กรมทรัพยากรธรณีระบุว่า น้ำพุร้อน มี 5 ประเภท ดังนี้
1.น้ำพุร้อนทั่วไป (Simple Springs) อุณหภูมิสูงกว่า 25 องศาเซลเซียส ประกอบด้วย ธาตุคาร์บอน เกลือและแร่อื่นๆ น้อยกว่า 1 กรัม/ลิตร รักษาโรคปวดวิถีประสาท และโรคปวดข้อ และการอาบน้ำพุร้อนเป็นประจำจะช่วยในการฟื้นฟูสมรรถภาพ
2.น้ำพุร้อนคาร์บอเนต (Carbonate Springs) ประกอบด้วยธาตุคาร์บอนและแร่อื่นๆ น้อยกว่า 1 กรัม/ลิตร ลักษณะทั่วไปคล้ายกับประเภทแรก แต่มีปริมาณคาร์บอเนตสูงกว่า อุณหภูมิค่อนข้างต่ำ หรือเป็นพุน้ำเย็น รักษาโรคเกี่ยวกับหัวใจ ทำให้การไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น รักษาโรคประสาทและความผิดปกติของเพศหญิง
3.น้ำพุร้อนดินคาร์บอนหนัก (Heavy Carbon Soil Springs) ธาตุคาร์บอน และแร่อื่นๆ มากกว่า 1 กรัม/ลิตร รักษาโรคปวดข้อ โรคปวดวิถีประสาท โรคผิดปกติของผิวหนังเรื้อรัง การดื่มน้ำนี้ช่วยผ่อนคลายปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหารและอาการบวมหรืออักเสบของกระเพาะอาหาร
4.น้ำพุร้อนเกลือ (Salt Springs) ประกอบด้วยสารเคมีมากกว่าน้ำพุร้อนทั่วไป มีแร่ธาตุต่างๆ มากกว่า 1 กรัม/ลิตร ในกรณีที่น้ำประกอบด้วยเกลือระหว่าง 1-5 กรัม/ลิตร เรียกว่า น้ำพุเกลืออ่อน เกลือระหว่าง 5-10 กรัม/ลิตร เรียกว่า น้ำพุเกลือ และเกลือมากกว่า 10 กรัม/ลิตร เรียกว่า น้ำพุเกลือเข้มข้น และมีคุณสมบัติเก็บรักษาอุณหภูมิและความร้อนได้ดี เช่นเดียวกับน้ำพุร้อนดินคาร์บอเนต
5.น้ำพุร้อนเกลือ โซเดียม ไฮโดรเจน คาร์บอเนต (Saltine Sodium Hydrogen Carbonate Springs) น้ำพุเกลือที่มีส่วนประกอบของ โซเดียม ไฮโดรเจนคาร์บอเนต และอัลคาไลน์ เบส (Alkaline Base) เช่นเดียวกับ น้ำพุร้อนดินคาร์บอเนต
น้ำพุร้อนมีประโยชน์ต่อการอาบ แต่ควรแบ่งเวลาลงอาบเป็นคราว 2-3 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที คือชำระล้างทำความสะอาดร่างกาย 20 นาที และกายภาพบำบัดในน้ำอุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียส อีก 10 นาที ในกรณีที่อุณหภูมิน้อยกว่า 40 องศาเซลเซียส หรือเป็นน้ำอุ่นที่มีปริมาณของสารละลายแร่ธาตุต่างๆ น้อย อาจเพิ่มระยะเวลาให้นานขึ้น
น้ำพุร้อนไม่เพียงแต่จะประกอบด้วยสารละลายแร่ธาตุต่างๆ แต่ยังมีแรงดันซึ่งจะช่วยกระตุ้นสภาพของร่างกาย ควรปล่อยให้น้ำพุร้อนพยุงตัวให้ลอยขึ้นเหนือน้ำ ซึ่งจะทำให้ร่างกายปลอดโปร่ง และเชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นทำให้สภาวะแวดล้อมภายในมดลูกและช่องท้องดีขึ้น การอาบน้ำร้อนจะทำให้รูขุมขนเปิดกว้างออก เป็นการทำความสะอาดรูขุมขน และทำให้แร่ธาตุในน้ำพุร้อนไหลถ่ายเทเข้าไปในร่างกาย การอาบน้ำพุร้อนเป็นการทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า ลดความเครียด และทำให้เกิดความสมดุลในระบบประสาท
แต่เนื่องจาก บ่ออาบน้ำพุร้อนโดยทั่วไปเป็นบ่อสาธารณะ มีคนใช้บริการเป็นจำนวนมาก หลายคนคิดว่าเป็นการดีที่ควรทำความสะอาดร่างกายก่อนออกจากบ่อน้ำพุร้อน แต่การที่แร่ธาตุที่อยู่ในน้ำพุร้อนจะซึมผ่านรูขุมขนเข้าไปในร่างกายต้องใช้เวลา 6-7 ชั่วโมง ดังนั้น การชำระร่างกายก็เป็นการชำระเอาแร่ธาตุออกไปด้วย จึงควรชำระร่างกายด้วยน้ำสะอาดภายหลังจากอาบน้ำพุร้อนไปแล้ว 7 ชั่วโมง
ส่วนการบริโภค การดื่มน้ำพุร้อนก็มีประโยชน์เช่นกัน น้ำที่ประกอบด้วยแร่ธาตุต่างๆ จะกระตุ้นการทำงานของระบบการเผาผลาญอาหาร (metabolism) แต่การจะดื่มต้องมั่นใจว่าส่วนประกอบของแร่ธาตุต่างๆ ที่มีอยู่ในน้ำพุร้อนอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานน้ำดื่มตามประกาศกรมทรัพยากรธรณี หรือตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ภาชนะที่ใช้บรรจุน้ำพุร้อนตลอดจนก๊อกน้ำและท่อน้ำต้องถูกออกแบบมาอย่างดี ทั้งนี้ ควรดื่มทีละน้อยและใช้เวลา 30-50 นาที และควรดื่มระหว่างที่ท้องว่าง