ใช่ ของๆคุณที่เฝ้าไว้ ผมต้องรู้ด้วย”
“งั้นตามมาสิ ว่าแต่คุณยังรักฉันไหมคะ?”
หญิงสาวยังถามเพื่อถ่วงการตัดสินใจครั้งสำคัญอีกหน
ทว่ารักเมื่อเกิดอาจเป็นไฟไหม้ฟางฉันใด
เมื่อจบก็อาจเป็นบ่อน้ำแข็งฉันนั้น
“อย่ามาโอ้เอ้อยู่เลย เราอยู่กันมาร่วม๒ปีแล้ว
อย่าถามเรื่องไร้สาระอีกนะ”
โอ้ความรักเอย เมื่อรักขมกลายเป็นโคลนตม
ทุกอย่างก็เกิดขึ้นได้เสมอ....
นางไม้พิกุลพาเขาไปดูขุมสมบัติของเธอ ที่เฝ้าไว้ทั้งหมด
เมื่อชาญทนงเห็นเข้า เขาเริ่มฉุกคิดถึงชีวิตในเมืองกับเมีย
เมื่อก่อนนี้ ที่ต้องอยู่อย่างกระเบียดกระเสียร
ถ้ามีทางหอบแค่ทองแท่งกลับไปบ้าน เป็นเศรษฐี
ในเมืองบ้างคงมีสุขมากกว่านี้
หลังจากนั้นมา....
เขาเลยพยายามหาเรื่องมาชวนนางไม้ทะเลาะด้วยบ่อยๆ
เพราะคิดว่านางเป็นแค่ผีที่ซื่อๆ
ไม่มีพิษสงอะไรมาก แถมหลงรักเขาอย่างหัวปักหัวปำ
ยากที่จะทำร้ายเขาได้แน่
แต่นางไม้(ผ่านการแช่ความรังเกียจนิสัยช่างโลภของเขามานาน)
จึงไม่ได้ซื่อจนเซ่อเลย และคิดสั่งสอนชายที่โลภมากผู้นี้
เช่นโจรรายอื่นๆด้วยแล้ว...
ตรงนี้เราจะเห็นได้ชัดว่า...
“สิ่งแน่นอนคือ ความเปลี่ยนแปลงเสมอ”
เมื่อรักมาก ก็มีมากกับการเสื่อมรักได้เช่นกัน
พิกุลจึงคลายมนต์ทางออกที่สะพานหนึ่ง
และบอกว่าทางกลับบ้านนี้ คุณเดินออกไปได้ทุกเมื่อ
และนำสิ่งที่คุณอยากได้ไปทุกสิ่ง
ตามต้องการ (แค่ไม่บอกว่า ต้องแค่๑ชิ้นเท่านั้น
หากมากกว่านี้ สะพานจะจมทันที
เพราะสะพานเกิดจากเวทย์มนตร์ของเธอนั่นเอง)
วันรุ่งขึ้นศพเขาจึงลอยไปที่หมู่บ้านนั้นอีก.......
แต่นั้นมาจนบัดนี้ยังไม่มีคนพบพิกุลอีก
หากคุณได้พบ...อาจโชคดีก็ได้ ถ้าคุณไม่โลภ
“จิตมนุษย์เชื่อยาก สิ่งแน่นอนคือความเปลี่ยนแปลงนั่นเอง"
โลโภ โทโส จ โมโห จ ปุริสํ ปาปเจตสํ หึสนฺติ
อตฺตสมฺภูตาตจสารํว สมฺผลํ
โลภะ โทสะ โมหะ เกิดจากตัวเอง
ย่อมเบียดเบียนผู้มีใจชั่ว ดุจขุยไผ่ฆ่าต้นไผ่ ฉะนั้น .....
ทุกคะแนนและคอมเม้นของเพื่อนๆนะคะ