https://www.catdumb.tv/roy-benavidez-378/
เพื่อนๆ เคยได้ยินฉายา “Tango-Mike-Mike” หรือชื่อของ “รอย เบนาวิเดซ” กันมาก่อนไหม เพราะนี่คือชายผู้ได้ชื่อว่าเป็นของสุดยอดคนอึดแห่งสงครามเวียดนาม ผู้ซึ่งช่วยชีวิตเพื่อนทหาร แม้ว่าในเวลานั้นตัวเขาจะมีบาดแผลรุนแรงถึง 32 แห่งก็ตาม
ราอูล “รอย” เปเรซ เบนาวิเดซ (Raul “Roy” Perez Benavidez) เกิดเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม ค.ศ. 1935 ในครอบครัวเชื้อสายแม็กซิกันในรัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา ก่อนที่จะเสียพ่อแม่ไปตั้งแต่ยังเด็กจนต้องย้ายไปอยู่กับญาติ และใช้ชีวิตวัยเด็กอย่างยากลำบากจนต้องออกจากโรงเรียนด้วยวัยแค่ 15 ปี เพื่อหาเลี้ยงชีพ
ด้วยเหตุนี้เองเมื่อตอนที่รอยอายุได้ 17 ปีในปี 1952 เขาจึงตัดสินใจสมัครเข้าเป็นทหารของกองทัพ ก่อนที่ในปี 1965 เขาจะถูกส่งไปยังเวียดนามในฐานะครูฝึกทหารอีกที ภารกิจในช่วงเวลานี้ของรอยนับว่าออกมาไม่ดีเท่าที่ควร เพราะในตอนที่เขาเข้าร่วมภารกิจสอดแนมลับให้แก่กองทัพ เจ้าตัวก็ได้เหยียบกับระเบิดเข้าจนต้องถูกส่งตัวเข้ารักษาในค่ายทหาร
ในเวลานั้นเขาถูกตัดสินว่าไม่สามารถใช้การขาของตัวเองได้อีกต่อไปและกำลังจะถูกปลดออกจากการเป็นทหาร อย่างไรก็ตามเจ้าตัวกลับไม่ยอมแพ้และทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองกลับมายืนได้ จนกระทั่งหลายเดือนต่อมาเขาก็สามารถกลับมาประจำการได้อีกครั้งอย่างไม่น่าเชื่อในฐานะของหน่วยรบพิเศษที่เรารู้จักกันในนาม “กรีนแบเรต์”
แต่เรื่องที่ทำให้ชายคนนี้กลายเป็นที่จดจำนั้นเกิดขึ้นหลังจากนั้นเล็กน้อย ต่างหาก นั่นเพราะในวันที่ 22 พฤษภาคม ปี 1968 ในขณะที่รอยกำลังสวดมนต์กับเพื่อนทหารในค่ายอยู่ เขาก็ได้ทราบว่าหน่วยทหาร 12 นายซึ่งประกอบได้ด้วยเพื่อนของเขาสามคน ได้ถูกโจมตีโดยกองทัพประชาชนเวียดนาม (NVA) และต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน
เมื่อทราบว่าเพื่อนต้องการความช่วยเหลือ รอยก็ตัดสินใจที่จะกระโดดขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปช่วยเพื่อนๆ ในทันที โดยในเวลานั้นเขารีบร้อนมากจนไม่ได้หยิบปืนไปด้วย และมีอุปกรณ์เพียงแค่กระเป๋าพยาบาลกับมีดพกเท่านั้น ทันทีที่ไปถึงพื้นที่ปะทะ เฮลิคอปเตอร์ที่รอยนั่งมาก็ถูกโจมตีใส่อย่างหนัก จนไม่สามารถลงจอดได้ในที่ที่ต้องการ ดังนั้นรอยจึงตัดสินใจที่จะกระโดดลงจากเครื่อง และวิ่งไปหากลุ่มเพื่อนๆ ที่ถูกยิงกดดันด้วยตัวเอง
รอยถูกยิงเข้าที่ขาขวา แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก เพราะคิดว่าตัวเองแค่วิ่งเกี่ยวพุ่มไม้หนาม และวิ่งต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมีแรงระเบิดกระแทกเขาจนล้มและเศษระเบิดฝังไปบนใบหน้าของเขาจนภาพที่เห็นเบลอไปหมด ถึงอย่างนั้นก็ตามเจ้าตัวก็ลากสังขารตัวเองไปถึงจุดที่เพื่อนทหารอยู่ได้ในที่สุด ในตอนที่เขาไปถึงกลุ่มทหารฝ่ายสหรัฐฯ ถูกแรงกดดันจากกองทัพประชาชนเวียดนามแบ่งออกเป็นสองกลุ่มเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แถมในบรรดาทหารที่อยู่ที่นั่น 4 คน ก็เสียชีวิตไปแล้วด้วย ดังนั้นเพื่อช่วยเพื่อนๆ รอยจึงหยิบปืน AK ของศัตรูขึ้นมา ค่อยฉีดมอร์ฟีนให้คนเจ็บโดยอาศัยเสียงร้อง และพยายามติดต่อเรียกการโจมตีทางอากาศ
