สุดซึ้ง! ความรักของแม่ตาบอด เลี้ยงลูกจนโต

สุดซึ้ง! ความรักของแม่ตาบอด เลี้ยงลูกจนโต


 


























วันที่ 12 สิงหาคม หรือ วันแม่แห่งชาติ เวียนมาบรรจบเมื่อไหร่ ตามรายการต่างๆ ก็มักจะหยิบยกเอาเรื่องราวความผูกพันของแม่กับลูกมานำเสนอ เพื่อเป็นการรำลึกถึงพระคุณอันยิ่งใหญ่ของ "แม่" ซึ่งหนึ่งในก็คือรายการ "ตีสิบ" ที่ได้พาลูกน้อย 2 คน จาก 2 ครอบครัว มาร้องเพลงขับกล่อมให้แม่ได้อิ่มใจ เพื่อทดแทนค่าน้ำนมที่แม่มอบให้ ในช่วงดันดารา ตอน ร้องเพลงให้แม่ (Song for Mom)

โดยคนแรกคือ น้องน้ำฝน แสงทอง สาวน้อยวัย 14 ปี ที่มาจากครอบครัวที่มีพ่อและแม่เป็นคนพิการทางสายตาด้วยกันทั้งคู่ โดยได้นำเพลง "ค่าน้ำนม" มาร้องให้แม่ผู้พิการทางสายตา ซึ่งถึงแม้แม่จะไม่สามารถมีโอกาสมองเห็นหน้าลูกสาวคนนี้ได้ แต่แม่ก็ปลื้มใจทุกครั้งที่สัมผัสและรับรู้ว่าลูกน้อยค่อยๆ เติบโตขึ้นมา สามารถเอาตัวรอดและดำรงชีวิตอยู่ในโลกใบกลมๆ นี้ได้อย่างมีความสุข

น้องน้ำฝน หรือ เด็กหญิงน้ำฝน แสงทอง กำเนิดมาจากความรักของพ่อและแม่ผู้พิการทางสายตา พ่อเฉลิม แสงทอง และ แม่สวัสดิ์ สัจจะมณี ซึ่งพ่อเฉลิมพิการมาตั้งแต่แบเบาะ ส่วนแม่สวัสดิ์เริ่มพิการตอน 4 ขวบ จากอาการตาแดง ปวดตาและไปรักษาไม่ทัน ทำให้สูญเสียการมองเห็นตั้งแต่นั้นมา ทั้งนี้ หลังจากทั้งคู่อยู่กินกันได้ไม่นาน ก็มีโซ่คล้องใจเป็นน้องน้ำฝน โดยน้องน้ำฝนเป็นเด็กหน้าตาน่ารักน่าชัง และที่มีร่างกายสมบูรณ์ทุกประการ และพอมีอีกชีวิตหนึ่งเพิ่มขึ้น ทั้งสองสามีภรรยาก็พยายามอย่างยิ่งที่จะเลี้ยงดูลูกน้อยให้ดีที่สุด โดยเฉพาะแม่สวัสดิ์ ที่แม้จะมองไม่เห็นว่าหน้าตาลูกเป็นอย่างไร แต่เธอก็มอบกายและใจ ทุ่มเททุกๆ สิ่งให้กับลูกคนนี้เสมอ โดยเธอจะทุกอย่างต้องทำอย่างระมัดระวังมากกว่าคนปกติ เวลาจะป้อนข้าวป้อนน้ำก็ต้องคลำหาว่าปากของลูกอยู่ตรงไหน แม้ยามลูกป่วยไข้ จะมีก็สองมือแม่เท่านั้นที่จะสัมผัส และรับรู้ได้แทนการมองเห็น

