ไปเที่ยวพม่าต้องหัดพูดว่า "มิงกะลาบา" (เพิ่มเติมข้อมูลใหม่)






มาอีกแล้วครับ สกู๊ปท่องเที่ยว เล่าเรื่องและพล่ามแบบไร้สาระเช่นดั่งเคยครับ เป็นการท่องเที่ยวไปประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งติดกับไทยนี่ล่ะ ซึ่งแผ่นดินนั้น เรียกแบบโบราณคือ Burma เรียกแบบใหม่คือ Myanmar หรือเรียกเป็นไทยว่า ประเทศพม่า นั่นเอง

หลายท่านสงสัยในใจอีกแล้ว ทำไมเฮียถึงไม่บินไปเที่ยวสวิสเซอร์แลนด์ไปช็อบนาฬิกากลไกทรูบิยองต์ หรือไปจิบไวน์โรมาเนคองติ รสเลิศในฝรั่งเศส แฮ่ะ แฮ่ะ คำตอบง่ายๆ ก็คือ สตางค์มีเท่านี้ ก็เที่ยวเท่านี้ล่ะจ้า






วันนี้ผมมาเล่าบรรยายภาพ หลายท่านอาจจะได้อะไร และไม่ได้อะไรเลย ผมเองก็ขอเล่าเท่าที่จำได้ ซึ่งใครอยากอ่านรายละเอียดแบบเนื้อๆ เน้นๆ คงต้องหาอ่านเพิ่มเติมประกอบในภายหลังเอาเองเทอญ ผมคงเล่าในแง่มุมที่คนอื่นเค้าไม่อยากเล่า หรือขี้เกียจเล่านั่นเอง

แจ้งให้ทราบล่วงหน้าก่อนว่า ภาพทั้งหมดไม่ได้ถ่ายเป็น Raw เพราะถ้าถ่ายมาผมก็แต่งไม่เป็นอยู่ดีครับ 55 เล่นแต่ Jpeg ล้วนๆ และก็มีกล้องคอมแพคแค่ตัวเดียวไปถ่ายเองเน้อ

และแน่นอนผมต้องแปลงตัวจากนายมั่นคง มาเป็นหม่องชั่วคราว ซึ่งถ้าเรียกกันแบบไทยๆๆ ก็น่าจะชื่อหม่องมั่นคง แต่ถ้าจะเอาแบบมีสาระแบบพม่า คงต้องใช้สมญานามว่า หม่องกระโจเผี่ยว แต่ผมไม่ค่อยชอบชื่อหม่องกระโจเผี่ยวเท่าไหร่ เลยทำการแก้กันที่ว่าการเขตของพม่าว่า "หม่องกระโจเดี่ยว" แทนซะเลย

ผม นั่งเครื่องบินไปพม่า ด้วยเครื่องบินลำกระเปี๊ยก ผมว่ามันน่าจะใหญ่กว่าเรือหางในคลองแสนแสบหน่อยเดียว ในใจก็บนบานศาลกล่าว ขออย่าให้น็อตหรือตะปูมันหลุดร่วงออกมาขณะบินด้วยเทอญ 

กัปตัน พม่าเก่งกล้าสามารถมากครับ คือบินขึ้นและบินลง ด้วยเครื่องบินลำเล็ก แต่นุ่มราวกับเนื้อโคหมักเบียร์นั่นเทียว คือตลอดทางไม่มีเสียว ถึงแม้มันจะเล็กขนาดเรือข้ามฟากแถวท่าพระจันทร์ก็ตามที

จำได้ว่าตอนนี้กำลังบินเข้าย่างกุ้ง กำลังข้ามแม่น่ำอะไรซักอันล่ะครับ

 

ถ้า จะพูดว่า ขอบคุณ ก็ใช่คำว่า เจซูตินบาเด่ เคยพาทัวร์ไปพอเรา บอกปุ๊ปมีหนึ่งในลูกทัวร์พูดขึ้นมาเลยว่า อ๋อ เจอ ส้น ตีน บ่า เด่ เล่นเอาฮากันทั้งคันรถ แต่ให้ฮากว่านั้นก็บนเครื่องแอร์บากัน หลังจากใช่บริการเรียบร้อยส่งเราถึงที่หมายอย่างปลอดภัย เราก็บอกแอร์โฮสเตสว่า เจอ ส้น ตีน บ่า เด่ เค้าคงนึกว่าเรา ขอบคุณ เลยยิ้มและพูดว่า เจซูตินบาเด่ พวกเราหัวเราะจนแอร์งง แอร์น่ารักมากๆๆๆๆๆ (ขออภัยน่ะที่นี้เลยน่ะค่ะ ใช้คำไม่สุภาพ)

 

 



ภาพ อาจจะไม่เรียงกันนัก แต่ผมพยายามทำให้ดีที่สุดเท่าที่ความซื่อบื้อของผมจะอำนวยกันล่ะ ภาพนี้เป็นเณรพม่าครับ เณรพม่านั้น ไม่ซุกซนเหมือนเณรไทย คือเท่าที่ผมสังเกตุ เณรพม่ารูปมวยจะนิ่งมาก คือไม่ยิ้ม ไม่เล่นหัว และอยู่นิ่งๆ และค่อนข้างไม่คุ้นกับคนแปลกหน้าที่หน้าตาเหมือนผม

