นัก โบราณคดี ไขปริศนาซากมัมมี่โบราณอายุกว่า 3,200 ปี อยู่ในสภาพอ้าปากร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวด ทรมานที่สุด ในที่สุดพบความลับ ขณะมีชีวิตเป็นเจ้าชายอียิปต์ ผู้วางแผนฆ่าพ่อ
ขณะเดียวกันทีมงาน ขุดค้นชุดแรกที่เข้าไปเปิดสุสานมัมมี่เจ้าชายทรพี ถูกคำสาปแช่งที่แอบแฝงอยู่ทำให้มีอันเป็นไปต่างๆนาๆ
ครั้งแรกเมื่อ ขุดพบมัมี่ประหลาด ซึ่งนอนอยู่ในท่าถูกทัณฑ์ทรมาน ไม่รู้ว่าเป็นใครจึงประกาศชื่อเป็น “อันโนน แมน อี.” หรือบุคคลไม่รู้ชื่อ ผู้ชายอักษร อี. ซึ่งต่อมานักโบราณคดีผู้ทำวิจัย พากันเรียกว่า “มัมมี่โหยหวน” หรือ มัมมี่แสยะ!
.
.
ย้อนอดีตไป เมื่อปี 1886 หรือ 123 ปีก่อน นักโบราณคดีจากยุโรป ได้ขุดพบมัมมี่โหยหวนที่บริเวณหุบผากษัตริย์ ซึ่งรู้จักกันดี สุสานหลวงของฟาโรห์อียิปต์หลายยุคหลายสมัย
เมื่อไม่อาจค้นหาประวัติ ที่มาได้ซากมัมมี่โหยหวน จึงถูกนำไปเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ กรุงไคโร ซึ่งเวลาผ่านไป 100 กว่าปี ก็ไม่มีใครสามารถหาคำอธิบายได้ว่าเหตุไฉน? มัมมี่ตนนี้จึงตายในสภาพทุกข์ทรมานเช่นนี้
จนกระทั่งเมื่อเร็วๆนี้ ได้มีนักโบราณคดี และนักอียิปต์ศึกษา ทำโครงการวิจัยมัมมี่โหยหวนอีกครั้ง คราวนี้ใช้อุปกรณ์ทันสมัย โดยเริ่มตั้งแต่ทำ “แคท สแกน” หรือสแกนซากมัมมี่ด้วยระบบคอมพิวเตอร์เพื่อค้นหาร่องรอยบาดแผลทำให้ตาย ก่อนถูกนำไปทำเป็นมัมมี่
ในจารึกกล่าวถึงเจ้าชายทรพี องค์หนึ่ง ชื่อเจ้าชายเพนเตเวเร่มกุฎราชกุมาร ในรัชสมัยฟาโรห์ รามเลส ที่ 3 ซึ่งได้คบคิดกับมารดา หาทางลอบปลงพระชนม์ฟาโรห์รามเลสที่ 3 เพื่อขึ้นครองราชย์แทน
แต่กรรมตามทันเสียก่อน แผนแตก ถูกจับได้ทั้งแม่และลูก ถูกตัดสินโทษประหารชีวิต
นักอียิปต์ศึกษา หัวหน้าทีมงานวิจัยศึกษา ล่าสุดศาสตราจารย์ ซาฮี ฮาวอสส์ จากกรมโบราณคดีศึกษาอียิปต์กล่าวว่า “เราพบว่าซากมัมมี่เจ้าชาย ถูกห่อเอาไว้ด้วยหนังแกะ ไม่ใช่บรจุไว้ในโลงหินตามประเพณีอียิปต์โบราณ”
“การ กระทำเช่นนี้บ่งบอกให้รู้ว่ามัมมี่ตนนี้เมื่อครั้งมีชีวิตอยู่เป็นคนประพฤติ ชั่วอย่างร้ายกาจ เป็นคนบาปที่ไม่ควรได้รับดกียรติใดๆทั้งสิ้น”
เราตรวจพบคราบยาพิษในเนื้อเยื่อ แสดงว่าถูกบังคับกรอกยาพิษใส่ปากจนตาย อย่างทุกข์ทรมาน จากนั้นการทำศพเป็นมัมมี่ก็ทำอย่างลวกๆรีบร้อน...อาจเป็นว่าผู้ทำมัมมี่ให้ เป็นผู้ที่ยังรักเคารพต่อเจ้าชายอยู่ แต่ต้องรีบทำมัมมี่ให้เสร็จก่อนจะถูกจับได้แล้วมีโทษประหารชีวิตทั้งโครต” ศาสตราจารย์ซาฮีกล่าว
ยกตัวอย่างที่เห็ชัดเจนที่สุด คือการใช้ตะขอล้วงเนื้อเยื่อสมองออกทางรูจมูก และอวัยวะภายในออกจากช่องท้อง ทำได้ไม่หมดจด จากนั้นก็รีบนำน้ำยางไม้ใส่เข้าแทนที่ เพื่อรักษาสภาพศพเอาไว้ ตามความเชื่อว่าเมื่อดวงวิญญาณค้นหาร่างกายพบก็จะฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาใหม่
จาก การทำไม่เรียบร้อยนี่เอง ทำให้ยางไม้เรซินไหลมาจุกที่ลำคอไปยึดรัดกรามเอาไว้ ทำให้มัมมี่อยู่ในสภาพอ้าปาก
