เราต้องมองภาพการซื้อรถใหม่ว่า คือการลงทุนทั้งระบบ ไม่ใช่แค่รถ
หลายคนเวลาซื้อรถมักมองว่าเงินที่เราจ่ายไป ก็คือได้แค่รถกลับมา แต่เรื่องนี้คุณนาวิน ต้าร์ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ให้มุมมองว่าเราควรเปลี่ยนวิธีคิดในการซื้อรถเสียใหม่ครับ เพราะเมื่อเราใช้รถ เราไม่ได้ใช้แค่รถของเรา แต่เราต้องใช้ระบบถนน ระบบพลังงาน และอื่นๆ อีกมากมายเพื่อให้เราสามารถเดินทางจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งได้ ที่ผ่านมานอกจากราคาของตัวรถแล้ว เราจึงต้องเสียภาษีให้รัฐ เสียค่าทางด่วน เสียภาษีน้ำมัน และอื่นๆ เพื่อสนับสนุนระบบการเดินทางด้วย นอกจากนี้ยังมีค่าน้ำมัน ค่าบำรุงรักษารถ และยังมีค่าใช้จ่ายแฝงที่มองไม่เห็นคือค่าใช้จ่ายในการดูแลสิ่งแวดล้อม ที่รถยนต์ประเภทสันดาปภายในหรือรถใช้น้ำมันล้วนปล่อยมลพิษออกมา เมื่อมองภาพกว้างแบบนี้ ความคุ้มค่าของการใช้รถจึงอาจจะเปลี่ยนไป เพราะทั้งหมดทั้งมวลนี้คือราคาที่เราต้องจ่ายจริงๆ เมื่อใช้รถที่ไม่ใช่แค่ราคารถยนต์ครับ
ที่นี้เมื่อเปลี่ยนจากรถยนต์ที่ใช้น้ำมันมาใช้เป็นรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง NISSAN LEAF ความคุ้มค่าของการใช้รถก็เปลี่ยนไป ค่าใช้จ่ายในระหว่างการใช้งานก็ลดลง ทั้งค่าเชื้อเพลิงที่กลายเป็นค่าไฟฟ้าซึ่งถูกกว่าน้ำมันแทน รวมถึงค่าบำรุงรักษาต่างๆ ที่รถยนต์ไฟฟ้าจ่ายน้อยกว่ารถใช้น้ำมันมากๆ เพราะไม่มีน้ำมันเครื่อง ไม่ต้องดูแลเครื่องยนต์ ระบบเกียร์ก็ไม่ซับซ้อน ที่สำคัญคือรถยนต์ไฟฟ้าสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในภาพรวมของการดูแลสิ่งแวดล้อมลงไปได้ เพราะรถยนต์แบบนี้ไม่มีการปล่อยมลภาวะออกมาในระหว่างการขับขี่เลย ค่าใช้จ่ายในการชาร์จไฟฟ้าที่บ้านแต่ละครั้งก็ถูกกว่าค่าน้ำมันเชื้อเพลง
แล้วเรื่องมลพิษจากโรงไฟฟ้าและแบตเตอรี่ล่ะ
หลายคนคงมีคำถามว่าสุดท้ายรถยนต์ไฟฟ้าก็ไม่ได้ทำให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้นเท่าไหร่รึเปล่า เพราะสุดท้ายมันก็ยังต้องใช้พลังงานจากโรงไฟฟ้าอยู่ดี ซึ่งก็ต้องมีการเผาเชื้อเพลิงเพื่อนำไปปั่นไฟ คำตอบของเรื่องนี้เราอาจบอกได้ว่าจริงแต่ไม่ทั้งหมดครับ เพราะ
- แหล่งที่มาของไฟฟ้านั้นมีหลายแหล่ง เราไม่ได้ไฟฟ้าจากการเผาถ่านหินหรือเชื้อเพลิงอย่างเดียว แต่ไฟฟ้าอาจมาจากพลังงานที่สะอาดกว่าเช่น พลังน้ำ ลม แสงอาทิตย์ก็ได้
- โรงไฟฟ้าขนาดใหญ่มีประสิทธิภาพในการเปลี่ยนเชื้อเพลิงเป็นพลังงานมากกว่าเครื่องยนต์เล็กๆ ในรถยนต์
- โรงไฟฟ้าต้องได้รับการตรวจสอบ และมีมาตรฐานในการปล่อยมลภาวะไม่ให้มากเกินไปอยู่แล้ว โดยมีการลงทุนทำระบบดักจับสิ่งอันตรายต่างๆ ก่อนที่จะออกจากโรงไฟฟ้า
