วันหนึ่งในขณะที่เธอทำหน้าที่ เป็นพิธีกรในงานเลี้ยง ทำให้เอวาได้พบกับ
กุหลาบแดงหลายดอกเสียบอยู่ที่ประตูเหล็กบานใหญ่ซึ่งมีรูปกางเขน
ทำด้วยทองแดงสุกปลั่งท่ามกลางลวดลายอันงดงาม และเมื่อเงยหน้าขึ้น
มองกรอบประตูด้านบน จะเห็นตัวอักษรโลหะเป็นภาษาสเปนว่า
FAMILIA DUARTE ประดับอยู่บนหินอ่อนสีดำขัดมัน...
ผู้พันจวน โดมินโก เปรอง (Juan Domingo Peron) ทั้งสองคนต่างหลงรักซึ่งกัน
และกัน เอวาต้องยอมรับสภาพความเป็นภรรยาลับๆ ของจวน จนกระทั่งผ่านไป 2 ปี
พวกเขาจึงตัดสินใจแต่งงานกัน อย่างไรก็ตาม การแต่งงานของเอวานั้น
ไม่ได้รับการยอมรับ จากเพื่อนทหารของจวน และวงสังคมการเมืองของเขา
เนื่องจากเอวา เกิดจากครอบครัวที่ต่ำต้อย เป็นภรรยาลับและเป็นนักแสดง
เธอจึงถูกลงความเห็นว่าไม่มีค่าพอ ที่จะเข้ามาในวงสังคมร่วมกันจวน
แต่อย่างไรก็ตาม เอวิต้าได้ทำให้ทุกคนยอมรับในตัวเธอ อย่างไม่มีข้อกังขา
โดยเธอเป็นกลไกสำคัญตัวหนึ่ง ที่ช่วยให้นายพลเปรอง ได้รับตำแหน่งทางการเมือง
ที่สำคัญ คือ ตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งอาร์เจนตินา ด้วยคำแนะนำต่างๆ
ของเอวา เช่น การหาเสียงกับผู้ใช้แรงงาน ซึ่งทำให้นายพลเปรอง มีฐานคะแนนสนับสนุนมากมาย
เอวา เปรอง (Eva Peron) หนึ่งในสตรีที่ทรงอำนาจ เธอเริ่มต้นชีวิต
มาจากความยากจน ในฐานะลูกนอกสมรส มาสู่การเป็นสตรีหมายเลขหนึ่ง
ของอาเจนตินา เส้นทางชีวิตอันยาวไกลของเธอ เหมือนกับตำนาน
ที่ยกให้เธอเป็น “ซินเดอเรลล่าแห่งอาเจนติน่า”
เอวิต้า ชื่อเดิมในวัยเด็กของเธอคือ มาเรีย เอวา ดัวเต้ (Maria Eva Duarte)
เกิดที่เมืองลอสโทลดอส เนื่องจากพ่อของเธอตายไป ตั้งแต่เอวามีอายุเพียง 7 ขวบ
อีกทั้งครอบครัวของเธอยากจนมาก เอวา แม่ และพี่สาวทั้ง 3 คน
ต้องอาศัยรวมกันอยู่ในห้องแคบๆ ของครอบครัว ที่พวกเธอทำงานเป็นสาวใช้อยู่
เนื่องจากเอวาเป็นเด็กเงียบๆ และช่างเพ้อฝัน เธอคิดถึงโอกาส ที่เธอจะได้สัมผัส
กับความร่ำรวยอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งอายุ 14 ปี เด็กบ้านนอกอย่างเธอ
ต้องเดินทางเข้ากรุงบัวเอโนส แอร์เรส (Buenos Aires) เพื่อหางานทำ
ไม่นานนัก เธอได้เป็นนักแสดง นักร้อง และนักจัดรายการวิทยุถึง 2 แห่ง
คือ Radio El Mitndo และ Radio Belgrano
ระหว่างที่นายพลเปรอง ทำหน้าที่ประธานาธิบดี โดยมีเอวิต้าเป็นสตรีหมายเลขหนึ่ง
ทั้งคู่ทุ่มงบช่วยเหลือคนยากจนเป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
ในหมู่ผู้ยากไร้ แต่ปัญหาเรื้อรังที่เขาทั้งสองคนได้ก่อไว้ คือ การจ้างงาน
หรือสหภาพแรงงาน ทำให้อาร์เจนตินาประเทศที่เคยร่ำรวย เป็นอันดับสอง
รองจากสหรัฐ ต้องเผชิญปัญหาอัตราเงินเฟ้อ และขาดปัจจัยแข่งขันกับต่างประเทศ
จนเกิดปัญหาความวุ่ยวายมากมายภายในประเทศ
ด้วยอาการป่วย จากโรคมะเร็งในมดลูกของเอวิต้า ทำให้เธอเสียชีวิตลง
เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ.2495 ทั้งๆ ที่เธอมีอายุได้เพียง 33 ปีเท่านั้น
ดอกไม้ทุกดอก ประชาชนทั่วทั้งเมือง ต่างร่ำไห้กับการจากไปของเธอ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเอวาจะเสียชีวิตไปแล้ว ศพของเธอยังคงถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี
โดยเอวามักจะบอกกับจวนเสมอๆ ว่าสิ่งที่เธอกลัวมากที่สุดคือ “การลืม”
ดังนั้นจวนจึงจ้างนักพยาธิวิทยามาดองศพของเธอไว้ ซึ่งเขาตั้งใจจะสร้างอนุสาวรีย์
ให้กับเอวา แต่ในที่สุดจวน เปรองก็ไม่สามารถทำได้ เพราะเกิดการปฏิวัติเสียก่อน
เขาจึงจำเป็นจะต้องหนีไปอยู่ที่สเปน
เรื่องวุ่นวายยังไม่จบสิ้น เมื่อศพของเอวา ถูกกลุ่มคนที่ต่อต้านรัฐบาล
anti-Peronistas ของเปรองขโมยไป ตั้งแต่ปี พ.ศ.2498 โดยนำไปซ่อนไว้
ในสุสานเล็กๆ ในมิลาน ภายใต้ชื่อปลอมจนกระทั่งในปี พ.ศ.2514
แต่อย่างไรก็ตาม ศพของเอวาจากอิตาลี ได้ถูกนำกลับมาที่อาร์เจนตินาอีกครั้ง
เมื่อปี พ.ศ.2517 ซึ่งศพของเธอนั้น ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ โดยตอนแรกรัฐบาล
ได้นำไปฝังไว้ที่ห้องใต้ดินของประธานาธิบดี แต่สองปีต่อมา ได้มีการนำศพของเธอ
ไปฝังไว้ที่หลุม ซึ่งทำด้วยเหล็กหลายชั้น แล้วฝังไว้ภายในสุสานของตระกูล
ที่เรโคเลตา (Recoleta)
แม้ว่าเรื่องราวชีวิตของเอวิต้า เปรอง จะสิ้นสุดไปเป็นเวลากว่า 53 ปีแล้ว
แต่การดำเนินชีวิตที่น่าสนใจของเธอ กลับถูกนำมาตีแผ่ในรูปแบบของภาพยนตร์
บทละคร หนังสือ ฯลฯ และที่สำคัญที่สุดคือ ชื่อของเอวิต้า เปรอง
ยังอยู่ในความทรงจำของชาวอาร์เจนตินาตลอดไป
คำกล่าวของเอวา
"ฉันต้องการมีชีวิตร่วมกับเปรอง และประชาชนของฉันตลอดไป ซึ่งมันเป็นความจริง ที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ และมันคือความต้องการ ครั้งสุดท้ายของฉัน มันน่าจะเป็นวิถีทาง ที่ต้องดำเนินต่อไป ทรัพย์สมบัติของฉันทั้งหมด ถูกใช้ไปกับการแก้ปัญหาความยากจน และฉันต้องการให้สิ่งนี้ พิสูจน์ความรักของฉัน ที่มีต่อประชาชนทุกคน”