วิมาน(Vimana )
เรื่องราวลึกลับนี้เริ่มขึ้น เมื่อจิตรกรรมและประติมากรรมในโบราณสถานหลายแห่งที่เป้นรูปแสดงถึงวัตถุ ประหลาดซึ่งมีลักษณะคล้ายยานบินหรือแม้กระทั้งยานอวกาศ
เป็นไปได้ไหมว่า ในอดีตนั้นเราเคยมียานที่บินได้ โดยมนุษย์จากนอกโลกเป็นผู้นำมา และเป็นที่กำเนิดยาน UFO??
หลักฐานชิ้นแรกในประวัติศาสตร์คือในสมัยพระเจ้า อโศกมหาราช(Ashoka) พระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของอินเดียมีคำร่ำลือว่าพระองค์เป็นผู้ริเริ่มก่อ ตั้งแหล่งวิทยาการ “สมาคมลับของบุรุษนิรนามทั้งเก้า”(Secret Society of the Nine Unknown Men) ซึ่งปราชญ์อินเดียในสมัยนั้นต่างกระหายที่จะเรียนรู้วิทยาการเหล่านี้ แต่พระเจ้าอโศกกลับงานวิทยาการต่างๆ ของพวกเขาเป็นความลับ เพราะกลัวว่าวิทยาการเหล่านั้นถ้าเผยแพร่ไปอาจเกิดเหตุนองเลือดขึ้นได้ เพราะพระองค์เองเคยใช้วิทยาการเหล่านั้นทำสงครามมาแล้ว พระองค์จึงเน้นทำนุบำรุงศาสนาพุทธแทน
“บุรุษนิรนามทั้งเก้า(The Nine Unknown Men) หมายถึงหนังสือเก้าเล่มที่พระเจ้าอโศกทรงนิพนธ์ขึ้นมา เล่มหนึ่งมีชื่อว่า “ความลับของแรงโน้มถ่วง(The Secrets of Gravitation) เป็นที่รู้จักกันดีในสมัยโบราณ เนื้อหาในหนังสือเป็นคนละแบบกับ “กฎของแรงโน้นถ่วงของนิวตัน” และหนังสือเก้าเล่มนี้อาจเก็บอยู่ในห้องสมุดที่ไหนสักแห่งในอินเดียหรือ ทิเบต(หรือแม้แต่ในอเมริกา)
เมื่อไม่นานมาแล้ว ชาวจีนได้ค้นพบแท่งหินอักขระจารึกเป้นภาษาสันสกฤตในเมืองลาศา(Lhasa) ในทิเบต และส่งแท่นหินเหล่านี้ไปศึกษาค้นคว้าที่มหาลับชานดริการ์ ดร.รูท เรย์นา อาจารย์ประจำมหาลัยกล่าวว่า แท่งหินอักขระพวกนี้บ่งบอกถึงวิธีการสร้างยานอวกาศที่สามารถเดินทางไป มาระหว่างดวงดาวได้!!
ส่วนวิธีการขับเคลื่อนนั้น ด็อกเตอร์เรย์นาอธิบายว่าจากอักขระว่า เป็นแรงต่อต้านโน้นถ่วง ในชื่อที่พวกเขาเรียกว่า ลากิมะ(Laghima) ซึ่งเป็นแรงที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน เกิดมาจากพลังจิตของมนุษย์ โดยมีหลักการว่า แรงเหวี่ยงหนีศูนย์กลาง(Centrifugak Force) จะมีกำลังมากพอที่สามารถต่อต้านแรงดึงดูดของโลกได้ และจากความรู้ทางฮินดูโบราณ(Hindu Yogis)แรงหรือ พลัง ลากิมะนี้สามารถยกมนุษย์ให้ลอยขึ้นฟ้าได้
ดร.เรย์ยังอธิบายอีกว่าสำหรับตัวเครื่องจักรหรือยานพาหนะนี้พวกเขา เรียกว่า “แอสทรา(Astras)” ซึ่งเป็นยานที่สามารถต่อต้านแรงดึงดูดของโลกและมีหลักฐานที่เกี่ยวกับ เทคโนโลยีชนิดนี้ว่ามีใช้กันในอินเดียสมัยโบราณหรือในสมัยที่ยังมีอาณาจักร ของพระรามอยู่ อาณาจักรของพระรามอยู่ อาณาจักรนี้ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของอินเดียและปากีสถาน ได้ก่อตั้งมานาน 15,000 ปีแล้วในทวีปอินเดียซึ่งตอนนั้นยังแยกออกมาจากทวีปเอเซียอยู่และดำรงมาควบ คู่กับอาณาจักรแอตแลนติสที่อยู่กลางมหาสมุทรแอนแลนติกมาก่อน
อาณาจักรพระรามปกครองโดย “สังฆราชาผู้สำเร็จ”(Enlightened Priest-Kings) เรียกชื่อเมืองหลวงทั้งเจ็ดเมืองว่า เมืองฤษีทั้งเจ็ด(The Seven Risni Cities)
ตามหลักฐานของชาวอินเดียโบราณ ผู้คนในสมัยนั้นใช้ยวดยานพาหนะที่สามารถบินได้ชื่อ วิมาน(Vimanas)
แท่งอักขระ ได้บรรยายรูปร่างลักษณะของยานวิมานว่า
“มันเป็นยานที่มีสองชั้น รูปร่างค่อนข้างกลม มีท่อไอเสียอยู่ด้านล่าง และในห้องผู้โดยสารด้านบนมีรูปร่างคล้ายโดม”
จากข้อความดังกล่าว ทำให้เราจิตนาการว่ามันคือจากบินหรือเปล่านี่!!