ต่างจากเณรไทย ที่เล่นซนเป็นลิง ผมเคยเห็นเณรไทยเล่นถ่มน้ำลายใส่กัน โดยสมมุตว่ากำลังใช้ปืนยิงต่อสู้กัน แค่จินตนาการก็สยองแล้วว่ามันสกปรกซกมกเพียงใด
 



ภาพ นี้จำไม่ได้จริงๆๆ ครับ น่าจะเป็นเจดีย์องค์เล็กๆ ประกอบอยู่ด้านหน้าของเจดีย์มุเตา ซึ่งเป็นเจดีย์ที่สูงที่สุดของพม่า แต่ผมเก็บภาพเฉพาะองค์เล็กๆๆ มาฝากกันก่อน

ผิดพลาดประการใด ท่านที่รู้จริงทักท้วงด้วยเน้อ

 



ภาพ นี้เป็นภาพเพดานของท้องพระโรงของ พระเจ้าบุเรงนอง หรือพ่อหัวบาเยงนอง ผู้ชนะสิบทิศที่เรารู้จักกันดี ไม้ที่ใช้ทำท้องพระโรงนั้นเป็นไม้สักทองล้วนๆ ซึ่งพม่านั้นเด่นมากในเรื่องไม้สัก และเรื่องทอง

วันนั้นที่ไป หม่องพม่าอายุมากๆ ท่านหนึ่งไม่ยอมให้ถ่ายภาพภายในท้องพระโรง แต่เนื่องจากเห็นผมนุ่งโสร่งเหมือนกัน ประมาณว่าพวกเดียวกันว่างั้น ก็เลยโบกไม้โบกมืออนุญาตทำนองว่า อยากถ่ายก็ถ่ายไป (โว้ย)



อัน นี้ก็เป็นสิงห์คู่หน้าประตูทางเข้าเจดีย์มุเตาครับ ชาวพม่านิยมสิงห์ตัวใหญ่ๆๆ วางไว้คู่กันหน้าวัดทุกๆๆ ที่ แล้วสิงห์ที่ยืนเฝ้าประตูวัด ก็ล้วนแล้วแต่ตัวใหญ่บักเอ้บ

คือยืนเด่นเป็นสง่า และทาทองไว้สวยงามอล้าอร่ามเลยว่างั้น



อัน นี้เป็นพระพุทธรูปครับ บอกตามตรง และพูดอย่างไม่เข้าข้างไทย ผมสังเกตุว่าทองที่ใช้ทำพระพุทธรูปของพม่านั้น งามและอร่ามเรืองรองมากกว่าของไทยมากนัก คือทองเป็นทอง และงามจับใจกว่าทองเยาวราชอย่างแน่แท้

ไกด์บอกว่าเปอร์เซ็นต์ทองในประเทศพม่านั้น สูงกว่าไทยและบริสุทธิ์กว่า ผมมองกับตาก็ยอมรับว่าจริง



เรา จะเห็นชาวพม่านิยมขายมาลัยลักษณะในรูปนี้ในทุกๆ วัด ซึ่งพม่าไม่นิยมร้อยมาลัยแบบไทยครับ คือจับเชือกได้ ก็ร้อยกับดอกไม้กันดื้อๆ เลย และดอกไม้ที่ว่าผมก็ไม่ทราบว่ามันคือดอกอะไร และมีชื่อเรียกว่าอะไร

รู้แต่ว่าราคามาลัยประมาณ 500 จ๊าด (100 จ๊าด ประมาณ 4 บาทไทย) และแน่นอนไปวัดไหน ผมก็ซื้อแต่มาลัยหน้าตาซ้ำๆ กันแบบนี้ล่ะ



ภาพ นี้เป็นเด็กจรจัดพม่า จะเรียกว่าจรจัดคงไม่เชิง ต้องเรียกว่าประมาณจิ๊กโก๋ประจำวัด คือเราจะพบเห็นเด็กเหล่านี้เยอะมากๆ ตามสถานท่องเที่ยวต่างๆ และมักจะขอสตางค์กับนักท่องเที่ยว

แต่คอนเฟิมครับว่าเด็กไม่ได้มีท่าทีกร้าวร้าวหรือข่มขู่แต่อย่างใด ซึ่งถ้าข่มขู่ ผมก็คงเตะได้อย่างถนัดใจ เนื่องจากเป็นเด็ก แต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่ผมคงต้องยั้งคิดอีกหน่อยว่างั้น

ผมแลกเงินจ๊าดไปพอควร เรียกว่าเจอเด็กๆ เหล่านี้ ก็แบ่งๆ กันไป เราพอมีก็แบ่งปันให้คนอื่นได้มีบ้างล่ะครับ



เรา จะเห็นเด็กๆ พม่าค่อนข้างมากในทุกๆ ที่ เด็กพม่าน่ารักกว่าเด็กไทยครับ เด็กพม่ายามว่างไม่มีอะไรทำ เค้าก็จะนั่งหัดอ่าน หัดเขียนหนังสือพม่า ต่างจากเด็กไทยที่ขี้เกียจ วันๆ หลอกขโมยเงินพ่อแม่เข้าร้านเกมส์ เรียกว่าถ้าอยากจะเลือกเตะเด็กซักชาตินึงในโลก....