ทุกๆ วัน รายได้ทางเดียวที่จะนำมาใช้จ่ายภายในครอบครัวจะมาจากการออกไปร้องเพลง ซึ่งเป็นรายได้ที่ไม่แน่นอน บางวันก็ไม่ได้เงินกลับมาเลย แม่ก็ยอมเป็นฝ่ายอดเสียเองเพื่อให้ลูกได้อิ่มท้อง ในวันหยุดเรียนน้องน้ำฝนก็จะไปร้องเพลงกับพ่อแม่ โดยไม่เคยแคร์สายตาใครที่มองว่ามีพ่อแม่เป็นคนพิการ เพราะน้ำฝนรู้ดีว่า ความรักที่แม่มีต่อลูกทำให้แม่ต้องเหน็ดเหนื่อย ต้องอดทนต่อความลำบากในการเลี้ยงดูลูกมากกว่าคนปกติ น้ำฝนจึงเป็นแก้วตาดวงใจของแม่ แม่ที่พร้อมจะทำทุกอย่างได้เพื่อลูก วันนี้ลูกคนนี้จึงอยากกจะบอกรักแม่ ผ่านทางคำพูด และบทเพลงที่เธอตั้งใจจะมอบให้แม่ผู้มีพระคุณของเธอ

 

"หนู ไม่เคยอายที่มีแม่ที่ตามองไม่เห็น หนูภูมิใจในตัวแม่มาตลอด แม่ร้องเพลงหาเงินเลี้ยงดูหนูตั้งแต่เล็กจนโต หนูจะขอเป็นดวงใจและดวงตาพาแม่ไปตลอดชีวิตของหนู หนูอยากบอกแม่ว่า...หนูรักแม่ค่ะ" นี่คือถ้อยคำที่กลั่นออกมาจากใจของลูกน้อยคนนี้

ขณะ ที่ แม่สวัสดิ์ กล่าวว่า ตอนเด็กๆ ที่ลูกยังช่วยตัวเองไม่ได้ เวลาจะป้อนข้าวก็ต้องใช้มือสัมผัส ดูว่าปากเขาอยู่ไหน แล้วค่อยเอาช้อนตักข้าวป้อนใส่ปาก เวลาอาบน้ำก็ยากเหมือนกัน แต่ก็ไม่เคยทำลูกหล่นสักครั้งเดียว โดยจะใช้แขนประคองลูกไว้ให้อยู่ในอ้อมแขน แล้วใช้แขนวัดน้ำว่าอยู่ในระดับไหน คือจะยอมตัวเปียก เพื่อไม่ให้ลูกได้รับอันตราย ทุกวันนี้ก็ซื้อบ้าน เพื่อให้ลูกได้มีที่อยู่อาศัยหลับนอน และต้องเสียเงินเป็นค่าดอกอีกวันละ 700 บาท แต่ถ้าวันไหนที่ฝนตกก็เท่ากับว่าไม่มีรายได้เข้าบ้านเลย แต่อย่างไรแม่คนนี้ก็จะสู้เพื่อลูกต่อไป



 



 



 

ส่วนลูกกตัญญูคนที่ 2 หยิบเอาเพลง "อิ่มอุ่น" มาร้องให้แม่แดง-สุวภัทร สัตตานุสรณ์ ก่อนที่จะบินไปศึกษาต่อยังต่อยังประเทศ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่แม่ลูกจะต้องอยู่ห่างไกลกัน นั่นก็คือ น้องเนี้ยบ หรือ นายบุญประเสริฐ สัตตานุสรณ์ อายุ 19 ปี เด็กหนุ่มจากโคราช ผู้ที่เป็นพี่ชายคนโตของครอบครัว โดยเนี้ยบมีน้องสาวหนึ่งคน ในวัยเด็กเนี้ยบมีชีวิตปกติเหมือนเด็กคนอื่นๆ ทั่วไป แต่แล้ววันหนึ่งตอนที่เนี้ยบ อายุได้ 7 ขวบ ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ก็เข้ามาในชีวิต เมื่อเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ขึ้นกับตัวเขา จนทำให้ต้องสูญเสียดวงตา ไม่สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ที่เคยมองเห็นได้อีก ซึ่งวินาทีแรกที่รู้ตัวเองต้องกลายเป็นคนตาบอดในช่วงพริบตา สิ่งที่จำได้ตอนนั้นคือ มือที่อบอุ่นและคุ้นเคยมาตั้งแต่แบเบาะ จับแขนและถ่ายทอดความอบอุ่นให้เนี้ยบอยู่ตลอดเวลา พร้อมๆ กับเสียงกระซิบที่เอ่ยออกมาว่า "แม่จะดูแลเนี้ยบเอง" หลังจากนั้นเนี้ยบก็ต้องตกอยู่ในโลกมือ ซึ่งไม่นานพ่อก็จากไปมีครอบครัวใหม่ เหลือเพียงแม่แดงคนนี้ ที่ต้องกลายเป็นหัวหน้าครอบครัวคอยเลี้ยงดูลูกๆ ทั้งสองคน
 

