ริปลีย์ เชื่อหรือไม่ (Ripley's Believe It or Not!)

                       
            โร เบิร์ต ลีรอย ริปลี่ส์ (Robert LeRoy Ripley)

         (25 ธันวาคม 1890 – 27 พฤษภาคม 1949)

         Ripley's Believe It or Not!

 

เรื่องของเรื่องผมเล่นเอ็มไปถามคนอื่นๆ ว่ารู้จัก “พิพิธภัณฑ์เชื่อหรือไม่ ที่พัทยา” หรือเปล่า ผมอยากรู้ว่าที่นั้นเป็นอย่างไร

                ปรากฏว่าคนเล่นเอ็มร้อยละ 90 ต่างไม่รู้จักสักคน ผมเลยถามว่ารู้จักริปรีย์ไหม และร้อยละ 90 ตอบว่าไม่รู้จัก

                เหลือเชื่อ ชอบเรื่องแปลก แต่ไม่รู้จักริปลีย์ เดี่ยวนี้คนอื่นไม่รู้จัก “เชื่อหรือไม่” แล้วหรือนี้

                เจ้า ของประโยค “เชื่อหรือไม่” นี้ สมัยก่อนโด่งดังมาก เพราะเขาเป็นต้นตำหรับเรื่องแปลกจากทั่วโลก เป็นคนจุดประกายให้เกิดนักสะสมของแปลกเรื่องพิสดารและพวกชอบเรื่องแปลกได้ ดำเนินรอยตามเขา

                     

  ริปลีย์ เชื่อหรือไม่ (Ripley's Believe It or Not!) เป็นแฟรนไชส์จดบันทึกเรื่อง แปลกประหลาดในโลก โดยเริ่มจากปี ค.ศ. 1981 ในตอนแรกโดย โรเบิร์ต ริปลีย์ เขียนเป็นการ์ตูนในหนังสือพิมพ์ แต่ต่อมาก็ขยายลงสื่ออื่น ๆ เช่น วิทยุ โทรทัศน์ และพิพิธภัณฑ์ ปัจจุบันกลายเป็นทรัพย์สินทางปัญญาที่สร้างรายได้แก่ทายาทอย่างมหาศาล

                โรเบิร์ต ลีรอย ริปลีย์เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1893 ในวันคริสต์มาส ที่เมืองซานตาโรซ่า รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ในวัยเด็กเขามีร่างกายผ่ายผอม หนังหุ้มกระดูก ฝันยื่น เขามีความใฝ่ฝันอยู่ 2 อย่างคือ อยากเป็นนักกีฬาและเป็นศิลปิน

                เมื่ออายุได้ 13 ขวบ เขาก็บรรลุความฝันได้ทั้ง 2 ประการ เขาเป็นตัวสำรองทีมเบสบอลโรงเรียน และออกแบบภาพโปสเตอร์

                ต่อมาริปลีย์ก็พบว่าตเอง ถนัดใช้มือจับดินสอมากกว่า เขาเลยฝึกเขียนในการวาดภาพ พออายุแค่ 14 ปีการ์ตูนของเขาได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารไลฟ์

                ภาพ การ์ตูนแรกที่ริปลีย์วาดเป็นภาพผู้หญิงบ้านนอก 3 คน ช่วยกันซักผ้ามีข้อความใต้ภาพว่า “วีถีชีวิตแบบชาวบ้านนับวันหดหายไป” ภาพการ์ตูนนั้นได้รับค่าตอบแทน 8 ดอลลาร์แต่มันก็ทำให้เขาค้นพบว่าตัวเองถนัดงานเขียนการ์ตูนมากกว่ากีฬา เขาจึงสมัครเป็นนักเขียนการ์ตูนประจำหนังสือท้องถิ่น “ซานฟรานซิสโก นิวล์เปเปอร์” ก็พอมีรายได้ดีพอสมควร แต่ยังไม่ดัง

                    

     ต่อมาริบลี่ส์ตัดสินใจจะไปหาอนาคตเอาข้างหน้าดีกว่า จมอยู่ในเมืองเล็กๆ เขามุ่งตะวันตกออกไปมหานครใหญ่ที่สุดของอเมริกา...นิวยอร์ก