ผมอยากจะเลือกเตะตูดเด็กไทยก่อนเพื่อนเลยล่ะครับ



ภาพ นี้เป็นภาพพระนอนครับ เป็นพระนอนที่เลื่องชื่อระบือไกลของพม่า คือพระตาหวาน หรือพระพุทธไสยาสน์ ความยาว 70 เมตร พระองค์นี้จุดเด่นอยู่ทีดวงตาครับ คือถ้ามองไปด้านข้างๆ จะเห็นขนตางอนเช้ง ราวกับสาวๆ ยุคซิกตี้ที่นิยมติดขนตางอนๆ

พระนอนของพม่านั้น ถ้าให้ผมออกคะแนนเทียบกับพระนอนที่วัดเชตุพนของไทยเรา ของไทยเราน่าจะเป็นต่ออย่างน้อยลูกครึ่งครับ อันนี้ให้ตามความรู้สึกเป็นกลาง ไม่ได้มีความชาตินิยมแต่อย่างใดจ้า



อัน นี้เป็นภาพพระพุทธรูปที่เจดีย์ไจ๊ปุ่น มีอยู่ 4 องค์ นั่งหันหลังชนกันครับ ซึ่งมีประวัติความเป็นมายาวเหยียดพอควร แต่ผมจำไม่ได้ล่ะครับ ขณะที่ไป องค์พระพุทธรูปทิศใดก็ไม่ทราบ กำลังบูรณะกันอยู่

ใครชอบใจสามารถไปและกราบนมัสการได้ที่พระเจดีย์ไจ๊ปุ่นครับ



แล้ว คณะทัวร์ก็เดินทางไปตักบาตรข้าวสวย ตักที่วัดอะไรก็ไม่ทราบ ผมขออภัยจริงๆ คนบาปแบบผมมักจะจำอะไรที่เป็นทางกุศลไม่ค่อยได้แม่นยำนัก

ผมเดินดุ่ยๆ เข้าไปถ่ายภาพในโรงครัว ซึ่งปกติไม่มีมนุษย์คนไหนทะลึ่งเดินเข้าไปถ่ายภาพกันเท่าไหร่ พระในวัดนี้จะช่วยกันทำอาหาร โดยใช้เครื่องมือขนาดยักษ์ดั่งที่เห็นล่ะครับ จำนวนพระมีประมาณ 1000 รูป การทำอาหารเลี้ยงคนหนึ่งพันคน ไม่ใช่ของหมูๆ ที่ใครนึกจะทำก็ทำได้ล่ะครับ



ภาพ นี้ไม่มีอะไร เป็นภาพชายพม่าที่ขี้เกียจทำอะไร แล้วนอนหลับตากลมเย็นๆ กลางศาลาวัดนั่นเอง หลายคนบอกว่าเฮียถ่ายมาทำไม ถ่ายแล้วได้อะไรขึ้นมา

ผมถ่ายมาเพื่อเปรียบเทียบให้เห็นว่า การนอนแบบนี้ ไม่ว่าชาติไหนก็นอนทั้งนั้นล่ะครับ ไม่เชื่อลองไปดูตามศาลาวัดของไทยก็ได้ รับรองว่านอนกันเกลื่อนเต็มศาลาเลยเชียวล่ะ



ภาพ นี้เป็นการแสดงโชว์ในภัตตาคารการะเวก ซึ่งน่าจะเป็นภัตตาคารขนาดใหญ่ที่สุดในเมืองย่างกุ้ง ภาพนี้จริงๆ มีนางรำอยู่ 3 คน แต่คนที่ผมเลือกถ่ายมานี่ ผมเล็งแล้วหน้าตาสมกับเป็นนางรำที่สุด คือหน้าตาสะสวย ผิวพรรณดี รูปร่างดี

ต่างกันกับอีกสองคนที่ผมตัดออก เนื่องจากหน้าตาละม้ายคล้ายตุ๊กกี้ ชะชะช่า ดูแล้วไม่เจริญตานอกจากฮาอย่างเดียว ผมเลยจำเป็นต้องลงเฉพาะที่เห็นนี่ล่ะเน้อ



แล้ว ก็มาถึงไฮไลท์ของการเดินทางมาพม่าอย่างแรกเลยครับ คือมหาเจดีย์ชเวดากองนั่นเอง ต้องยอมรับว่าบริเวณโดยรอบองค์เจดีย์นั้นกว้างขวาง และองค์เจดีย์นั้นก็ยิ่งใหญ่สมชื่อ สมคำเลื่องลือจริงๆ

ตามประวัติศาสตร์ไทย ไทยก็เขียนว่าพม่ามาตีกรุงศรี แล้วปล้นทอง เผาทองของไทยเอากลับไปสร้างเจดีย์ พม่าก็บอกว่ามีอยู่แล้วโว้ย เรียกว่าไม่มีใครถูกใครผิดล่ะครับ ประวัติศาสตร์ก็คือประวัติศาสตร์ ขึ้นอยู่กับว่าใครจะเป็นคนเขียนเท่านั้นล่ะ