ยานวิมานบินด้วย “ความเร็วที่ยิ่งกว่าสายลม(Speed of The Wind)และมีเสียงที่ดังมาก ยานนี้มีรูปร่างที่ต่างๆ กันถึงสี่แบบ มีรูปร่างคล้ายกับจานบินบ้าง หรือไม่ก็มีรูปร่างคล้ายกระบอกยาวๆ บ้าง (หรือมีรูปร่างคล้ายซิการ์ดังเช่น UFO)
ชาวอินเดียโบราณผลิตยานเหล่านี้ด้วยตัวพวกเขาเอง และพวกเขาได้เขียนวิธีควบคุมยานบินทั้งสี่แบบเหล่านี้ไว้ซะด้วย!!
ในปี ค.ศ.1875 มีการค้นพบหลักฐานเกี่ยวกับยานชนิดนี้ในวัดแห่งหนึ่งในอินเดีย เป็นหลักฐานที่มีอายุออยู่ในช่วงศตวรรษที่สี่ก่อนคริสต์ศักราช ในหลักฐานนั้นบ่บอกถึงวิธีการควบคุมยานวิมาน รวมถึงการบังคับเลี้ยว การระมัดระวังในการเดินทาง การป้องกันยานจากพายุและสายฟ้า และยังบอกวิธีการขับเคลื่อนโดยการใช้แสงอาทิตย์ที่คล้ายๆ กับ “แรงต่อต้านแรงโน้นถ่วง”
นอกจากนี้ หลักฐานชิ้นนี้ยังบอกวิธีการสร้างยานวิมานอย่างละเอียดถึงชิ้นส่วนของยาน 31 ชิ้น และวัสดุที่ใช้สร้างอีก 16 อย่าง ซึ่งวัสดุพวกนี้มีคุณสมบัติที่ดูดซับแสงและความร้อนได้ และนี่คงเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างยานที่สามารถขับเคลื่อนไปบนฟ้าได้
เป็นไปได้ว่ายานวิมานจะต้องใช้พลังบางอย่างที่สามารถต่อต้านแรงโน ถ่วงได้อย่างแน่นอน มันออกตัวในแนวดิ่งจากพื้นดิน และยังสามารถลอยอยู่บนฟ้าได้ราวกับเฮลิคอปเตอร์หรือยานบินในสมัยนี้ซะอีก
ในด้านพลังงานที่ใช้ขับเคลื่อนนั้นหลักฐานกล่าวไว้ว่า ยานวิมานใช้ของเหลวสีขาวอมเหลือง(Yellowish white liguid)เป็น สารประกอบที่คล้ายกัยปรอท ดูเหมือนว่าบางทีของเหลวสีขาวอมเหลืองนี้อาจเป็นสารที่คล้ายๆ กับน้ำมันเชื้อเพลิงและใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน หรือเครื่องยนต์ไอพ่นก็ได้
นอกเหนือจากหลักฐานแท่งอักขระแล้ว ก็ยังมีเนื้อเรื่องบางส่วนในมหากาพย์มหาภารตะกับรามายณะที่บรรยายลักษณะของ ยานวิมานว่ามีรูปร่างเป็นทรงกลมและขับเคลื่อนไปด้วยความเร็วยิ่งกว่าสายลม โดยใช้ปรอทเป็นตัวขับเคลื่อน การขับเคลื่อนคล้ายกับ UFO ไม่มีผิด เพราะสามารถเคลื่อนที่ขึ้นลงในแนวดิ่ง ถอยหลังหรือเดินเท้าได้ตามที่นักบินต้องการ และระบุว่ายานวิมานเป็นเครื่องจักรกลที่ทำด้วยเหล็ก เชื่อมติดกันอย่างดีและเรียบร้อยสามารถขับเคลื่อนไปได้โดยใช้ปรอทพ่นออกมา จากข้างหลังของตัวยานในรูปแบบของเปลวไฟคำราม(Roaring Flame)
นักวิทยาศาสตร์ชาว โซเวียตได้ค้นพบสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า “เครื่องมือในยุคโบราณที่ใช้ระบบนำร่องของยาน” ในถ้ำแห่งหนึ่งของประเทศตุรกีและในทะเลทรายโกบี มันเป็น “อุปกรร์” ที่เป้นรูปทรงครึ่งวงกลมที่ทำมาจากแก้วเหมือนถ้วบชาม โดยส่วนปลายสุดจะเรียวเล็กลงเป้นรูปกรวยและมีสารปรอทอยู่ภายในด้วย หลักฐานบ่ชี้ว่าชาวอินเดียในสมัยโบราณเคยใช้พาหนะนี้บินผ่านทั่วเอเชียมา แล้ว และอาจจะเคยบินผ่านทวีปแอตแลนตีสมาแล้วด้วย
นอกจากนี้ยังมีการกล่าวถึงรถศึกเพลิงกัลป์(Fiery Charot)ไว้ ในมหากาพย์มหาภารตยุทธว่า “ภีมะขับรถของเขาบินสู่ฟากฟ้า ลุกสว่างราวกับแสงอาทิตย์ เสียงดังราวกับฟ้าผ่า ราชรถที่อยู่บนฟ้า ลุกสว่างราวกับเปลวเพลิงที่ส่องสว่างฟากฟ้ายาวค่ำคืนของฤดูร้อน มันบินโฉบไปราวกับผีพุ่งใต้ ราวกับมีพระอาทิตย์สองดวงกำลังส่องแสงอยู่กระนั้น และสวรรค์ทั่วทั้งชั้นฟ้าก็สว่างขึ้นบัดดล”
คัมภีร์พระเวท(Vedas)หลัก ฐานทางฮนดูโบราณที่เก่าแก่ที่สุดก็คือกล่าวถึงยานวิมานว่า “อนิโหตระวิมาน(Ahnihotra-Vinana)เป็นยานที่มีสองเครื่องยนต์, วิมานรูปช้าง(Elephant VimanaX,มีเครื่องยนต์มากกว่านั้น และระบุชื่อยานวิมานรูปแบบอื่นๆ ที่ตั้งชื่อเป็นสัตว์ต่างๆ
ชาวแอตแลนติสเคยใช้ยานบินที่เรียกว่า “ไวลิกซี(Vaillxl)” มีรูปร่างคล้ายกับเครื่องบินในสมัยนี้ หลักฐานของอินเดียว่าคนทวีปนี้ต้องการจะใช้ยานของเขาเพื่อครอบครอง โลก(ติดตามได้ในเมื่อนาซีค้นหาแอตแลนตีส)
ยานของแอตแลนตีสเรียกว่า “อัศวิน(Asvins)และยังบอกว่าชาวแอ ตแลนตีสมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยกว่าของอินเดียและยังเป็นที่ชื่นชอบการทำ สงครามด้วย แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานที่บ่งบอกถึงยานบินวืมานก็ตาม แต่ก็มีข้อมูลบางอย่างอยู่บ้าง เช่นว่า รูปร่างคล้ายซิการ์และสามารถแทรกตัวลงใต้น้ำได้ดีพอๆ กับการบินผ่านชั้นบรรยากาศหรือนอกโลก
เอกลัล เกศนะ ผู้แต่งหนังสือชื่อ The Ultimate Frontier พิมพ์ขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1966 กล่าวว่าวิมานสร้างขึ้นครั้งแรกเมื่อ 20000ปีก่อน ในทวีปแอตแลนติส และส่วนใหญ่มีรูปร่างคล้ายๆ จานแบนๆ ภาคตัวยานตัดขวางรูปสี่เหลี่ยมคางหมู มีเครื่องยนต์รูปครึ่งวงกลมสามตัวติดตั้งอยู่ส่วนล่างของยาน...พวกเขาใช้ อุปกรณ์ต่อต้านแรงโน้นถ่วงที่ขับเคลื่อนโดยเครื่องยนต์ที่มีกำลังประมาณ 30,000แรงม้า
บาง ตอนในมหากาพย์รามายณะกับมหาภารตะก็เคยกล่าวถึงสงครามมหาประลัย ครั้งนั้นว่า
“อาวุธที่เคลื่อนที่เป็นวิถีโค้งปลดปล่อยพลังของเอกภพมาอย่างมหาศาล เปลวเพลิงและควันที่ลุกโซติช่วงราวกับมีพระอาทิตย์ส่องแสงอยู่นับพัน ดวง...พายุสายฟ้ากัมปนาท ผู้ส่งสารแห่งความตาย ที่นำมาซึ่งขี้เถ้า เผ่าพันธุ์ทั้งปวง........ซากศพกลับถูกเผาไหม้ จนจำหน้าตาไม่ได้ ผมและเล็บก็หลุดร่วงออกมาเครื่องดินเผาต่างๆ กลับแจกหักโดยไม่รู้สาเหตุ และนกก็เปลี่ยนเป็นสีขาว.........หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงอาหารทั้งหมดก็ เป็นพิษ เพื่อที่จะหนีออกมาจากไฟบรรลัยกัลป์นี้ ชะล้างตัวพวกเขาและเครื่องไม้เครื่องมือของพวกเขาด้วย
นี้เขาบรรยายมหาภารตะหรือบรรยายเรื่องมหาสงครามนิวเคลียร์นี้!!
และดูเหมือนว่ามหากาพย์มหาภารตะจะเป็นเรื่องจริงซะ ด้วย เพราะว่ามีการค้นพบอุโมงค์ในซากโบราณสถานในเมืองโมเฮ็นโจดาโร เมื่อศตวรรษที่แล้ว พวกเขาพบโครงกระดูกหลายศาก บางโครงนอนกุมมืดอยู่บนหน้าอกด้วยความกลัว ราวกับมีหายนะครั้งใหญ่ นอกจากนี้เขายังพบสารกัมมันตรังรังสีค้างอยู่ในตัวด้วย
เมื่ออาณาจักรแอตแลนตีสกับรามาล่มสลายด้วยอาวุธนิวเคลียร์หรืออะไร ก็เถอะ โลกก็เริ่มเข้าสู่ยุคหิน และประวัติศาสตร์สมัยใหม่ก็ดำเนินต่อไปอีกนับพันปี แต่ดูเหมือนว่าเรื่องราวของจานบินวิมานยุคโบราณจะไม่สูญหายไปไหน เพราะมันปรากฏอีกทีก็บันทึกของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์บุกโจมตีอินเดียเมื่อสอง พันปีก่อน มีบันทึกไว้ว่า ครั้งหนึ่งกองทัพของพระองค์ถูกโจมตีโดยโล่บินได้ที่ทำให้รถศึกและกองทัพของ พระองค์ต้องหวั่นเกรงไปตามกัน
ว่า กันว่า สมาคมลึกลับที่เรียกตัวเองว่า ภราดรภาพ(Brotherhoods) ได้เก็บยานวิมานกับยานไวลิกซี่ไว้ในถ้ำลึกลับที่ไหนสักแห่งในทิเบตหรือเจ กลางเอเซียรวมทั้งทะเลทรายลอปนอร์(Lop Nor Desert) ที่อยู่ทางทิศตะวันตกของจีน ที่มีคนกล่าวขวัญกันมากที่สุดว่าเป็นศูนย์กลางของลึกลับ UFO
ในช่วงปี ค.ศ.1930 พรรคนาซีของฮิตเลอร์เคยส่งนักวิทยาศาสตร์และนักโบราณคดีไปยังอินเดียเพื่อ เก็บเรื่องราวลึกลับและวิทยาการในสมัยโบราณที่พวกเขาเชื่อว่าเคยมีอยู่จริง พวกเขาเชื่อว่าอารยธรรมในอดีตนั้นมียานบินต่างๆ และรวมไปถึงอาวุธทำลายล้างที่พวกเขาเคยใช้ในอดีต
นักโบราณคดีเยอรมันได้ถอดความสันสกฤตโบราณและอักขระโบราณเหล่านี้ ว่ามีการบรรยายถึงเหตุการณ์ที่มียานบินผ่านอยู่บนฟ้า โดยมีผู้สังเกตการณ์อยู่ในทวีปอเมริกาใต้, อาฟริกา, แถบแปซิฟิก และอื่นๆ เกือบทั่วโลก และเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง นักวิทยาศาสตร์เหล่านี้ยังคงได้ศึกษาวิจัยต่อจากประเทศอเมริกาและโซเวียตให้ การสนับสนุน
นอก จากนี้ยังมีทีมงานของจีนก็เคยทำการสืบค้นอักขระภาษาสันสกฤตทั้งในทิเบตและ อินเดียเหมือนกัน และทางจีนเคยยืนยันแล้วว่าข้อมูลจากแหล่งโบราณเหล่านี้ได้ถูกนำมาใช้ใน โครงการสำรวจอวกาศของพวกเขา
ทาง ด้านอเมริกาเองก็เคยทำการสืบสวนในเรื่องนี้เมื่อปี ค.ศ.1947 เหมือนกัน แต่น่าเสียหลักฐานต่างๆถูกทำลายจนหมดสิ้น เช่นห้องสมุดอเล็กซานเดรีย(The Great Lirary of Alexandria)ที่ถูกทำลายเพราะกองทัพโรมัน และทำให้หลักฐานต่างๆ ถูกเผาทำลายจนหมด ซึ่งข้อมูลเหล่านี้อาจเป็นกุญแจไขความลับเรื่องยานบินยุคโบราณให้เราทราบได้
ปิดท้ายด้วย OOPARTS ที่เกี่ยวข้องกับยานบินยุคโบราณนะครับ
คาน ติดเพดานอายุกว่า 3000 ปี ในวิหารอาบิดอส โบราณทางใต้ของไคโร ของอียิปต์ บริเวณที่ราบสูงกิ ซา มีภาพประติมากรรมยานลึกลับปรากฏอยู่
และ นี้ก็อีกตัวอย่างหนึ่ง พบในเม็กซิโก
ภาพ จากตำนานของชาวสุเมเรี่ยน/บาบิโลเนียน เทพเจ้าพร้อมกับยานของพระองค์
อันนี้เป็นศิลปะ เม็กซิกันโบราณ เป็นภาพยานพาหนะของเทพเจ้าครับ
ถูกค้นพบเมื่อปี 1898 ในสุสานใกล้กับเมืองกี ซาซึ่งถูกประมาณการว่าสร้างเมื่อ 200 ปีก่อนคริสต กาล (บางเอกสารจะกล่าวว่า 2000 ปี แต่ที่จริงแล้ว 200 ปีนี่แหละค่ะ) ความยาวตลอดตัวประมาณ 14 เซนติเมตร ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธพันธ์กรุงไคโรค่ะ
ในครั้งแรกนักโบราณคดีลงความเห็นว่าเป็น เพียงงานฝีมือธรรมดาจึงถูกเก็บไว้ในห้องใต้ดินและไม่ได้รับความสนใจนัก หากภายหลังมีผู้เชี่ยวชาญด้านศาสตร์การบินชี้ว่าทรวดทรงและองศาของปีกตรงตาม หลักการทำปีกเครื่องบิน และยังมีผู้กล่าวด้วยว่าเครื่องบินรุ่นใหม่ล่าสุด (ในเวลานั้น) ซึ่งดีไซน์โดยนาซ่ามีความคล้ายคลึงกับโมเดลดังกล่าวนี้มาก
เอาล่ะ รู้สึกว่าอียิปต์โบราณมีเครื่องบินกันขึ้นมาจริงๆรึยัง เวลาไปดูตามหนังสือหรือเว็บต่างๆ เขามักจะชอบลงรูปแถวๆนี้แหละค่ะ โปรดสังเกตว่าต้องเป็นรูปจากมุมด้านหลังเสียส่วนใหญ่ ทำไม หรือ? เพราะถ้าลงรูปนี้ ความก็แตกสิ
ดูยังไงก็นก (มีตา + จงอยปาก)
กล่าว กันว่า ในตอนแรกโมเดลนี้ถูกนำมาโชว์ในตู้กระจกและมีผู้เข้าชมเป็นแถวยาวล้นหลาม หากไม่นานนักคนก็ห่างหายไปจนถูกเก็บลงจากตู้โชว์ในที่สุด
จากต่วนตูน
และ http://www.mythland.org/v2/viewthread.php?tid=75
http://www.mythland.org/v2/thread-30-1-1.html