                มา อยู่เมืองใหญ่ ริปลีย์เปลี่ยนชื่อตนเองเพื่อให้ดูทันสมัยว่า โรเบิร์ต แอล. ริปลีย์จากนั้นก็เข้างานกับหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่นิวยอร์ก โกล์บ ได้ค่าเขียนการ์ตูนกีฬาครั้งละ 100 ดอลลาร์

                จน ถึงปี 1918 ริปลีย์ก็เริ่มคิดว่างานเขียนของเขานับวันเริ่มหดหาย และงานก็ค่อนข้างจำกัดด้วยเวลา เขาเลยเปลี่ยนแนวงานเขียนของเขาเสียใหม่หันมาวาดการ์ตูน “เรื่องแปลกประหลาด เหตุการณ์ที่เหลือเชื่อ เป็นหนึ่งเดียวมนโลก ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร” แทน

                งานแรกที่เขาวาดคือเรื่องของชายหนุ่มแคนา ดาชื่อฟอเรสเตอร์(สร้างเป็นหนังเรื่องฟอเรสต์กัมพ์)ที่สามารถวิ่งถอยหลัง เป็นระยะ 100 หลา ด้วยเวลาเพียง 14 วินาที เขาระบุว่านี้คือ “แชมป์แห่งแชมป์” ปรากฏว่าบรรณาธิการใหญ่เห็นด้วยกับความคิดนี้เปิดหน้าให้เขาเขียนการ์ตูนแบบ นี้ตามใจชอบ

                ส่วน นามปากกาที่ควรเขียนนามสกุลเขา แต่เขาไม่ชอบคำว่าริปลีย์เขาเลยเปลี่ยนใหม่เป็น “บีลิฟ อิท ออร์ น็อต” หรือเชื่อหรือไม่?  ซึ่งหัวข้อนี้เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อ 19 ธันวาคม 1918

                ปรากฏ ว่าผู้คนที่อ่านเรื่องของริปลีย์เกิดติดใจในเรื่องแปลก ส่งผลให้ริบลี่ส์ดังที่สุด ซึ่งเบื้องหลังความดังของริปลีย์นั้นเพื่อนสนิทเผยว่า เขามีความคิดไม่เหมือนใครและๆไม่มีใครเหมือน “ถ้าคุณไปกินอาหารกิบริปลีย์ที่ภัตตาคารต่างคนสั่งสเต็กมากิน คนธรรมดาจะสนใจว่าสเต็กนั้นปรุงอย่างไรถึงรถชาติอร่อย แต่ริปลีย์คิดเป็นอย่างอื่นเขาคิดถึงเสต็กนั้นเป็นเนื้ออะไร ทำจากวัวตอนที่ไหน และมันถูกเลี้ยงด้วยอะไร และมันถูกส่งออกไปที่ไหนเป็นต้น

                นอกจากนี้ริปลีย์มีความสามารถสร้างคำคิด คำใหม่ๆ เขาเป็นเจ้าของคำว่า “บัฟฟาโล่” ซึ่งแปลว่าวัวไบซัน

                ต่อ มาหนังสือพิมพ์ที่เขาสังกัดอยู่ปรับการออกหนังสือรายสัปดาห์มาเป็นรายวันและ การ์ตูนของริปลีย์ก็แพร่หลายออกไปมากขึ้น จนในที่สุดเมื่อปี 1929 แม็กซ์แอนด์ศัสเตอร์ เจ้าของสำนักพิมพ์ ไซมอนแอนด์ซัสเตอร์ได้รวบรวมงานเขียนของริปลีย์ทั้งหมดมาเป็นหนังสือปรากฏ ว่าขายดีเป็นเทน้ำเทท่ากว่าล้านเล่ม แม้ในสหรัฐตอนนั้นอยู่ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำก็ตาม

                ต่อ มาวิลเลียม แรมเอลฟ์ เฮิร์ส เจ้าของสำนักพิมพ์ ฟีเจอร์ ซึ่งเป็นสำนักพิมพ์ใหญ่ที่สุดในอเมริกาในยุคนั้น ขอซื้อลิขสิทธิ์งานเขียน รวบรวมเป็นเล่มปีละครั้ง ให้ค่าลิขสิทธิ์ปีละ 100000 ดอลลาร์ การทำสัญญา ทำผ่านโทรเลขโดยใช้ถ้อยคำ 2 คำเท่านั้น