มหา เจดีย์ชเวดากองในค่ำคืนนั้น ยิ่งใหญ่และอลังการยิ่งนัก ชาวพม่านั้นมักจะเดินทางดั้นด้นมานมัสการกันค่อนข้างมาก ผมว่าชาวพม่านั้นเคารพและศรัทธาในพุทธศาสนามาก เรียกว่าชาวพม่าน้บถือสถานที่บูชาต่างๆ มากกว่านับถือพระสงฆ์อีก

องค์ชเวดากองนั้นแปลก จะมีอยุ่มุมหนึ่ง ซึ่งถ้าเรามองยอดปลายของเจดีย์จะเห็นเป็นสีเขียว ถ้าหากเราถอยหนึ่งก้าวจะเปลี่ยนเป็นสีแดง และถ้าถอยหลังอีกหนึ่งก้าว จะเปลี่ยนเป็นแสงสีขาว ซึ่งเป็นเรื่องการสะท้อนและตกกระทบของแสงไฟนั่นเอง แต่อย่างไรก็สร้างความขลังให้กับองค์ชเวดากองมากยิ่งขึ้นไปอีก



ภาพ นี้เป็นมุมไกลครับ ผมเห็นมันสวยดี สะท้อนผืนน้ำ ออกเป็นเจดีย์ชเวดากองสององค์ได้สวยงามดีมาก แต่เจ้ากรรมพอจะลงไปถ่าย ไหงกลายเป็นสะพานไม้ คนยืนกันตึกตั่ก ลำพังจะยืนให้นิ่งๆ ยังยาก นับประสาอะไรจะถ่ายภาพ

ก็เลยต้องใช้มือประคองให้นิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่างที่เห็นจ้า



อัน นี้เป็นแท่นบรรจุพระเกศาธาตุครับ บรรจุในเจดีย์โบตะตอง ภายในกั้นลูกกรงไม่ให้คนเข้าถึงองค์พระธาตุได้ จะมีรั้วลูกกรงเหล็กกั้นไว้โดยทิ้งระยะห่างของแท่นบรรจุกับคนที่ยืนชมพอ สมควร

ที่น่าประหลาดใจก็คือ คนที่มานมัสการพระธาตุ จะทำบุญด้วยการโยนเงินผ่านลูกกรงเข้าไป และเงินก็กองสูงท่วมขึ้นมาอย่างเหลือเชื่อ เรียกว่าแบงค์พม่าสุมรวมกันเยอะมากๆๆ เลยล่ะครับ



อัน นี้เป็นรูปหม่องกระโจเดี่ยวครับ ภาพนี้ถ่ายและแอ๊คชั่นหน้าร้านกาแฟสดของพม่า ตอนที่ผมเดินเข้าไปชะเง้อดู ไม่รู้คนขายหายหัวไปไหนแล้ว ก็เลยเอาวะ งั้นแอคชันหน้าร้านเค้าซะหน่อย

ใครที่บ่นว่า อยากกินคาปูชิโน บางคนชอบอเมริกาโน บางคนบอกว่าลาเต้อร่อยกว่า มะเหงกเลยครับ งานนี้มาพม่า มีอะไรก็กินๆ เข้าไปก่อน เรื่องจะหาร้านหรูๆ กาแฟขุมนรกแก้วละร้อยกว่าแบบประเทศไทย ขอให้เมินไปได้เลยครับ งานนี้สตาร์บั๊คส์ไม่มีสิทธิ์เสนอหน้าเข้ามาขายในพม่าว่างั้น



หุ่น กระบอกของพม่า มาทำนองเดียวกับงานของที่ระลึกตามถนนข้าวสาร ไม่มีอะไรน่าสนใจนักครับ ของพวกนี้ไม่ว่าไปประเทศไหนมันก็ไม่น่าสนใจอยู่ดี เพราะผมมองว่าของที่ระลึกก็คือของที่ระลึก จะเน้นศิลปะหรือความงดงามคงจะไม่ได้นัก

ผมลองหยิบตุ๊กตาไม้เล็กๆ (ไม่ใช่ในรูป) แล้วถามคนขายว่าเท่าไหร่ ในใจผมนึกว่าอย่างเก่งก็สองร้อยบาทไทย แต่พม่าหัวหมอตอบว่า ตัวละ 1800 บาท ผมหันหลังแล้วด่ามันในใจ ตุ๊กตาบ้านเตี่ยมึง ตัวนิดเดียวพันแปด

 



ภาพ นี้เป็นภาพพระพม่าครับ ผมไม่แน่ใจว่าองค์นี้จะเป็นพระพม่าแท้ๆ เลยหรือเปล่า เพราะพระพม่านั้น จะห่มจีวรสีชาด คือออกแดงๆ หน่อย และที่สำคัญพระพม่าไม่โกนคิ้ว คือหน้าตาเหมือนผมนั่นเอง ถ้าผมห่มผ้าจีวรแบบพม่า ผมก็จะกลายเป็นพระพม่าในบัดดล

ผมเดินไป เห็นหลวงพ่อองค์นี้ทำสมาธิอยู่ ก็เลยนึกในใจ ซูมเราก็ไม่มี งั้นขอเดินเข้าไปถ่ายใกล้ๆ น่า ยังไงหลวงพ่อหลับตาอยู่ คงไม่รู้เรื่องล่ะ ว่าแล้วผมก็เดินเข้าไปกดชัตเตอร์แบบจ่อๆๆ ต่อหน้าหลวงพ่อนั่นเอง



เด็ก พม่าคนนี้นัยน์ตาใสแหน๋วเลยครับ ผมพยายามหลอกล่อให้เด็กยิ้ม แต่คาดว่าเด็กคงจะกลัวหน้าผมจนหางจุกตูด ทำท่าจะร้องไห้อย่างเดียว แต่ความพยายามของผมก็เป็นผลสำเร็จ คือสามารถทำให้เด็กคนนี้ ยิ้มได้อย่างที่เห็นนี้ล่ะครับ

พ่อแม่เด็กพม่าคงนึกด่าผมในใจ...ไอ้นี่มันน่าอัดซักป้าบจริงๆๆ



อโหสิ ด้วยครับหลวงพี่ ภาพนี้ผมโผล่หัวออกมานอกกระจกรถ หลวงพี่ท่าทางจะงงๆๆ ใครวะเนียโผล่ออกมาถ่ายภาพเรา โกนหัวเหมือนเรา แต่ทำไมไม่ใส่จีวรเหมือนเรา

พม่านั้นแปลกครับ ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับพระสงฆ์เท่าไหร่ คือประมาณว่าถ้ารัฐบาลทหารเคลื่อนกำลังพลออกมา พระก็พระ ทหารสามารถยิงได้คล่องมือแน่ๆ ซึ่งต่างกับไทย ซึ่งยังไงก็เห็นแก่ผ้าเหลืองก่อนแน่ๆ ครับ



พม่า นั้นมีหลายเชื้อชาติมากนักในประเทศ เราจะเห็นพม่าผิวเหลืองๆ ตามที่เราเห็นตามสุรัชต์ภัตตาคาร อันนี้มักจะเป็นพม่าที่มีเชื้อจีน และเราก็จะเห็นพม่าที่ผิวดำ หน้าตาออกไปทางแขกปากีสถาน ซึ่งอย่าแปลกใจครับ พม่านั้นมีเชื้อสายและแต่งงานข้ามสายพันธ์กับขนชาติรอบๆ ประเทศ

กษัตริย์พม่านั้นไม่มีมานานแล้ว เนื่องจากไปทำการอภิเษกกับชาวอินเดีย ซึ่งชาวพม่าเชื่อว่าทำให้สายเลือดกษัตริย์ไม่เข้มข้น ในที่สุดก็ค่อยๆ เสื่อมลง จนกลายมาเป็นการปกครองโดยรัฐบาลทหารในที่สุด



อัน นี้ใช่แล้วครับ คือเจดีย์มุเตา หรือเจดีย์ชเวมอดอร์ ที่ว่ากันว่าเป็นเจดีย์ที่สูงที่สุดในประเทศพม่า อยู่ในเมืองหงสาวดี ส่วนความสูงนั้น กะด้วยสายตา ผมว่ายังสูงน้อยกว่าพระปฐมเจดีย์ของเรา

ส่วนจะเอากันละเอียดว่าสูงเท่าไหร่ ต้องขอกราบเรียนทุกท่านว่า วันนั้นผมไม่ได้พกสายวัดและตลับเมตรไป เลยไม่สามารถวัดส่วนสูงมาบอกกับท่านได้ล่ะเน้อ



ภาพกระโดด อีกแล้ว อันนี้ผมจำได้ว่าเป็นภาพศาลาหลังหนึ่งในบริเวณเจดีย์ชเวดากอง ลองสังเกตุที่เสาครับ ทองนั้นเหลืองเข้ม สุกปลั่ง คือไม่ใช่ทองเล่นๆ แต่เป็น ทอง ท๊อง ทอง เลยล่ะครับ

การจะหาชมเจดีย์สวยๆ ในพม่า ผมว่าง่ายพอๆ กับหาร้านเซเว่นในเมืองไทยกันเลยล่ะคร้บท่าน



อัน นี้ผมถ่ายภาพสุนัขพม่ามาให้ท่านชมกันถึงห้องนอน สุนัขหรือหมาพม่า หน้าตาเหมือนกับสุนัขไทยราวกับแกะ และอุปนิสัยใจคอก็น่าจะคล้ายๆ กัน คือเหมือนและคล้ายกันยิ่งกว่า ipod photo กับ ipod U2 ประมาณนั้นครับ

สุนัขไทยเป็นอย่างไร สุนัขพม่าก็เป็นอย่างนั้น ผมประทับใจอยู่ตอนหนึ่ง คือตอนที่หลวงพ่อพม่าเคาะเกราะไม้ หมาพม่าทั้งวัดแหงนคอและหอนกันเกรียว หอนประสานเสียงดังลั่นและพร้อมเพรียงยิ่งนัก ดีว่าเราได้ยินมันหอนตอนกลางวัน ถ้าเป็นกลางคืนมีหวังป่าราบ ตัวใครตัวมัน



แล้ว เราก็เดินทางมานมัสการพระธาตุอินทร์แขวนครับ การจะขึ้นพระธาตุอินทร์แขวนนั้น ขั้นแรกต้องมาเมืองไจ๊ก์ทีโย มาให้ถึงตรงตีนเขาครับ ตรงตีนเขาเค้าเรียกกันว่าคิมปูนแคมส์ รถบัสจะมาได้เท่านี้

แล้วเราก้ต้องต่อรถหกล้ออย่างที่เห็นในภาพล่ะครับ ภาพคนแย่งกันขึ้นรถ ราวกับในภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับโลกแตกหรือวาระสุดท้ายของโลก คือคนแย่งกันหนีตาย แย่งกันขึ้นรถ เพื่อจะไปขึ้นยอดเขาให้จงได้

แต่พวกเราศักดินากว่าพม่า คือมากับทัวร์เค้ากลัวเราจะท้อแท้ เลยเช่าเหมาลำ(รถ)ขึ้นไปบนยอดเขาครับ



แล้ว เรื่องโคตรตลกก็เกิดขึ้น ผมไปเจอคุณสุวิทย์ หัวหน้าช่างภาพนิตยสาร mars ที่สุวรรณภูมิ ผมว่ายน้ำด้วยกันบ่อยๆ แต่ไม่ได้คุยถึงเรื่องเที่ยวปีใหม่ และจำได้ว่าคืนวันคริสมาสก็ยังว่ายน้ำด้วยกัน คุยกัน แต่ไม่ได้บอกว่าปีใหม่ไปเที่ยวไหนกัน

พอไปถึงสุวรรณภูมิ ผมเจอหลังคุณสุวิทยุ์แต่ไกลๆ เห็นก็จำได้ ผมปรี่เข้าไปทัก เฮ้ย...ไปเที่ยวไหน สุวิทย์บอกว่าไปพม่า ผมร้องเจี๊ยกๆๆ ตกลงเราไปทัวร์เดียวกัน และนั่งกินข้าวด้วยกันอยู่สี่วัน

พิสูจน์แล้วว่าโลกกลมเป็นเรื่องจริง



แล้ว ก็มาถึงสุดยอดไฮไลท์ของงานนี้ คือการนมัสการพระธาตุอินทร์แขวนนั่นเอง จำได้ไม๊ครับ เราต้องนั่งรถหกล้อขึ้นมา และจะขึ้นมาได้แค่ครึ่งทาง อีกครึ่งทางต้องนั่งเสลี่ยงแบบ สี่คนหาม สามคนแห่ แต่ไม่มีพระนำหน้า

จะต้องหามขึ้นไปอีกครึ่งทาง ใครชอบอะไรที่เสียวๆ สนุกๆ พลาดโปรแกรมแบบนี้ไม่ได้ เพราะลำพังการนั่งเสลี่ยงด้วยเวลา 45 นาที ผมว่ามันนานยิ่งกว่าลุ้นบอลไม่ให้โดนพังประตูตลอดเวลาการแข่งขันซะอีกครับ

ภาพนี้เป็นภาพพระธาตุอินทร์แขวน แบบมุมมาตรฐานหน้าตรงของคนทั้งโลก



ผม เปลี่ยนใจถ่ายด้านหลัง เพื่อไม่ให้เหมือนใครดีกว่า ก็เลยได้ด้านหลังมาอย่างที่เห็นครับ คนพม่าแห่ขึ้นไปนมัสการพระธาตุกันมาก เชื่อกันว่าใครมาครบ 3 ครั้งใน 1 ปี ก็จะขอพรได้ทุกๆๆ อย่างที่ต้องการ

คลื่นมนุษย์มากราวกับการแสวงบุญในนครเมกกะ คือนอนกันเกลื่อนพื้น เดินไปทางไหน ต้องระวังไม่ให้เท้าไปเหยียบคน ผมเองเกิดจากท้องพ่อท้องแม่ เพิ่งเห็นคนนอนเกลื่อนมากมายด้วยตาตัวเองก็วันนี้ล่ะครับ



แล้ว ก็มาถึงการถ่ายภาพเด็กๆ ที่ขายของบริเวณพระธาตุ บางคนก็รับจ็อบบริการเล็กๆน้อยๆ สุดแท้แต่ใครจะให้สตางค์ ผมเรียกเด็กๆ มาถ่ายภาพ วิธีง่ายๆ สุดก็คือยิ้มให้เค้าก่อน แล้วก็พูดไปเหอะ ฟังรู้มั่งไม่รู้มั่งก็ช่างมัน ยังไงยิ้มไว้ก่อน ตัวแบบที่ถูกถ่ายจะรู้สึกเป็นมิตร

แล้วถ้าไม่ได้ผลล่ะ ?? ก็จ่ายเป็นเงินซิครับ ผมควักแบงค์ใบละพัน(เงินพม่า) แจกเด็กๆ แล้วบอกใบ้ทำนองว่ายิ้มหน่อยโว้ย แค่นั้นแหละ เงินฉีดเข้าในระบบ ทุกอย่างก็คล่อง ลืนปรื้ดปร้าด



ซ้าย มือคือไอ้โบโบ้ ส่วนขวามือคือไอ้โกโก้ เจ้าสองตัวนี้มันติดตามผมตลอด คอยจูงไม้จูงมือ ช่วยพาไปส้วม และบริการสารพัด เท่าที่เด็กเปรตอย่างมันจะทำได้ น่ารักมากครับ ผมเองยังบอกว่า เอาไม๊ ไปทำงานกับลุงเอาเปล่า ไปช่วยลุงขายหูฟังที่กรุงเทพ

