Precious :
Based on the Novel Push by Sapphire
ชีวิตบัดซบ หนูท้องกับพ่อมีลูกด้วยกัน 2 คน
จากคำโปรยในเอ็นทรี่นี้ เชื่อว่าทุกคนที่คลิกเข้ามาคงต้องการความกระจ่างจากข้อความที่ว่า “หนูท้องกับพ่อมีลูกกัน 2 คน” มันเป็นอย่างไรคือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในสังคมอย่างนั้นหรือ
ข้อ ความดังกล่าวคือสิ่งแรกที่ทำให้ผมได้รู้จักหนังเรื่อง Precious: Based on the Novel Push by Sapphire หนังที่ดัด แปลงจากบทประพันธ์ของแซปไฟร์ในปี 1996 เรื่อง Push ที่ไปกวาดรางวัลมาแล้วทุกเวทีไม่ว่า ออสการ์ ลูกโลกทองคำ และเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้คว้ารางวัลขวัญใจมหาชนจาก เทศกาลภาพยนตร์โตรอนโตและซันแดนซ์ในปีเดียวกัน ผมตั้งใจว่าต้องดูหนังเรื่องนี้ให้ได้ หลังจากได้แผ่นดีวีดีมาดูแล้วต้องบอกว่าชีวิตของพรีเชียสตัวละครหลักของหนัง เรื่องนี้ มันบัดซบ จริงๆ เลย
Precious- Based on the Novel Push by Sapphire Trailer
ความบัดซบของ ชีวิต พรีเชียส สาวอ้วนดำวัย 16 ที่อาศัยในย่านฮาเร็ม นิวยอร์ค เริ่มตั้งแต่เด็กที่มักถูกแม่ทำร้ายร่างกาย ตบตีอยู่เสมอๆ และยังถูกพ่อข่มขืนจนมีลูกสาวที่เป็นเด็กออทิสติก ด้วยกันหนึ่งคนขณะที่เธอมีอายุเพียง 12 ขวบเท่านั้น โดยมียายเป็นผู้รับเลี้ยงดูแล ทุกการกระทำระหว่างพ่อกับพรีเชียสแม่ของเธอรับรู้โดยตลอด และในบางครั้งก็ยังแอบเฝ้ามองการกระทำของคนทั้งสองขณะมีเพศสัมพันธ์กันอีก ด้วย แต่ที่ซ้ำร้ายกว่านั้นพรีเชียสยังต้องคอยช่วยบำบัดความใคร่ทางเพศให้กับแม่ หากวันใดเธอมีอารมณ์ความต้องการขึ้นมา (หนังเสนอฉากนี้เป็นนัยเท่านั้นช่วงต้นเรื่อง แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดเหมือนในหนังสือบรรยายไว้ )
พรีเชียสเป็นเด็กที่อ่านหนังสือไม่ออกแต่มี ทักษะด้านการคำนวณ เวลาอยู่ในชั้นเรียนเธอมักจะนั่งอยู่หลังห้องโดยไม่พูดคุยกับใครและไม่แสดง ความคิดเห็นใดๆในชั้นเรียน เธอจะเฝ้ามองอาจารย์หนุ่มหน้าชั้นเรียนและคิดไปว่าอาจารย์กำลังแอบชอบเธอ อยู่ แล้ววันหนึ่งชีวิตของพรีเชียสต้องพลิกผันเมื่อทางโรงเรียนรู้ว่าเธอกำลัง ตั้งทั้งลูกคนที่ 2 กับพ่อ เธอถูกขับออกจากโรงเรียน แต่โชคยังดีผู้อำนวยการแนะนำให้เธอไปเรียนในโรงเรียนทางเลือกที่คล้ายกับ โรงเรียนการศึกษานอกโรงเรียนในบ้านเรา ที่นั่นพรีเชียสได้พบกับครูเรนซึ่งเปรียบเหมือนแสงสว่างที่เข้ามาจุดประกาย ในชีวิตเธอ ครูเรนได้หยิบยื่นกำลังใจข้อแนะนำต่างๆให้เธอมีชีวิตอยู่และสู้ต่อไป เธอตัดสินใจออกจากบ้านเดิมมาอาศัยอยู่กับครูเรนเป็นการชั่วคราว
ครูเรนสอนให้พรี เชียสให้อ่านออกเขียนได้ รู้จักการบันทึกเรื่องราวของตัวเอง กล้าที่จะแสดงความคิดเห็นในห้องเรียนและไม่ใช่เด็กหลังห้องแบบเดิมอีกต่อไป ชีวิตของพรีเชียสน่าจะดีขึ้น แต่ความบัดซบของชีวิตมันไม่ได้จบเพียงแค่นั้น เมื่อแม่ต้องการให้พรีเชียสกลับมาอยู่บ้านเหมือนเดิม โดยแจ้งความจำนงผ่านนักสังคมสงเคราะห์ที่ให้เงินสงเคราะห์กับครอบครัวเธอ อยู่