                เป็น อย่างที่คาด เรื่องแปลกของริปลีย์ดังไม่หยุด มีสำนักพิมพ์กว่า 300 แห่งจาก 17 ประเทศมาขอซื้อลิขสิทธิ์ไปจัดพิมพ์หนังสือไปขาย

                ไม่ กี่ปีต่อมา ริปลีย์ได้เดินทางไปยังประเทศต่างๆ เกือบ 200 ประเทศทั่วโลกเพื่อเก็บข้อมูลและถ่ายทำภาพยนตร์ ตลอดชั่วชีวิตของเขาหลงใหลอยู่กับการเดินทาง บางครั้งเดินทางรวดเดียว 2 ทวีป ระยะทาง 39,000 กิโลเมตร ในจำนวนดังกล่าวมี 1,600 กม. ที่เขาและทีมงานต้องนั่งเกวียน ขี่อูฐ ขี่ม้า ขี่ลา เพื่อไปถึงจุดหมายปลายทาง  เขาบันทึกทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้พบลงในคอลัมน์ประจำหนังสือต่าง ๆ และเมื่อเขาอยู่ในประเทศจีนเขารู้สึกหลงใหลดูเหมือนกับอยู่ในบ้านของตัวเอง ชื่นชอบในวัฒนธรรม และความแปลกประหลาดของแผ่นดินจีนที่กว้างใหญ่แห่งนี้ และตัวของเขาเองยังได้สะสมสิ่งแปลกประหลาดทั้งหลายที่เขาได้พบเห็น หรือสิ่งเหลือเชื่อต่าง ๆ ที่เขาได้พบเห็นนำมาจัดแสดงโชว์ให้กับผู้คนทั่วไปได้รับชม และเป็นการถ่ายทอดประสบการณ์การเดินทางอันยาวนานของเขาให้กับผู้อื่นได้รับ รู้อีกด้วย

 

เรื่อง แปลกๆ ของริปลีย์นั้นส่วนมากจะเป็นเรื่องแปลกที่พิสูจน์ได้ และมีอยู่จริงบนโลก ส่วนมากมักเป็นของแปลก มนุษย์แปลก หรือวิถีชีวิตแปลกๆ ในประเทศต่างๆ ทุกมุมโลก เช่นของไทยก็มีกระเหลี่ยงคอยาว หัวย่อส่วนที่อเมริกาใต้ มนุษย์กินคนที่อินโดนีเซีย,ปากัวนิวกีนี ปืนสั้นที่ใส่กระสุนเงินเพื่อฆ่าผีดิบโดยเฉพาะ หรือเสื้อเกราะนักรบสมัยก่อน เป็นต้น และเรื่องแบบนี้ทำให้หลายๆ คนเชื่อชอบ จนเกิดนักสะสมเรื่องแปลก

                เชื่อหรือไม่? ริปลีย์มีนิสัยอย่างหนึ่ง นอกจากสะสมของแปลก เขาสะสมเมียน้อย!! โดยนำผู้หญิงหลายชาติมา เป็นอนุภรรยา เช่นหญิงชาวจีน ญี่ปุ่น เยอรมัน รัสเซีย ฝรั่งเศส และกรีก แถมมีการตั้งฮาร์มขึ้น ภายในฮาเร็มส่วนตัวมีผู้หญิงต่างชาติถึง 12 ชาติ(อิจฉา)

                เชื่อ หรือไม่? ริปลีย์ร่ำรวยมีเงินทองมาก มาย เขามีวิถีชีวิตแบบเศรษฐีทั่วๆ ไป คือซื้อหาของแพงๆ มาประดับบารมี รวมไปถึงรถนอกราคาแพงๆ มาหลายคัน แต่เขาไม่เคยขับรถพวกนั้นเลย เพราะเขาขับไม่เป็น

                เชื่อ หรือไม่? ริปลีย์ไม่กล้าใช้ โทรศัพท์ เพราะกลัวไฟฟ้าช็อต

                เชื่อหรือไม่? ริปลีย์ชอบดื่มและ สูบบุหรี่หนักตั้งแต่อายุ 25 ปีแม้กระทั้งวันตายก็ไม่เลิกดื่ม