ใครอย่านึกว่ามันจะฟังไม่ออก เจ้าสองตัวบอกกับผมว่า ตอนนี้พม่านั้น บรรจุการพูดภาษาไทยลงในหลักสูตร ซึ่งถ้าเป็นเด็กอายุ 20 ปีขึ้นไปมักจะพูดไทยไม่ได้ แต่ถ้าอายุน้อยระดับสิบกว่าขวบลงมา มักจะพูดปร๋อ แล้วผมก็ทิปเจ้าสองตัวนี้ไปห้าพัน (จ๊าด)



น้อง นางคนนี้เร่ขายแตงโมตามทางเดิน คือตัดและผ่าไว้เรียบร้อย แล้วางใส่ถาดเดินเร่ขายไปเรื่อยๆๆ เวลารถวิ่งผ่านทีนึง ฝุ่นลูกรังก็ปลิวว่อน เคลือบแตงโมไว้ นัยว่าเพิ่มความอร่อยยกกำลังสอง

เราไม่กินล่ะ เพราะขนาดกินแตงโมดีๆ มีคนป้อนดีๆ กินในห้องแอร์ดีๆ(จ่ายแพงๆ)เรายังขี้ไหล แล้วเราจะไหวหรือกับแตงโมของน้องนางรายนี้



ชาว พม่านิยมทาแป้งกันทุกคน ไม่ว่าหญิงว่าชาย ไม่ว่าแก่หรือหนุ่ม โดยแป้งที่ทานั้นจริงๆ ทำมาจากรากไม้ครับ โดยนำรากไม้ชื่อว่า "มานาคา" หรือไงนี่ล่ะ เอารากท่อนใหญ่ๆๆ ขนาดข้อมือ นำไปฝนกับหิน จะมีน้ำขาวๆ เป็นแป้งออกมา แล้วก็นำน้ำที่ว่ามาทาหน้า

ผมลองแล้วเย็นดี เหมือนทาแป้งน้ำ การทาแป้งของชาวพม่านั้นได้ประโยชน์หลายทาง คือใช้ทากันแดด กันยุง ทากันฝ้า ได้สารพัดนึก เรียกว่าเราจะเห็นชาวพม่า ทาหน้าแบบนี้ทุกๆ คน และทุกชนชั้น ส่วนลวดลายก็แล้วแต่ใครจะดีไซน์ว่างั้น



แล้ว ก็มาถึงส้วมพม่าครับ อันนี้เป็นส้วมที่อยู่ในโรงแรมห้าดาวพม่าครับ ผมชอบอกชอบใจจริงๆ เพราะขนาดใหญ่ มีที่เหยียบเท้าชัดเจน และขนาดคอห่านกว้างและใหญ่ ใครที่เป็นคนท้องเสีย ก็สบายใจได้ว่า ถ้าหากขี้เรี่ยราดยังไงก็ไม่กระจัดกระจายออกนอกบริเวณคอห่านแน่ๆล่ะ

มีที่ฉีดก้น และมีปุ่มกดชัดเจนดี ผมฝันว่า หากมีสตางค์ ผมจะตะเวนหาซื้อคอห่านแบบนี้ซักอันไว้ใช้เป็นการส่วนตัว

 

มาเล่าต่อล่ะเน้อ ไหนๆ ก็ไหนๆ ไปมาแล้วก็เก็บมาเล่าให้คนอื่นๆ ฟัง จะได้เหมือนไปเอง ไม่ต้องเสียเงินไปอีกล่ะ 55

วัน นั้นผมไปถึงที่ร้านอาหารประมาณหัวค่ำ เค้าจัดต้อนรับคณะนักท่องเที่ยวกัน และแน่นอนตอนแรกๆ แต่ละคนก็เหนียมๆ กันอยู่ ผมเห็นแล้วขัดใจ ก็เลยร้องขอว่าขอผมเป็นผู้เปิดเวทีเองก็แล้วกัน

และแน่นอนเพลงชาติ เอ๊ย เพลงประจำตัวของผมก็ถูกใช้ขับกล่อมให้คณะผู้ร่วมทางได้ฟัง บางคนฟังแล้วถึงกับน้ำตาซึม...ว่าไอ้หอกนี่ขึ้นไปร้องทำไมให้หนวกหู

 



แล้ว เรามาดูวินมอเตอร์ไซด์ของพม่าครับ วินมอไซด์ของพม่านั้นไร้เสื้อกั๊ก ไร้ส่วย คือใครอยากขับก็รวมตัวกัน แล้วก็จอดกันอยู่ข้างทางนั่นแหละ ใครจะเรียกก็เรียก ใครเรียกก็ไป ใครไม่เรียกก็นั่งรอไปเรื่อยๆ

ที่ สำคัญ วินมอเตอร์ไซด์พม่า มีน้ำอดน้ำทนกว่าวินมอเตอร์ไซด์ไทยครับ คือเค้าสามารถนั่งตากแดดได้เป็นวันๆๆ ต่างจากวินของไทย ต้องนั่งและเอนหลังบนโซฟาร์ แดดร้อนหน่อยก็ไม่เอา จ้องกินแต่หมู ระยะสั้นๆ เก็บแพงๆ ว่างั้น

 

 

ให้ดูแม่น้ำสะโตงกันครับ แม่น้ำนี้ว่ากันว่า เป็นที่ที่ซึ่งพระนเรศวร ใช้พระแสงปืนยิงข้ามแม่น้ำสะโตงกันเลยเชียวล่ะ

และ สะพานแห่งนี้ เค้าไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพใดๆ ทั้งสิ้น คือถ้าทหารที่เฝ้าหัวสะพานจับได้รับรองมีปัญหาต่อกันแน่นอน แต่เชอะ เรื่องอะไรผมจะไปกลัว ผมก็รอให้รถมันวิ่งมากลางสะพานก่อน แล้วค่อยรีบโผล่หัวออกนอกหน้าต่าง แอบถ่ายรูปไป 1 แชะ แล้วแลบลิ้นปลิ้นตาเยาะเย้ย เป็นทำนองว่า แอบถ่ายได้แล้วโว้ย


 

มา ให้ดูบรรยากาศความวุ่นวาย ตอนก่อนขึ้นมนัสการพระธาตุอินแขวนกันครับ ตรงนี้เป็นเชิงเขา เรียกว่าคิมปูนแคมป์เป็นช่วงที่จะต้องนั่งรถหกล้อขึ้นไปก่อน

ตอนนี้ ภาพอาจจะไม่ได้มีความเจริญหูเจริญตาแล้ว แต่ผมเน้นให้ดูบรรยากาศว่ามันชุลมุนกันขนาดไหน ภาพแบบนี้คนอื่นเค้าไม่ถ่ายกัน แต่ผมชอบชะมัดเลยล่ะ
 



หลัง จากที่เรานั่งรถยนต์ 6 ล้อขึ้นไปครึ่งทาง เราก็ต้องไปต่อเสลี่ยงอีกครึ่งทาง คือประมาณ 45 นาทีเต็มๆ การนั่งเสลี่ยงเรานั่งเฉยๆ ครับ ลูกหาบเค้าจะหาบเราเอง ซึ่งผมบอกได้ว่า กว่าจะหาบคนขึ้นเขาไปได้ ผมว่ามันกินฝืดคอจริงๆ คือหนทางมันชันมาก ชันกว่าภูกระดึงบ้านเราอีก

ผม เองถ่ายภาพไม่ได้ชัดเจนนัก เพราะตัวเองก็ทะลึ่งนั่งอยู่บนเสลี่ยง ไอ้ครั้นจะบอกให้ลูกหาบหยุดจอด เพื่อถ่ายภาพให้สวยๆ ก็ดันเจรจาไม่เป็น ก็เลยถ่ายมันทั้งๆ ที่ตัวเองก็นั่งบนเสลี่ยงนั่นแล....

 

ที่ เห็นในภาพ ไม่ใช่กองผ้าห่มเปล่าๆ นะครับ ที่เราเห็นอยู่นั้นคือประมาณว่า ผ้าห่มห่อคนอยู่ด้านใน ห่อเหมือนห่อโรตีสายไหม ม้วนๆๆ แล้วเรียงกันเป็นตับ ข้างในเป็นคนล้วนๆ เค้านอนตากน้ำค้างตากลมหนาวบนยอดเขาเพื่อรอตักบาตรกับพระธาตุครับ

เมือง ไทยอาจจะไม่มีใครศรัทธาอะไรได้ขนาดนี้ แต่ที่พม่านั้น เค้านับถือกันและศรัทธากัน ซึ่งผมว่าเป็นข้อดีในการสร้างขวัญและกำลังใจให้พลเมืองในชาติ.

 

อัน นี้เป็นพ่อค้านกทอดครับ ประมาณว่าถ้ามาพม่าแล้วดัดจริตอยากกินไก่ทอด KFC ขอให้ฝันไปก่อน มีเท่าที่เห็นในภาพล่ะครับ นกทอดกรอบทั้งตัว เค้าตั้งกระทะทอดกันง่ายๆ อย่างที่เห็นล่ะครับ

ผมเองลองไป 2 ตัว รสชาติพอไปวัดพม่าได้สบายๆๆ อร่อยและมีรสชาติ โดยไม่ต้องง้อว่าต้องซื้อพ่วงด้วยเฟรนฟรายด์หรือซื้อโค้กให้วุ่นวายจิตใจและ กระเป๋าสตางค์


 

ตกสำรวจไป 1 ภาพ ภาพนี้เป็นท้องพระโรงของพระเจ้าบุเรงนองครับ เป็นการถ่ายจากภายนอก

อากาศ วันนั้นร้อนจนตับแลบ ม้ามห้อยออกมาข้างนอก มาถึงแล้วต้องบอกว่ายิ่งใหญ่อลังการกว่าในภาพยนตร์ที่เราชมกันมากมายนัก แต่แปลกมาก ดูจากสภาพแล้ว ไม่ค่อยได้รับความนิยมจากชาวพม่าเท่าไหร
Credit: http://forum.munkonggadget.com/detail.php?id=24651
25 ก.ค. 53 เวลา 23:59 11,292 32 284
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...