เด็กดริงก์ หญิงสาวของค่ำคืน

ในโลกของคนกลางคืนไม่ว่าจะในยุคสมัยใด ‘สุรา นารี ดนตรี' ล้วนเป็นสามเรื่องที่ตัดกันไม่ขาด ‘สุรากับดนตรี' ในที่เที่ยวก็ล้วนปรับเปลี่ยนตัวเองไปตามความนิยมของยุคสมัย ในด้านของ ‘นารี' เองก็เช่นกัน การปรากฏกายขึ้นของบรรดาเหล่าผีเสื้อราตรีสาวในแต่ละยุคสมัยก็แตกต่างหลาก หลายกันไป

จากยุคของ พาร์ตเนอร์ หลังสงครามเวียดนาม มาสู่ยุคโฮสเตส เอสคอร์ด ของบาร์ญี่ปุ่น และพัฒนามาเป็น ไคโยตีและเด็กดริงก์ในปัจจุบัน

เมื่อ มีกระแสข่าวแว่วออกมาว่า จะห้ามไม่ให้สถานบันเทิงมีบริการ ‘นั่งดริงก์' ก็ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นในวงกว้าง ถึงแม้ว่า เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคมที่ผ่านมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม จะออกมาชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการแล้วว่า สถานบริการยังคงมีสาวนั่งดริงก์ได้ แต่ต้องไปขอใบอนุญาตประกอบกิจการประเภท 3(4) ตาม พ.ร.บ.สถานบริการ พ.ศ. 2509 ให้เรียบร้อย

ทุกสิ่งล้วนมี ประวัติศาสตร์ กว่าจะมาเป็นเด็กดริงก์ในวันนี้ วงการผีเสื้อราตรีได้ผ่านร้อนผ่านหนาว ปรับเปลี่ยนรูปแบบมาตลอดเวลา และที่สำคัญ พวกเธอไม่เคยห่างหายไปจากโลกกลางคืนของบ้านเราเลย

เบลล์ (นามสมมติ) วัย 25 ปี สาวดริงก์ในผับญี่ปุ่น ย่านถนนสุขุมวิท ที่ผ่านมาเธอทำอาชีพนี้มาได้ 2-3 ปีแล้ว ส่วนรายได้ต่อเดือนก็ถือว่าเยอะพอควร คืออยู่ที่ประมาณ 30,000-40,000 บาท

" โดยส่วนตัวแล้ว เบลล์คิดว่าเป็นงานที่ทำได้ไม่ยากอะไร รายได้ก็เยอะด้วย แถมยังเป็นอาชีพสุจริต เพราะงานของเราก็แค่คุย ไม่ได้มีอะไรแอบแฝง ไม่มีการขายบริการ หรือทำอะไรกับแขก"

"สิ่งที่เบลล์ทำก็แค่นั่งคุยกับ ลูกค้าเฉยๆ ไม่ได้ไปขายตัวสักหน่อย แถมนั่งอยู่ในร้านด้วย ถ้าออกไปนั่งหน้าร้าน แบบร้านคาราโอเกะที่ชอบเอาผู้หญิงมาแต่งตัวโป๊ๆ ใส่แค่ยกทรง กางเกงในมานั่งหน้าร้านเรียกแขก ถ้าแบบนั้น โอเคเลย เห็นด้วย เพราะมันไม่เหมาะสม มันน่าเกลียดจริงๆ แต่ของเบลล์ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย เพราะฉะนั้นก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเอามาเหมารวมกัน เพราะสิ่งที่เราทำมันคนละเกรด คนละชั้นกับร้านพวกนั้นเลย"

ออย  พนักงานนั่งดริงก์ในสถานบันเทิงชั้นสูงแห่งหนึ่งเธอโชคดีที่เข้ามาทำงานใน สถานที่เที่ยวที่ค่อนข้างมีระดับ แขกที่เข้ามาก็ย่อมเป็นคนที่พูดรู้เรื่องกว่าที่อื่นๆ

"คนที่มาเที่ยว ทีร้านทำงานระดับสูงกันทั้งนั้น ระดับกลางๆ จะน้อย เขาจะมีมาดของเขา อย่างมากก็ขอกอดหน่อย ประมาณนี้ แต่ก็มีบ้างนะที่พอเมาแล้วเราเอาไม่อยู่ เคยมีครั้งหนึ่ง แขกดึงเสื้อในออยจนขาดเลย เราก็ปัดมือเขาออกทันที เขาก็โมโหสต็อปดื่มเรา (หยุดซื้อดริงก์) แต่เราก็ไม่สนใจนะ เพราะถ้าเขาเมาขนาดนั้นแล้วจะให้นั่งอยู่ด้วยก็คงไม่ไหว

"การทำงานแบบ นี้ ข้อสำคัญเลย คือเราอย่าใจอ่อนกับลูกค้า คนที่มาเที่ยว หายากที่จะมาจริงใจกับเรา ถ้าเราพลาดไปทีเดียวก็จะลำบากเลย มันจะทำให้เรารู้สึกแย่ มีเพื่อนบางคนไปชอบลูกค้า แล้วไปมีอะไรกัน เมื่อเขาได้แล้ว พอมาเที่ยวอีกที เขาก็เปลี่ยนคนนั่ง มันก็เสียความรู้สึก เกิดอาการหึงหวงลูกค้าขึ้นมา"

"ถ้าพูดกันจริงๆ เด็กที่ทำงานแบบนี้ก็มีทั้งคนดี และคนไม่ดี ถ้าเป็นเด็กไม่ดีเอาเงินไปเที่ยวก็มีอยู่บ้าง แต่ถ้าเป็นเด็กดีที่เขาต้องเอาเงินส่งให้พ่อแม่ หรือส่งเสียตัวเรียนหนังสือ ถ้าเลิกไป เขาจะเอาอะไรกิน เพราะถ้าพูดกันตรงๆ บอกไว้เลยว่างานปกติเวลากลางวัน ไม่มีที่ไหนให้เงินเด็กได้มากเท่านี้แน่นอน"

เงินที่ได้จากการทำงาน ต่อเดือนของออย ก็เฉลี่ยอยู่ที่ 50,000 บาท แต่ที่เคยรู้มา ในสมัยก่อนที่เศรษฐกิจยังดีอยู่ ได้กันถึงเดือนละ 300,000 ก็มี บางทีแขกประจำเราไปเมืองนอกกลับมาก็ซื้อข้าวซื้อของมาฝากบ้าง

ทั้งนี้ ทั้งนั้นเราต้องไม่ลืมว่า นิยามของคำว่า ‘น่ามอง' ของแต่ละคนนั้น มีความแตกต่างกันไป บางทีความเป็นระเบียบเรียบร้อยงามตา อาจจะไม่ได้มีความ ‘น่ามอง' ประกอบอยู่เลยก็ได้ อย่างน้อยๆ ก็ในสายตาของคนกลางคืนด้วยกัน

2 ก.ย. 52 เวลา 19:15 10,253 21 252
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...