เนี้ยบต้องเริ่มเรียนใหม่ตั้งแต่ ก – ฮ ด้วยอักษรเบล แม่ต้องแบ่งรายได้จากเงินเดือนครูที่มีไม่มากมากส่งเนี้ยบเรียน และต้องคอยขี่รถจักรยานยนต์ไปรับส่งเนี้ยบไปเรียนทุกวัน ตลอด 11 ปีที่ผ่านมา เนี้ยบ ไม่เคยได้ยินแม่บ่นเรื่องความเหนื่อยยากเลยสักครั้ง แต่ความที่เป็นลูกผู้ชาย เนี้ยบจึงไม่ค่อยแสดงออกถึงความรักของตัวเองที่มีแก่แม่สักเท่าไหร่ ทั้งๆ ที่ในใจมีแม่อยู่ตลอดทุกๆ เวลา

โดย น้องเนี้ยบ เปิดใจว่า จากใจลูกชายของแม่คนนี้นะครับ...เนี้ยบรู้ว่าแม่อดทนและก็เหนื่อยมาเพื่อ เนี้ยบโดยตลอด แต่สิ่งที่แม่ได้ทำลงไปนั้น ไม่ได้สูญเปล่า ในวันนี้มันหล่อหลอมให้เนี้ยบได้ยืนอยู่บนขอของเนี้ยบได้อย่างเต็มภาคภูมิ ถึงแม้ว่าเนี้ยบจะไม่มีดวงตาที่จะมองเห็นความลำบากหรือสิ่งต่างๆ ที่แม่ได้ทำให้ แต่ด้วยดวงใจของความเป็นลูก เนี้ยบสามารถรับรู้และรู้สึกได้ถึงความรักความทุ่มเท ที่แม่มอบให้เนี้ยบมาโดยตลอด เนี้ยบอยากจะบอกกับแม่ว่า เนี้ยบรักแม่ครับ และไม่เคยคิดถึงหรือรักใครมากกว่าแม่เลย

ช่วงแรกที่มองไม่เห็นเครียดมาก มันเปลี่ยนโลกทั้งใบ จากที่เคยวิ่งเล่นกับเพื่อน ก็ทำให้มีปมด้อยไม่กล้าออกไปเล่นกับใคร หรือไปพบใคร จนคุณแม่พาไปผมไปบวชสามเณร และคุณแม่ก็ไปบวชชีพราหณ์เป็นเพื่อน ถึงทุกวันนี้ก็เป็นระยะเวลา 9 ปีแล้ว ซึ่งกำลังใจจากคุณแม่ทำให้ผมสามารถเดินหน้าต่อไปได้ และสามารถได้ทุนรัฐบาลไปศึกษาต่อประเทศอังกฤษได้สำเร็จ ถ้าไม่มีคุณแม่เดินนำทาง ผมก็คงจะไม่เดินตามทางที่แม่ปูไว้ให้ผมเดินได้สำเร็จ ผมอยากจะบอกว่าถึงแม้ผมจะมองไม่เห็นเส้นทางข้างหน้า แต่ผมก็ยังอยากจะก้าวเดินไป ผมขอแค่ได้ก้าวเดินไปข้างหน้าก็พอ ผมเลยอยากจะฝากให้ทุกคนอย่ายอมแพ้กับชีวิต" น้องเนี้ยบ เปิดใจ