ข้อสันนิษฐานที่ 2 อาจเป็นเพราะการใช้ยาพิษฆ่าเจ้าชายจงใจใช้ยาพิษที่รุนแรง ทำให้ก่อนตายเจ็บปวดอย่างสุดทรมาน
“จากจารึกเราพบข้อมูลทางประวัติ ศาสตร์อีกว่าการตายของเจ้าชายเพนเตเวเร่ ได้จุดชนวนความขัดแย้งเกิดขึ้นภายในราชสำนักฟาโรห์รามเลสที่ 3” นักโบราณคดีโธมัส บาร์เนส ผู้วิจัยร่วมกล่าว “โดยราชโองการของฟาโรห์ผู้เป็นพ่อ สั่งห้ามทำพิธีกรรมใดเพื่อมิให้เจ้าชายได้ผุดได้เกิดอีกต่อไป ให้คงอยู่เป็นมัมมี่ที่น่าเกลียดตลอดไป”
“แต่ยังมีกลุ่มคนที่จงรัก ภักดี ลักลอบไปประกอบพอธีศพให้อย่างลับๆ แล้วแอบจารึกความเป็นมาเอาไว้ขณะที่ราชบัณฑิตประจำราชสำนัก ได้รับคำสั่งลบเรื่องราวเจ้าชายองค์นี้ออกจากหน้าประวัติศาสตร์ทั้งหมด”
แต่ยังมี กลุ่มคนที่จงรักภักดี ลักลอบไปประกอบพอธีศพให้อย่างลับๆ แล้วแอบจารึกความเป็นมาเอาไว้ขณะที่ราชบัณฑิตประจำราชสำนัก ได้รับคำสั่งลบเรื่องราวเจ้าชายองค์นี้ออกจากหน้าประวัติศาสตร์ทั้งหมด”
“ขณะ เดียวกันพิธีฝังศพในสุสานลับ บรรดาขุนนางผู้จงรักภักดีต่อ 2 แม่ลูก ได้ให้หมอผีกำหนดคำสาปแช่งเอาไว้ ผู้ใดบังอาจมาขุดค้นเปิดสุสานแห่งนี้ขอให้มีอันเป็นไปต่างๆนานา”
ไม่ มีใครเชื่อว่า คำสาปแช่งจะมีจริง แต่ปรากฎว่านักศึกษาฝึกงาน ซึ่งมาช่วยงานการทำสแกนด้วยคอมพิวเตอร์ ต้องสัมผัสจับต้องซากมัมมี่เป็นบางครั้ง ได้ล้มป่วยด้วยโรคติดเชื้อมนกระแสเลือด ทำให้มือเน่า และตาเน่า”
ส่วน โปรแกรมเมอร์ผู้ทำหน้าที่สแกนมัมมี่ ด้วยระบบอัลตราซาวด์ จากคนหนุ่มอายุ 35 ปี ล้มป่วยด้วยโรคปวดหัวอย่างรุนแรง 3 สัปดาห์ต่อมา พบว่าเขามีเนื้องอกในสมอง ซึ่งหมอตรวจพบว่าก้อนเนื่องอกนี้เจริญเติบโตเร็วมาก ไม่ถึงเดือนโตเท่าหัวแม่มือ
รปภ.ผู้ทำหน้าที่ดูแลพิพิธภัณฑ์ ซึ่งเก้บรักษาซากมัมมี่โหยหวน ยืนยันว่าได้ยินเสียงร้องโหยหวนคนใกล้ตายแทบทุกคืน พร้อมกันนั้นประตูห้องใช้เก็บมัมมี่เจ้าชายทรพีก็เปิดปิดได้เองทั้งที่ล็อก กุญแจเรียบร้อย
ยังมีนักวิชาการอีก 2 คน ซึ่งนำเศษเนื้อเยื่อไปตรวจสอบล้มป่วยด้วยโรคโลหิตเป็นพิษ และเสียชวิตในเวลาต่อมา
น่าแปลก บุคคลระดับหัวหน้าโครงการ คือศาสตราจารย์ซาฮี และผู้ช่วยโครงการ โธมัส บาร์เนส กลับไม่เป้นอะไรเลย
ปัจจุบัน นักโบราณคดีทั้ง 2 คน ยังปฏิบัติหน้าที่ค้นหาความลับเกี่ยวกับมัมมี่โหยหวนต่อไป ซึ่งวงการภายในพิพิธภัณฑ์วิจารณ์กันว่า 2 คนนี้ อาจถูกคำสาปให้ดูแลซากมัมมี่ตลอดไป
ทางด้าน ศาสตราจารย์ซาฮ กล่าวกับนักข่าวว่า “ผมไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย ยังกินได้นอนหลับเป็นปกติ และผมตั้งใจว่าตลอดชีวิตที่เหลือ ผมขออุทิศเวลาทั้งหมดกับการค้นหาความลับมัมมี่เจ้าชายแพนเทเว่ต่อไป”
“ตรง นี้คิดอีกที ก็อาจเป็นคำสาปก็ได้นะ” ศาสตราจารย์ซาฮีกล่าวอย่างติดตลกขณะที่ลูกศิษย์บางคนบอกว่าบางครั้งอาจารย์ มีลักษณะเหมือนคนถูกผีสิง พูดจาไม่รู้เรื่อง แล้วชอบตะโกนคนเดียวว่า...
“ฆ่า กูทำไม? กูผิดอะไร?”