ตอนนั้นเองที่เขารู้สึกตัวว่าตัวเองถูกยิงอีกนัดที่ขาขวา ถึงอย่างนั้นก็ตามเมื่อเฮลิคอปเตอร์ร่อนลงได้สำเร็จ รอยก็ยังคงยืนหยัดลากทหารทั้งที่บาดเจ็บและเสียชีวิตไปแล้วขึ้นเครื่อง ก่อนที่จะบอกให้นักบินบินไปหาทหารอีกกลุ่มโดยที่ตัวเองยิงสนับสนุนจากพื้น
วินาทีนั้น รอยเหลือบไปเห็นศพเพื่อนของเขาในบรรดากลุ่มทหารที่เหลือ และตัดสินใจเข้าไปเก็บรหัสวิทยุสัญญาณเรียกขานเพื่อไม่ให้ตกไปอยู่ในมือของศัตรู แต่มันก็ต้องแลกมาด้วยการที่เขาถูกยิงเข้าที่ท้องอีกหนึ่งนัด และโดนแรงระเบิดเข้าไปอีกหนึ่งลูก เมื่อตั้งสติได้ รอยก็พบว่าเฮลิคอปเตอร์ที่มากับเขาได้ถูกยิงตกไปแล้ว ทำให้เข้าต้องเปลี่ยนแผนไปดึงคนเจ็บออกมาและสู้กับทหาร NVA โดยอาศัยเพียงภาพเบลอๆ เสียง และการสนับสนุนจากการโจมตีทางอากาศ
ในช่วงเวลานี้รอยถูกยิงอีกหลายต่อหลายครั้ง ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ยังคงชี้เป้าให้การโจมตีทางอากาศต่อไป แม้ว่าเขาจะหมดสติเพราะขาดเลือดเป็นช่วงๆ ก็ตาม เท่านั้นยังไม่พอในตอนที่เฮลิคอปเตอร์อีกลำมาถึง แทนที่รอยจะขึ้นเครื่องเพื่อหนีหรือทำการรักษา เขากลับค่อยๆ โยนเพื่อนขึ้นไปบนเครื่องทีละคนทีละคนก่อน จนทำให้มีทหารเวียดนามเกือบจะแทงเขาสำเร็จด้วยดาบปลายปืน ถ้าไม่ติดที่ว่าเจ้าตัวเอามือกำมีดปลายปืนไว้ได้สำเร็จเสียก่อน
รอยพยายามบอกให้เพื่อนช่วยยิงทหารเวียดนามให้แต่ก็ต้องพบว่าเพื่อนคนยังกล่าวถูกฉีดมอร์ฟีนมากเกินไปจนไม่อยู่ในสภาพที่ทำอะไรได้อีกแล้ว ดังนั้นสุดท้ายรอยจึงต้องจัดการทหารที่เข้ามาทำร้ายด้วยมีดของตัวเองแทน แถมกว่าที่เขาจะนำทหารที่เหลือขึ้นเครื่องได้ เจ้าตัวก็ต้องยิงต่อสู้และสังหารทหารเวียดนามไปอีกสองนาย ทั้งๆ ที่ในเวลานั้นเขาแทบจะมองอะไรไม่เห็นแล้ว
และก็เป็นในตอนที่เครื่องบินขึ้นและการหลบหนีสำเร็จนั่นเองที่รอยพบว่าแผลจากกระสุนที่ท้องของเขานั้นรุนแรงมากจนทำให้เครื่องในทะลักออกมาแล้ว และแม้ว่าเขาจะพยายามกดแผลไว้ด้วยมือ แต่สุดท้ายเขาก็ทนการเสียเลือดไม่ไหวจนสลบไป บาดแผลบนตัวที่มากมายของรอยทำให้ในตอนที่มาถึงโรงพยาบาล แทบทุกคนที่เห็นก็ล้วนแต่คิดว่าเขาคงจะตายไปแล้ว แต่ในตอนนั้นเองรอยที่เหนื่อยอ่อนสุดขีดก็ทำสิ่งเดียวที่เขาพอจะทำได้เพื่อบอกว่าตัวเองนั้นยังไม่ตาย นั่นคือการถุยน้ำลายที่มีแต่เลือดใส่หมอ
แน่นอนว่าวีรกรรมที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ย่อมทำให้ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่รอย จะถูกเสนอชื่อให้รับเหรียญแห่งเกียรติยศหลังจากนั้น แต่ด้วยสภาพของรอยในเวลาดูยังไงก็ไม่น่าจะรอดชีวิตได้อีกนาน ทางกองทัพจึงต้องเปลี่ยนรางวัลเป็นเหรียญกล้าหาญซึ่งมอบให้ได้ทันที เพื่อที่จะสามารถมอบรางวัลแก่ทหารในขณะที่ยังมีชีวิตได้ แต่รอยก็คือรอย เขานั้นไม่ใช่คนที่จะยอมตายกับบาดแผลแค่ 32 ที่ ดังนั้นเมื่อกองทัพเห็นว่าเขาน่าจะรอดชีวิตแน่ๆ พวกเขาจึงทำการส่งชื่อรอยไปรับเหรียญแห่งเกียรติยศกับประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกนอีกครั้ง โดยในตอนที่การมอบเหรียญเกิดขึ้นเรแกนก็ถึงกับพูดด้วยความทึ่งเลยว่า
“ถ้าเรื่องราววีรกรรมของเขาเป็นบทภาพยนตร์ คุณคงไม่เชื่อแน่ๆ ว่ามันเกิดขึ้นจริง”
ที่มา. https://www.warhistoryonline.com/instant-articles/benavidez-vietnam-carried-onfighting-x.html