ฉากการเผชิญหน้ากัน ของแม่ลูกและนักสังคมสงเคราะห์ตอนท้ายเรื่องเป็นเหมือนการระเบิดความในใจของ แม่ที่มีต่อพรีเชียส ชนิดที่คนดูต้องประหลาดใจอย่างยิ่งกับทัศนคติที่แม่หนึ่งคนจะมีกับลูกตัวเอง ได้มากมายขนาดนี้เชียวหรือ และจากการพูดคุยในวันนั้นพรีเชียสก็เลือกที่จะหันชีวิตให้กับแม่ของเธอโดย ไม่คิดจะหวนกลับไปอีก เธอพร้อมก้าวเดินสู้ชีวิตต่อไปกับลูกน้อยอย่างเด็ดเดี่ยว โดยมีเหล่าผองเพื่อนในชั้นเรียนและครูเรนเป็นกำลังใจ แม้ว่าเธอต้องเผชิญกับโรคร้ายที่กำลังคุกคามชีวิตเธออยู่ทุกขณะก็ตาม
ด้วยเนื้อหาหนัง ที่เข้มข้น หนักอึ้งและเครียดพอสมควร ทั้งผู้กำกับ ลี แดเนียลส์ กำกับหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สอง และผู้เขียนบท เจฟฟรีย์ เอส เฟลตเชอร์ เขียนบทหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก เลือกวิธีการนำเสนอไม่ให้หนังหดหู่มากนัก ทุกครั้งที่พรีเชียสต้องเผชิญปัญหาชีวิต ถูกทำร้ายทางร่ายกายและจิตใจ
ผู้กำกับจะตัดภาพในจินตนาการที่เธอฝันว่า ตัวเองเป็นคนดัง นักร้อง นักแสดง นางแบบ ที่ใครๆต่างชื่นชมเข้ามา เพื่อลดโทนของหนังไม่ให้ดูโศกเศร้าจนเกินไป บางภาพอาจทำให้คนดูแอบอมยิ้มเล็กๆกับความน่ารักของพรีเชียส แต่พอนึกได้ว่ากำลังยิ้มเยาะกับชีวิตที่สุดแสนรันทดของเด็กสาวคนหนึ่งอยู่คน ดูก็ต้องหยุดพฤติกรรมนั้นทันที ผมชื่นชมวิธีการนำเสนอในลักษณะนี้เพราะไม่เป็นการบีบคั้นอารมณ์คนดูให้หดหู่ จนเกินไป
แต่พอถึงช่วงท้ายของหนังภาพจินตนาการเหล่า นั้นจะไม่มีให้เห็นเลย ผู้กำกับต้องการให้คนดูได้รับรู้อารมณ์ความรู้สึกจริงๆที่ตัวละครระเบิด อารมณ์ออกมาหลังจากเก็บกดมันไว้อยู่นาน
ฉาก ร้องไห้ของพรีเชียสในห้องเรียนหลังจากชีวิตเดินมาถึงจุดต่ำสุด เธอหมดหวังท้อแท้ไม่มีแม้เรี่ยวแรงที่จะเขียนตัวอักษรใดๆลงบนสมุดบันทึก ครูแรนต้องปลุกเรียกพละกำลังในตัวพรีเชียสให้ตื่นขึ้นแล้วลุกขึ้นสู้ชีวิต ต่อไปแม้ต้องเผชิญกับปัญหาเลวร้ายเพียงใดก็ตาม ผมเชื่อว่าใครที่ดูฉากนี้คงต้องเสียน้ำตาให้กับเด็กสาวอ้วนดำคนนี้อย่างแน่ นอน
อีกฉากหนึ่งที่เรียกอารมณ์คนดูได้ไม่แพ้กัน แต่ไม่ใช่อารมณ์โศกเศร้าแต่เป็นอารมณ์ฉงน
สงสัย ประหลาดใจ เมื่อแม่ของพรีเชียสต้องไปพบนักสังคมสงเคราะห์เพื่อถามถึงที่มาความสัมพันธ์ ระหว่างพ่อกับลูกสาวว่าเธอรับรู้หรือไม่ คำตอบที่ได้รับผมเชื่อว่าคนดูทุกคนต้องเกิดคำถามในใจ ว่าเหตุใดแม่ถึงคิดกับลูกของตัวเองแบบนั้น