                เชื่อหรือไม่? แม้ริปลีย์จะรวยแล้ว แต่เขายังแบ่งเวลาเขียนการ์ตูนทุกวัน ตั้งแต่ 7 โมงเช้า จนถึง 5 ทุ่ม โดยสวมชุดหลวมๆ ไม่มีชั้นใน และสวมร้องเท้าแตะ

                เชื่อ หรือไม่? ริปลีย์จ้างเลขานุการที่มี หน้าที่เพียงหยิบกระดาษมาให้ และผู้ช่วยคอยยื่นปากกาเขียนการ์ตูนให้

                เชื่อหรือไม่? ในแมนชั่นหรูที่พักของริปลีย์ เขาสะสมของแปลกประหลาดมากมาย จนบรรบากาศเหมือนศาลเจ้า หรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มากกว่าหรู เขาเรียกพิพิธภัณฑ์ส่วนตัวว่า เบียง(Bion) ซึ่งย่อมาจาก Believe It or Not นั่นเอง

                เชื่อ หรือไม่? ริปลีย์มีของแปลก ที่เขาโปรดปรานที่สุด เป็นเรือเอี่ยมจุ้น ซึ่งเป็นเรือล่องแม่น้ำในเมืองเมืองจีน ซึ่งทหารญี่ปุ่นยึดมาได้ เมื่อครั้งบุกเมืองจีน เมื่อปี 1930 เขาตั้งชื่อเรือนี้ว่า “มอนเลย” เมื่อเขาจะต้อนรับแขกพิเศษ เขาจะใช้เรือนี้วิ่งไปรอบๆ เกาะแถวลองไอร์แลนด์

                เชื่อหรือไม่? ริปลีย์มีห้องใหญ่ที่สุด ภายในพิพิธภัณฑ์ส่วนตัวของเขา เป็นห้องที่เก็บจดหมายจากผู้อ่านซึ่งสะสมไว้ในช่วงปี 1930-1940 ซึ่งตอนนี้ทั้งจดหมายและไปรษณียบัตรส่งมาถึงเขาวันละ 3500 ฉบับ

                เชื่อหรือไม่? ริปลีย์มีส่วนในการเกิดเพลงชาติ อเมริกัน โดยตอนนั้นในปี 1929 ชาวอเมริกันจำนวนหนึ่ง เขียนจดหมายมาถึงคอลัมน์เขาว่าเมื่อใดสหรัฐฯจะมีเพลงชาติเป็นของตนเองเสียที ซึ่งในขณะนั้นอเมริกันไม่มีเพลงชาติ  ริปลีย์เลยตอบ ไปว่าให้เขียนจดหมายไปหาสภาคองเกรสแทน ปรากฏว่าตู้รับจดหมายสภาคองเกรสแทบระเบิด เมื่อมีชาวอเมริกันเขียนไป 5 ล้านฉบับ ซึ่งต่อมาสภาคองเกรสก็ตรากฎหมายเพลงชาติขึ้นมา เพลง “เดอะ สตาร์ สแพงเกิล แอนเนอร์” จึงกลาย เป็นเพลงชาติอเมริกันนับแต่นั้นมา

                เชื่อ หรือไม่? ริปลีย์ออกรายการ โทรทัศน์โชว์ครั้งสุดท้าย โดยเล่าเบื้องหลังเขียนการ์ตูน หลังจากนั้นก็ล้มป่วยลงด้วยโรคหัวใจ และเสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 1949

                เชื่อ หรือไม่? ขบวนแห่ศพริปลีย์ มีผู้เข้าร่วม 400 คน มีทั้งคนมีชื่อเสียง นักการเมือง นักธุรกิจ และคนแปลกประหลาดที่ริปลียเคยเอามาเขียน


                 

 

 ริปลีย์มีพิพิธภัณฑ์อยู่ 19 แห่ง ทั่วโลก ดังนี้

1.             วิลเลียมส์เบิร์ก รัฐเวอร์จิเนีย

2.             ปานามาซิตีบีช รัฐฟลอริดา

3.             ออร์แลนโด รัฐฟลอริดา

4.             นิวพอร์ต รัฐออริกอน

5.             ฟิชเชอร์แมนส์วาร์ฟ ซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย

6.             โอเชียนซิตี รัฐแมริแลนด์

7.             เมอร์เทิลบีช รัฐเซาท์แคโรไลนา

8.             แบรนสัน รัฐมิสซูรี

9.             แอตแลนติกซิตี รัฐนิวเจอร์ซีย์

10.      เซนต์ออกัสติน รัฐฟลอริดา

11.      แกตลินเบิร์ก รัฐเทนเนสซี

12.      บัวนาพาร์ก รัฐแคลิฟอร์เนีย

13.      ไนแอการาฟอลส์ รัฐออนตาริโอ ประเทศแคนาดา

14.      เซิร์ฟเฟอรส์พาราได ส์ ประเทศออสเตรเลีย

15.      แบล็กพูล ประเทศอังกฤษ

16.      โคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก

17.      ประเทศมาเลเซีย

18.      เม็กซิโกซิตี ประเทศเม็กซิโก

19.      รอยัลการ์เดนพลาซ่า พัทยา ประเทศไทย

                สำหรับพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทยผมก็ไม่เคยไปนะ ใครเคยไปก็มาเล่าผมทีว่ามันดีไม่ดียังไง แต่จากที่รู้ๆ มาที่นั้นเป็นแหล่งรวบรวมเรื่องราวแปลกประหลาด และสิ่งมหัศจรรย์ต่าง ๆ ที่สะสมจากทั่วโลกกว่า 300 ชิ้น ของนายโรเบิร์ต ริปลีย์ เช่น ม้าสามขา มนุษย์สี่ตา ศีรษะมนุษย์ย่อส่วน และพิพิธภัณฑ์ปลาฉลาม มีห้องสะสมของแปลก เป็นห้องแรกที่แสดงเรื่องราว และสิ่งของพิสดารที่เก็บรวบรวมไว้จากทั่วโลก อาทิเช่น โต๊ะบิลเลียดขนาดจิ๋วงานปฎิมากรรมจากถุงกระดาษ และ มร.โรเบิร์ต ริบลี่ส์ แม้เขาจะเสียชีวิตไปกว่า 50 ปีก็จะมากล่าวทักทายกับ ผู้เข้าชมด้วย

                มีห้องภาพมายาลวงตา เป็นห้องที่นำเอาหลักการทางวิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ และภาพลวงตามาประยุกต์ และนำเสนอห้องสัตว์และมนุษย์พิศวง เป็นห้องที่รวบรวมเอาเรื่องราวที่เหลือเชื่อของมนุษย์ และบรรดาคนดังในอดีต รวมทั้งสัตว์ที่แปลกตา เช่น หลิวชุง ชายผู้มีลูกตา 4 ลูกในดวงตา, ชายที่สูงที่สุดในโลก, และม้าสาม ขาตัวเดียวในโลก และสิ่งอื่น ๆ อีกมากมาย

                มีห้องชนเผ่ายุคโบราณ เป็นห้องที่จัดแสดงเอาของพิสดารในยุคโบราณ เช่นหัวคนย่อส่วนจากเอกวาดอร์, ส้อมกินคนของเผ่าฟิจิ

                มีห้องเครื่องมือทรมานยุคโบราณ เป็นห้องที่จัดแสดงเครื่องมือ และกรรมวิธีทรมานผู้คนในสมัยโบราณ หรือวิธีทรมานผู้คนในสมัยอดีตซึ่งไม่น่าเชื่อว่าจะมีเครื่องมือชนิดต่าง ๆ เหล่านี้อยู่บนโลก เช่น การทรมานเหยื่อของโจรสลัด, กับดักที่ ใช้จับคนในอังกฤษ

                มี ห้องแสดงวินาศภัย เป็นห้องที่จัดแสดงเอาอุบัติภัยต่าง ๆ ที่สำคัญ ในอดีตที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ เช่น เรือไททานิคจำลอง ฯลฯ

               

 

ใคร อยากอ่านการ์ตูนของริปลีย์ลองไปหาอ่านในหนังสือการ์ตูนเบบี้ดูนะครับ จบข่าว!!

 

http://en.wikipedia.org/wiki/Robert_Ripley

Credit: Cammy
17 ก.ค. 53 เวลา 14:05 14,115 10 228
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...