ซึ่งสำหรับในประเทศไทยเอง การไฟฟ้าทั้งส่วนภูมิภาคและนครหลวง ก็มีแผนงานพัฒนาเครือข่ายไฟฟ้าเพื่อรองรับการใช้รถยนต์ไฟฟ้าอยู่ตลอด เพื่อให้ระบบสามารถรองรับการใช้กำลังไฟปริมาณสูงเมื่อถึงเวลาที่คนไทยใช้รถยนต์ไฟฟ้ากันเยอะๆ
นอกจากนี้ในส่วนของแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ในรถยนต์ไฟฟ้า จริงอยู่ว่าแบตเตอรี่ทำมาจากโลหะหนักมากมาย แต่ถ้าเป็นแบตเตอรี่ขนาดใหญ่มากๆ อย่างที่ใช้ในรถยนต์ไฟฟ้า เราคงไม่ถอดทิ้งขยะมั่วซั่วได้แน่ สุดท้ายแบตเตอรี่ของรถยนต์ไฟฟ้าส่วนใหญ่ก็ต้องนำไปผ่านกระบวนการรีไซเคิลเพื่อนำกลับไปใช้ใหม่อยู่ดีครับ
นิสสัน มีกระบวนการจัดการแบตเตอรี่ที่ได้มาตรฐาน
รายละเอียด NISSAN LEAF รถยนต์ไฟฟ้าไร้มลพิษ (Zero Emission)
สำหรับใครที่ยังไม่คุ้นเคยกับ NISSAN LEAF เราสรุปข้อมูลเกี่ยวกับรถคันนี้มาให้แล้วครับ
- NISSAN LEAF เป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% ที่ขายดีที่สุดในโลก* สีที่จำหน่ายในไทยคือสีแบบทูโทน ภายใต้ตัวถังรถ สีขาว Brilliant White Pearl หลังคาสีดำ Super Black อันนี้จะมีคำอธิบายหมายเหตุไว้ตรงไหนมั้ย
กระจังโครเมี่ยมดีไซน์ V-Motion ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของรถ Nissan
- ไฟหน้าแอลอีดีโปรเจกเตอร์แบบคู่ ข้างละ 2 ดวง รวม 2 ข้างเป็น 4 ดวง พร้อมไฟ daytime running light ด้วย ติดตลอดเวลา ตอบโจทย์ทั้งเรื่องของดีไซน์สวยงามเพื่อความสวยงามและเพิ่มวิสัยทัศน์ในการมองเห็น และเพิ่มความปลอดภัย
ล้ออัลลอย 17 นิ้ว ดีไซน์สวย
- มอเตอร์ให้กำลังสูงสุด 110 kW (150 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 320 นิวตันเมตร (0-100 kmh 7.9 วินาที)
- กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว
- ด้านหลังไฟ LED รูปทรงบูมเมอแรง
- เปิดกระโปรงหลัง พบกับห้องเก็บสัมภาระจุ 435 ลิตร แล้วเบาะหลังนี้พับลงไปได้แบบ 60:40 เพื่อเพิ่มพื้นที่จุของนะครับ
- แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนความจุสูงถึง 40 kWh (ทางนิสสัน รับประกันอายุแบตเตอรี่ 8 ปี หรือ 160,000 km* และรับประกันระบบไฟฟ้า 5 ปี หรือ 100,000 km. แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน)* รับประกันอายุความคงทน และประสิทธิภาพการใช้งาน คุณภาพระดับสูงของแบตเตอรีลิเธียมไอออน
- มีระบบกล้องอัจฉริยะรอบคัน INTELLIGENT AROUND VIEW MONITOR หรือ IAVM ช่วยให้มองเห็นได้ทุกจุดรอบคัน ผ่านกล้อง 4 ตัวรอบคัน มารวมเป็นภาพเดียว แสดงผลเป็นภาพมุมสูงผ่านหน้าจอบริเวณคอนโซลหน้า โดยทำงานร่วมกับเทคโนโลยีตรวจจับและส่งสัญญาณเตือนวัตถุและบุคคลที่เคลื่อนไหวจากกล้องรอบคัน หรือ Moving Object Detection เพื่อความปลอดภัยยิ่งขึ้น
- รถคันนี้ไม่มีท่อไอเสีย ไม่ปล่อยมลพิษ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
- รถเงียบมาก ไร้เสียงรบกวนด้วยการผสานการออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ พร้อมการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้าที่เงียบ และฉนวนที่ช่วยดูดซับเสียงทุกจุดรอบคัน
- ตกแต่งภายในดูเรียบหรูลุค Sport เบาะหนังก็สีดำเดินด้ายสีน้ำเงินด้วย
- ระบบ e-Pedal ระบบคันเร่งอัจฉริยะแบบใหม่ที่แค่ผ่อนคันเร่งรถก็ชะลอความเร็วลง โดยไม่ต้องเหยียบแป้นเบรก ขับสนุก พอถอนเท้ารถก็ชะลอความเร็วลง พอลองเอาเท้าออก รถก็หยุดเลย ช่วยให้ขับขี่ได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องสลับเท้าไปมาระหว่างคันเร่งและแป้นเบรก จึงช่วยลดความเมื่อยล้าในขณะรถติด ช่วยให้การออกตัวและหยุดรถบนทางลาดชันทำได้ง่ายขึ้น
- ความปลอดภัยของ NISSAN LEAF ใส่มาเต็มนะครับ นอกจากระบบพื้นฐานที่มีอย่าง ABS และถุงลมนิรภัย SRS 6 จุดทั่วคัน แล้วยังมี FEB หรือ Forward Emergency Braking ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัจฉริยะ โดยวิเคราะห์ระยะห่างและความเร็วจากรถคันหน้าด้วยเรดาร์ และชะลอความเร็วให้เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน ลดความเสียหายให้ลดลงด้วย โดยทำงานร่วมกับระบบเทคโนโลยีช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์ด้านหน้าขณะขับขี่ หรือ FCW
- หัวชาร์จของ NISSAN LEAF สำหรับการชาร์จไฟแบบธรรมดา จะเป็นแบบ Type 1 โดยชาร์จผ่านสายชาร์จไฟบ้าน EVSE Cable ชนิด Type 1 และรองรับการชาร์จไฟ แบบ Type 2 ผ่านสายแปลง จากชาร์จพอร์ต Type 2ไป Type 1 ที่แถมมาให้กับรถ ซึ่งช่องนี้ ยังรองรับการชาร์จแบบ Double Speed Charge ผ่านเครื่องชาร์จไฟฟ้า Wall box Charger โดยจะใช้เวลาชาร์จเต็มที่ 6 ชั่วโมง* ส่วนการชาร์จผ่านปลั้กไฟบ้านธรรมดาจะใช้เวลาชาร์จประมาณ 12 ชั่วโมง* แต่การชาร์จที่เร็วที่สุด หรือ Quick charge จะทำผ่านหัวชาร์จแบบCHAdeMO ใช้เวลาชาร์จไฟ 40 นาทีได้ 80%** และการชาร์จไฟเต็ม 1 ครั้ง วิ่งได้ไกล 311 กิโลเมตร***
*เวลาการชาร์จโดยประมาณ ขึ้นอยู่กับกำลังไฟของเครื่องชาร์จไฟฟ้า ขนาดแบตเตอรี และสเปคของรถเป็นต้น
**การชาร์จจาก 0-80% ของความจุ ขึ้นอยู่กับความจุแบตเตอรีและระยะทาง
*** จากการประเมินตามมาตรฐาน NEDC หรือมาตรฐานการทดสอบความประหยัดน้ำมันและมลพิษของยุโรป
สำหรับใครที่สนใจ ทดลองขับได้แล้ววันนี้ที่โชว์รูมนิสสันทั่วประเทศ หรือติดตามข่าวสารได้ที่ Fanpage NISSAN Thailand หรือคลิกดูข้อมูลที่เว็บไซต์ https://www.nissan.co.th/vehicles/new-vehicles/leaf.html