ด้านแม่ กล่าวว่า แม่อยากจะบอกเนี้ยบว้าแม่รักเนี้ยบมาก แต่เนี้ยบคงจะไม่เข้าใจ ตั้งแต่ที่เกิดอุบัติเหตุแม่ยอมลำบากทุกอย่างก็เพื่อเนี้ยบ เสียสละได้ทุกอย่าง แม่ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างได้เพื่อเนี้ยบ แต่แม่ก็โชคดีที่เนี้ยบไม่เคยทำให้แม่ผิดหวัง เนี้ยบทำให้แม่ภูมิใจตลอด แม่ดีใตที่เนี้ยบเป็นคนมุ่งมั่น ตั้งใจ ขยัน อดทน ไม่ย่อท้อ ซึ่งทุกสิ่งที่เนี้ยบทำก็เพื่ออนาคตของเนี้ยบทั้งนั้น แม่หวังว่าอนาคตข้างหน้าชีวิตของเนี้ยบคงจะประสบความสำเร็จ แม่รักเนี้ยบมาดนะ ทุกวันนี้แม่ก็ห่วงเนี้ยบมาก แต่แม่คิดว่าเขาน่าจะดูแลตัวเองได้ เพราะเขาก็เป็นผู้ใหญ่พอแล้ว และถึงแม้ว่าจะอยู่ไกลกันแค่เราก็ยังคุยกันได้ ก็คงจะไม่ไกลเกินไป

อย่างไรก็ตาม มีคำพูดจากกรรมการดันดารา ที่ฟังแล้วทำให้หลายคนอึ้ง! ซึ้งใจเป็นอย่างมากกับประโยคที่บอกว่า ...

... ถ้าคนเราใช้หัวใจในการมองเห็นความรัก ก็จะเห็นดวงตาแห่งความรักที่ลูกและแม่มีให้กันและกัน

... ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่นอกบ้าน มันจะไร้ค่ามาก ถ้าเรากลับถึงบ้านแล้ว พ่อ แม่ หรือคนในบ้านหันหลังให้

... โลกมันแคบเกินไปกว่าที่จะมีที่วางเท้า แต่ถ้าเราล้มข้างนอก คนเหยียบซ้ำเหยียบซาก เราเดินเข้าบ้านกลับมีแต่คนต้อนรับ และมีที่ให้เรายืนเสมอ

... เราไม่ควรอายที่มีแม่มองไม่เห็น แต่คนที่ควรจะอายคือคนที่มีตา แต่มองไม่เคยเห็นแม่

... พ่อแม่เกลียดเรา ยังมีค่าและความรักมากกว่าคนอื่นมอบให้ พ่อแม่เกลียดเรายังมีความรักมากกว่าความรักจากเพื่อนที่บอกรักเรา

... อย่าอายที่มีพ่อแม่ขับรถรับจ้าง หรือมีพ่อแม่เกลียดถนน จงบอกรักท่านเสียก่อนที่จะสายเกินไป หลายคนที่คิดจะกตัญญูต่อพ่อแม่ แต่เขาไม่มีโอกาส ... วันนี้คุณยังมีโอกาสบอกรักและกราบแท้าแม่ อย่ามัวแต่คิดว่าสักวันหนึ่งฉันจะบอกรักแม่ แต่สุดท้ายก็สายเกินไป

... ในหนึ่งปี แม่มีวันแม่วันเดียว นอกเหนือจากนี้ เป็นวันลูกทุกวัน .. แล้วลูกล่ะ มีวันแม่กี่วัน... วันที่ 12 ส.ค เป็นวันแม่ แล้ววันที่ 13 ส.ค. และวันอื่นๆ ยังเป็นวันแม่อยู่ไหม

โดยกระปุกดอทคอม youtube , รายการตีสิบ
 

Credit: http://atcloud.com/stories/86192
28 ก.ค. 53 เวลา 23:43 4,180 7 70
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...