หากย้อน กลับไปตั้งแต่ต้นเรื่องจะเห็นว่าหนังพยายามสอดแทรกเรื่องการศึกษาผ่านตัวละ ครอย่างพรีเชียส จากเด็กที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ พัฒนาไปสู่เด็กที่สามารถบันทึกเรื่องราวของตัวเองในแต่ละวัน จนกระทั่งสามารถสอบผ่านระดับชั้นมัธยมโดยมีความมุ่งมั่นจะศึกษาต่อถึงขั้น มหาวิทยาลัย เราจะเห็นพัฒนาการด้านความคิดการแสดงออกของพรีเชียสจะเปลี่ยนไปตามการศึกษา ที่เพิ่มขึ้น จนที่สุดแล้วเธอก็กล้าที่จะใช้ชีวิตได้โดยลำพัง ขณะที่แม่เธอกลับหวาดกลัวกับการใช้ชีวิตอย่างเดียวดายเมื่อสามีของเธอเสีย ชีวิตลง
ดัง นั้นการศึกษาคงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้แม่หนึ่งคนสามารถคิดได้ว่า
“ลูกกำลังจะแย่งสามีของตัวเองไปจากเธอ”
ขณะ ลูกก็ถูกพ่อบอกอยู่เสมอว่า
“พ่อ จะเลิกกับแม่แล้วมาใช้ชีวิตอยู่กับลูก”
แกบ โบเรย์ ซิดิเบกับการแสดงครั้งแรกในบทพรีเชียส ด้วยรูปลักษณ์หน้าตาเธอเหมาะกับบทนี้มากๆ เธอสามารถทำให้คนดูหลงรักเอาใจช่วยตัวละครตัวนี้ ทั้งที่บางมุมเธออาจจะดูไม่น่ามองเท่าไหร่ก็ตาม แต่เธอสามารถถ่ายอารมณ์ที่มีทั้งโกรธ โศก เศร้า เหงาและรักได้เป็นอย่างดี จนได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงนักแสดงหญิงยอดเยี่ยมบทเวทีออสการ์ และลูกโลกทองคำ แต่พลาดให้กับ แซนดร้า บลูล็อก ใน The Blind Side
ขณะที่ โม’นิก กับบทแม่ที่มีปมอยู่ในใจกับลูกตัวเอง เพราะฉากสุดท้ายของหนังที่เธอระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างสุดฝีมือ ส่งผลให้เธอได้รับรางวัลนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมบนเวทีออสการ์, ลูกโลกทองคำและอีกหลายๆเวทีในปีที่ผ่านมา ส่วนมารายห์ แครีกับบทนักสังคมสงเคราะห์ที่หลายคนอาจจะจำเธอไม่ได้หากไม่มีใครบอก เพราะเธอสลัดภาพแทบไม่เหลือความเป็นซุปเปอร์สตาร์อยู่เลยเพื่อมารับบทนี้ได้ อย่างเป็นธรรมชาติ
การศึกษามันคือ สิ่งสำคัญเบื้องต้นที่ใช้เป็นเครื่องมือในการยกระดับจิตสำนึกของคน ให้รู้ผิดรู้ชอบ รู้ควรไม่ควรในการกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด การที่พ่อหนึ่งคนสามารถมีอะไรกับลูกสาวตัวเองได้และแม่หนึ่งคนสามารถคิดว่า ลูกสาวกำลังจะแย่งสามีตัวเองไป มันสะท้อนให้เห็นถึงความเหลวแหลกของคนในสังคมได้เป็นอย่างดี
ผมเชื่อว่าการศึกษาน่าจะมีส่วนช่วยในการยก ระดับจิตสำนึกของคนให้สูงขึ้น เพราะคนไม่ใช่สัตว์เดรัจฉานที่ปราศจากสมอง มันอยู่ที่ว่าคุณจะใช้สมองไปทำในสิ่งใด สิ่งที่เห็นตามข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ทุกวันนี้ มันคือพวกที่ใช้สมองไปทำในสิ่งที่เดรัจฉานทำ มันเหล่านั้นก็เลยเป็นได้แค่ เดรัจฉานคน ที่สุดแสนจะบัดซบไม่คู่ควรอยู่ในสังคมต่อไป ก็ได้แต่หวังว่าสักวันหนึ่งเมื่อการศึกษาเข้าไปถึงทุกหย่อมหญ้า บนหน้าหนังสือพิมพ์คงไม่มีข่าวของพวก เดรัจฉานคน เหล่านี้ให้อ่านอีกต่อไป
การศึกษามัน คือ สิ่งสำคัญเบื้องต้นที่ใช้เป็นเครื่องมือในการยกระดับจิตสำนึกของคน ให้รู้ผิดรู้ชอบ รู้ควรไม่ควรในการกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด