หนึ่งในใจใครคนนี้ ....มิโรสลาฟ โคลเซ่ (Miroslaw Marian Kloze) อินทรีย์เจ้าเวหา

จำไม่ได้เสียแล้วว่าเริ่มดูฟุตบอลโลกตั้งแต่เมื่อไหร่ ปีไหน รู้แต่ว่าเมื่อเริ่มดูก็เชียร์ทีมชาติเยอรมันเข้าเสียแล้ว เป็นคนที่ความจำไม่ดีนัก อีกทั้ง นักฟุตบอลต่าง ๆ ก็มีชื่อที่ทำให้จดจำได้ค่อนข้างยาก ตอนนั้นจำได้แต่ว่า ชอบ เยอรมัน ชอบ ฉลามขาว เจอร์เก้นท์ คลิ้นมันต์ ชอบซุปเปอร์แมน โลธ่า มัสเทอุส ชอบลูกเป็ดขี้เหร่ รูดี้ โพลเลอร์ คาร์ล ไฮลน์ รุมเมนิกเก้ แกรด มุลเลอร์

อาจจะเป็นเพราะฟรีทีวีของไทยในขณะนั้น ช่อง 9 ถ่ายทอดฟุตบอลบุนเดสสิก้า ของเยอรมัน แต่ในขณะเดียวกันก็มีการถ่ายทอดฟุตบอลกัลโซ่ ของอิตาลีด้วยเช่นกัน ทั้ง ๆ ที่ในขณะนั้น นักฟุตบอลเก่ง ๆ ชื่อก้องก็มีอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็น มิเชล พาลาตินี่ เปาโล รอสซี่ ดิเอโก้ มาราโดน่า มาโก้ แวน บาสแท่น รุด กุลลิช แฟรงค์ ไร้ท์กาด หรือแม้กระทั้ง พอล แกสคอยส์ แต่สุดท้ายก็ยังมาเชียรทีมชาติเยอรมันจนได้ (ทั้ง ๆ ที่จำตัวผู้เล่นไม่ค่อยจะได้เลย)

ถึงแม้นครอบครัวจะไม่ค่อยมีความสนใจด้านกีฬามากนัก ซึ่งโดยปกติแล้วจะไม่ค่อยได้ชมการถ่ายทอดกีฬาอะไรซักเท่าไหร่ นอกจากเป็นรายการใหญ่ ๆ เช่น มวยชิงแชมป์เปี้ยนโลก ซึ่งสมัยก่อนนี้ก็ไม่ได้มีหลากหลายสมาคมเช่นปัจจุบัน และหนึ่งในรายการที่ค่อนข้างจะได้ดูนั่นคือ ฟุตบอลโลก สาเหตุเพราะมีคนติดตามเป็นจำนวนมาก ในช่วงของฟุตบอลโลกทำให้มีกิจกรรมและหัวข้อการพูดคุยเกี่ยวกับฟุตบอลโลกในทุก ๆ ภาคส่วนของสังคม ทำให้ ฟุตบอลโลก คู่สำคัญ ๆ จะเป็นส่วนหนึ่งของรายการทีวีที่ที่บ้านติดตามชม แน่นอนที่สุดทีมชาติเยอรมันเป็นหนึ่งในคู่สำคัญ ๆ ที่ว่ามา

ตลอดการแข่งขันจะใจจดใจจ่อกับการแข่งขัน นักกีฬาเสื้อสีขาวลายแดงและเหลืองทอง 11 คนที่วิ่งอยู่ในสนามนั้น ช่างเป็นทีมที่น่าติดตามเสียเหลือเกิน ดูบอลแบบไม่รู้เรื่องรู้ราว (แต่เชียร์เยอรมัน) มานานหลายปี จนกระทั้งวัย และศักยภาพเพิ่มขึ้น จึงได้เรียนรู้และทำความเข้าใจเกี่ยวกับกีฬาฟุตบอล ทำให้การดูฟุตบอลนั้นสนุกขึ้นมากและมากขึ้นตามลำดับ

จนกระทั้งฟุตบอลโลกในปี 2002 เยอรมันก็ได้กองหน้าตัวใหม่มาเสริมทีม กองหน้าผอมบางสูงโย่ง แต่ทำให้ได้เฮทุกครั้งเมือลูกบอลเข้ามาในกรอบเขตโทษ กองหน้าตัวใหม่ที่มีชื่อว่า มิโรสลาฟ โคลเซ่ ผู้ที่ถนัดในการโฉบจากเบื้องสูงเข้าทำประตูด้วยลูกโหม่งเหน่ง ๆ หลายต่อหลายลูก โดยฟุตบอลโลกในปี 2002 เขาสามารถทำประตูได้ถึง 5 ประตู ดังนี้

ประตูแรกในฟุตบอลโลกของ เกิดจากการโขกลูกแรกให้เยอรมันนำซาอุดิอาระเบีย ในชัยชนะ 8 - 0 และอีกห้านาทีต่อมาเขาก็โขกลูกผ่านเข้าประตูไปตุงตาข่ายด้วยการจ่ายใส่พานทองของมิชาเอล บัลลัค เข้าไปอีกลูก ก่อนจะมาทำแฮตทริคด้วยการโยกประตูที่สามของตัวเอง ประตูที่สี่ของมิโร เกิดในการเจอกับไอร์แลนด์ โหม่งให้นำ 1 - 0 ก่อนเสมอหมด 90 นาทีเสมอกัน 1 - 1

ในขณะที่ประตูที่ห้าเกิดจากลูกโหม่งในนัดสุดท้ายรอบแรกกับแคเมอรูนส่งผลให้เยอรมันผ่านเข้ารอบ 16 ทีม และในนัดนี้ถึงแม้มิโรจะโดนทำฟาล์ว โดยการเกี่ยวล้ม และโดนเหยียบซ้ำ ก็ไม่ทำให้หัวหอกทีมชาติเยอรมันลุกขึ้นมาเต้นแร้งเต้นกา ประท้วงขอประตูต่อกรรมการแต่อย่างไร เขายังคงลุกขึ้นวิ่ง และทำหน้าที่ของเขาได้อย่างดีที่สุด จนกระทั้งจบเกมส์ มิโรทำประตูไม่ได้อีกเลยแม้เยอรมันจะผ่านเข้าชิงชนะเลิศ

แต่เท่านี้ก็มากพอที่จะทำให้เขาได้รับการจดจำและสมญานาม "อินทรีย์เจ้าเวหา"และในฐานะนักเตะหน้าใหม่ที่แจ้งเกิดในฟุตบอลโลก 2002 ครั้งนี้

หลังจากที่ฟรีทีวี ไม่มีการถ่ายทอดการแข่งขันฟุตบอลลีกซ์เยอรมัน หรือบุนเดสสิก้า ข่าวคราวของศูนย์หน้าดาวยิงเยอรมันผู้นี้ก็แทบไม่ได้แวะเวียนมาให้ได้รับทราบอีกเลย นอกจากเป็นข่าวตามหน้ากีฬาของหนังสือพิมพ์รายวันบ้าง ในครั้งที่มีการแข่งขัน

จนกระทรั้งอีก 4 ปี ต่อมาในฟุตบอลโลก 2006 มิโรก็ยังติดคงติดเป็นหนึ่งในตัวจริงของทีมชาติเยอรมันเข้ามาทำศึกฟุตบอลโลกอีกครั้ง และในครั้งนี้เขาเป็นที่จับตามองมากกว่าครั้งแรก

ประตูที่หกของมิโรเป็นลูกแปเข้าไปในระยะเผาขน ในขณะที่ประตูที่เจ็ดนั้นเป็นกาซัดระยะไกลในเกมส์นัดเดียวกัน คือ นัดที่เยอรมันถล่มคอสตาริก้า 4 - 2 แต่มิโรยังไม่หยุดทำประตูแค่นั้น แต่กลับมาซัดใส่เอซาวาดอร์อีก 2 ลูก ด้วยลูกฮาล์ฟวอลเลย์ระยะ 6 หลาในเขตโทษ และก่อนหมดเวลา 45 นาทีของครึ่งแรกด้วยการลากหนีผู้รักษาประตูของเอซาวาดอร์เข้าไปไปยิงประตู ก่อนที่จะยิงลูกที่สิบ เป็นการตีเสมออาร์เจนติดน่า 1 ประตูต่อ 1 ด้วยการพุ่งโหม่งในนัดที่เจอกัน และห้าลูกที่สามารถทำได้ในการแข่งขันฟุตบอลโลกในปี 2006 นี้เองส่งผลให้มิโรได้รับรางวัลรองเท้าทองคำ เจ้าของตำแหน่งดาวซัลโวในฟุตบอลโลกครั้งนั้น

เช่นเดียวกับฟุตบอลโลกปี 2002 เมื่อจบฟุตบอลโลกลงไปข่าวคราวของนักเตะกองหน้าเยอรมันผู้นี้ก็หายไป ในขณะที่ข่าวการแข่งขันฟุตบอลในลีกซ์อื่น ๆ เช่น พรีเมียร์ลีกซ์ของอังกฤษได้เข้ามาแทนที จนกระทั้งฟุตบอลโลกครั้งล่าสุดที่ผ่านมา ที่แอฟริกา ฟุตบอลโลก 2010 ฟุตบอลโลกที่เราจะจดจำ มิโร ไปตลอดกาล

มิโรสลาฟ โคลเซ่ ยังคงดำรงตำแหน่งศูนย์หน้าลงล่าตาข่ายให้กับทีมชาติเยอรมันอีกเช่นเคย แม้นในครั้งนี้เขาจะก้าวล่วงตำแหน่งเฟรซซี่มานานแล้วก็ตาม ในวัย 32 ปีของเขากลับทำให้เขามองดูมีความน่าเชื่อถือมากขึ้นกว่าในวัยเยาว์ มิโรยังคงล่าประตูให้ทีมชาติเยอรมันอย่างไม่เบื่อหน่ายเมื่อเขาเสี่ยงตายโขกลูกโหม่งสวนมาร์ค ชวาร์เซอร์ เข้าทำประตูของออสเตรเลียไปหนึ่งประตู

ก่อนที่จะอาศัยความขยัน เหลี่ยมบอล และความแข็งแกร่งเบียดทำประตูแรกให้เยอรมันนำอังกฤษไป  1 ประตูต่อ 0 และอีกสองประตูต่อมาในนัดที่เจอกับเด็ก ๆ ของเสือเตี้ย ดีเอโก้ มาราโดน่า โดยประตูที่สิบสามได้มากจากการผ่านใส่พานมาจากลูคัส โพดอลสกี้ ซึ่งถือว่าเป็นประตูที่ง่ายที่สุดในชีวิตศูนย์หน้าฟุตบอลโลกเลยก็ว่าได้ ก่อนที่จะฝังอาร์เจนติน่าด้วยประตูที่สิบสี่ของตัวเองด้วยการเปิดบอลของเมซุต โอซิล เป็นประตูที่สามให้เยอรมันนำห่างอาร์เจนติน่าก่อนที่จะส่งอาร์เจนติน่ากลับบ้านไปด้วยสกอร์ 4 ประตูต่อ 0

ทำให้มิโรมีชื่อขึ้นมาลุ้นที่จะเป็นดาวซัลโวสูงสุดในทัวร์นาเมนต์นี้ร่วมกับนักเตะที่มีชื่อเสียงอีกหลาย ๆ คน แต่ในที่สุดเมือเยอรมันต้องเดินทางมาพบกับความพ่ายแพ้ให้กับสเปนในนัดก่อนชิงชนะเลิศ (นัดสี่ ทีมสุดท้าย) ในนัดที่มิโรและทีมชาติเยอรมันไม่สามารถทำประตูได้เลย และพ่ายให้กับสเปน 1 ประตูต่อ 0

แม้นว่าความหวังที่จะพาทีมชาติเยอรมันก้าวสู่จุดสูงสุดนั้นคือ แชมป์ฟุตบอลโลก 2010 จะดับลงเสียแล้ว แต่ความหวังที่จะได้รับรางวัลรองเท้าทองคำ จากตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุดยังคงอยู่ นอกจากนั้น ยังมีความหวังที่จะทำลายสถิติการดาวยิงตลอดกาลฟุตบอลโลกของโรนัลโด้ของบราซิล ที่ทำประตูไว้ได้ 15 ประตูตลอดการแข่งขันฟุตบอลโลก ก็ยังคงอยู่ตรงหน้า เพียง 2 ประตูเท่านั้น ประวัติศาสตร์จะจารึกชื่อของเขาเอาไว้ในฐานะดาวซับโวสูงสุดตลอดกาล เพียงแต่เขาทำได้ 2 ประตูกับนัดที่จะพบกับอุรุกวัยเพื่อชิงตำแหน่งรองอันดับ 2 ฟุตบอลโลก

แต่แล้วความหวังทั้งหมดของมิโรก็ต้องจบลง เมื่ออาการบาดเจ็บที่หลังเข้ามารุมเร้าเขาในนัดสำคัญที่กำลังจะมาถึง มิโรไม่ผ่านการทดสอบความฟิต ส่งผลให้เขาต้องนั่งดูเพื่อน ๆ ในทีมลงไปทำศึกเพื่อชิงอันดับที่ 3 กลับไปยังเยอรมันให้ได้ ไม่มีชื่อแม้นกระทั้งตัวสำรอง แต่เป้าหมายของประเทศต้องมาก่อนเป้าหมายส่วนตัว เขายินยอมอย่างไม่มีเงื่อนไขที่จะนั่งดู และเป็นกำลังใจให้เพื่อน ๆ ของเขาคว้าชัยกลับบ้านเกิด

ความหวังของเยอรมันถึงฝั่งฟัน ในที่สุดเยอรมันก็สามารถเอาชนะอุรุกวัยมาได้อย่างสุดมัน 3 ประตูต่อ 2 แต่ความหวังของมิโรกลับดับวูบลง ในวัย 32 ปี กับฟุตบอลโลกที่น่าจะเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับเขา ไม่มีคำต่อรอง ไม่มีข้อแม้นใด ๆ เขายอมรับความจริงที่เกิดขึ้น เพื่อความสำเร็จของเยอรมัน แม้ว่าทุกครั้งที่กล้องจะจับภาพของเขาผ่านเขามาให้เราได้เห็นถึงแววตาที่มุ่งมั่น และทุกครั้งที่ได้เห็นรู้สึกได้ถึงความหม่นหมองที่ซ้อนอยู่ในแววตานั้น ที่ถึงแม้นจะไม่มีข้อแม้นหรือข้อต่อรองใด ๆ แต่คงปฏิเสธความผิดหวังเล็ก ๆ ในเป้าหมายส่วนตัวไม่ได้เช่นกัน

หลายต่อหลายครั้งที่เราได้เห็นถึงความไม่พร้อมของนักเตะทีขอให้เทรนเนอร์ส่งตัวเองลงในการแข่งขันทั้งในนัดที่สำคัญและไม่สำคัญเพื่อล่าตาข่าย หรือทำผลงานให้เป็นที่ยอมรับ หรือจดจำ หรือเพื่อรางวัลต่าง ๆ ดังที่ โรนัลโด้ ของบราซิลได้เคยทำมาแล้วในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2006 ซึ่งแม้นแพทย์ประจำตัวจะมีความเห็นไม่ให้ส่งเขาลงสนาม เนืองจากเขาเพิ่งผ่านจากอาการชักมาได้ไม่ถึง 24 ชั่วโมง หรือแม้นแต่ข่าวบางกระแสก็ยังว่า เขาเพิ่งผ่านอาการช็อคมาด้วยซ้ำ แต่โรนัลโด้ก็ขอให้โค๊ชส่งเขาลงสนาม ซึ่งแน่นอนที่สุดเขาไม่สามารถระเบิดฟอร์มเปรี้ยง จนพาบราซิลขึ้นเป็นแชมป์โลกในสมัยนั้นได้ และหากมิโรจะกระทำเรืองดังกล่าวบ้าง ก็น่าเป็นเหตุผลอันดีที่ โยอาคิม เลิฟ จะส่งเขาลงในฐานะผู้เล่นสำรอง

จริงอยู่หลาย ๆ ท่านอาจคิดว่าในวัย 36 ปีสำหรับฟุตบอลโลก 2014 ที่ริโอ เดอจาเนโร บราซิล หากมิโรสามารถรักษาความฟิตและฟอร์มการเล่นได้อย่างคงเส้นคงว่า เขาสามารถที่จะกลับเข้าสู่เกมส์ฟุตบอลโลกได้อีกครั้ง เช่นเดียวกับนักเตะอาวุโสหลาย ๆ คนในหลาย ๆ ประเทศที่เคยทำมาแล้ว แต่ที่นี่คือทีมชาติเยอรมัน ภายใต้การคุมทีมของบุนเดสเทรนเนอร์ โยอาคิม เลิฟ ที่จะต้องคัดสรรผู้เล่นที่ดีที่สุดเพื่อทีม และเพื่อความสำเร็จทีทีมจะนำมาสู่ประเทศเท่านั้น และนอกเหนือไปกว่านั้น ภายในทีมยังมีนักเตะหน้าใหม่ ๆ ที่พร้อมที่จะก้าวขึ้นมารับโอกาสรับใช้ทีมชาติ เหมือนดังที่เขาเคยได้รับมาแล้ว

ดังนั้น ฟุตบอลโลกครั้งนี้น่าจะเป็นฟุตบอลโลกครั้งสุดท้ายของ อินทรีย์เจ้าเวหา มิโรสลาฟ โคลเซ่ อย่างแท้จริง ที่ถึงแม้นเขาจะสามารถทำประตูให้กับทีมชาติเยอรมันได้ถึง 4 ประตู แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้เขาได้รับตำแหน่งดาวซัลโว หรือได้รับการจดจำในฐานะดาวยิงตลอดกาลฟุตบอลโลก ฟุตบอลโลกสำหรับเขาคงจบลงแล้วอย่างสิ้นเชิงและไร้การบันทึกลงในประวัติศาสตร์ถึงสถิติสูงสุดใด ๆ นอกจากทำประตูได้ 14 ประตูเท่ากับ แกร์ด มุลเลอร์ดาวยิงเพื่อนร่วมชาติ

แต่ถึงอย่างไร เรากองเชียร์ทีมชาติเยอรมัน และอีกหลาย ๆ คนจะจดจำเขาในฐานะดาวยิงที่ดีที่สุดของทีมชาติเยอรมันตลอดไป "มิโรสลาฟ โคลเซ่ อินทรีย์เจ้าเวหา"

มิโรสลาฟ โคลเซ่ อาจไม่ใช่นักเตะประเภทเร็วจี๊ดหรือมีเทคนิคแพรวพราว แต่ความยอดเยี่ยมในลูกกลางอากาศและสัญชาตญาณการทำประตูที่มีอยู่ในตัวก็ทำ ให้บาเยิร์น มิวนิค ยอมทุ่มเงินก้อนโตเพื่อดึงตัวมาร่วมทีม และเขาก็ไม่ทำให้ผิดหวังเมื่อพาทีมเสือใต้คว้าดับเบิลแชมป์ได้ตั้งแต่ซีซั่น แรก

อาจจะผิดแผกไปจากบรรดานักเตะชื่อดังคนอื่นบ้าง เพราะกว่าโคลเซ่จะเริ่มเป็นที่พูดถึงในวงการลูกหนัง เขาก็อายุปาเข้าไปเกือบ 27 ปีแล้ว หลังจากที่ถล่มประตูให้กับแวร์เดอร์ เบรเมน อย่างเป็นกอบเป็นกำโดยเฉพาะในฤดูกาล 2005-06 ที่ยิงรวมทุกถ้วยถึง 30 ประตู ซึ่งทำให้เขากลายเป็นตัวหลักในแดนหน้าของทีมชาติเยอรมัน

จริง ๆ แล้ว โคลเซ่ เกิดที่ประเทศโปแลนด์ ก่อนที่จะครอบครัวจะย้ายหนีระบบการปกคองแบบคอมมิวนิสต์มาอยู่ที่ฝรั่งเศสใน ปี 1981 ตั้งแต่อายุได้เพียง 3 ขวบ แต่ด้วยความที่พ่อของเขามีเชื้อสายเยอรมันอยู่แล้วจึงทำให้ตัดสินใจย้ายมา ตั้งรกรากที่เมืองอ๊อดซีดเลอร์ แทน

ในขณะที่นักเตะรุ่นหลังๆ หันมาเอาดีในวงการลูกหนังแบบเต็มตัวตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ โคลเซ่ กลับเลือกที่จะฝึกเป็นช่างไม้ในระหว่างเล่นฟุตบอลกับทีมเล็กๆ ระดับหมู่บ้านอย่าง Blaubach-Diedelkopf ซึ่งเป็นทีมระดับดิวิชั่น 7 ของเยอรมัน ก่อนที่จะเข้าสู่การเล่นอาชีพเป็นครั้งแรกกับไกเซอร์สเลาเทิร์นเมื่อปี 1999

ว่ากันว่าสาเหตุที่ โคลเซ่ แจ้งเกิดได้ช้ากว่าผู้เล่นคนอื่นๆ ในวัยเดียวกันนั้นเป็นเพราะเขามีทักษะและความสามารถที่ด้อยกว่า ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่ได้รู้สึกโกรธกับคำวิพากษ์วิจารณ์โดยเฉพาะเมื่อถูกนำไป เปรียบเทียบกับกองหน้าระดับสตาร์อย่าง ไมเคิ่ล โอเว่น หรือ รุด ฟาน นิสเตอรอย ยิ่งไปกว่านั้น โคลเซ่ ยังเคยให้สัมภาษณ์ว่ารู้สึกเป็นเกียรติที่ถูกนำไปเปรียบเทียบกับดาวดังคน อื่นๆ ด้วยซ้ำ

หลังจากที่ค้าแข้งกับทีมปีศาจแดงของเมืองเบียร์ได้ 5 ฤดูกาล โคลเซ่ ก็ย้ายไปร่วมทีมเบรเมน ด้วยค่าตัว 5 ล้านยูโร (ราว 250 ล้านบาท) ในปี 2004 และกลายเป็น 3 ประสานในแกนรุกร่วมกับ โยฮัน มิกูด์ เพลย์เมกเกอร์ชาวฝรั่งเศส และ อิวาน คลาสนิค และทำประตูในลีกได้ถึง 15 ลูกในฤดูกาลแรกกับ "เจ้านกนางนวล"

ฤดูกาล 2005-06 ถือเป็นช่วงพีคของเขาอย่างแท้จริงเพราะสามารถจบด้วยการเป็นดาวซัลโวบุนเดสลี ก้าแบบไร้คู่แข่งด้วยจำนวน 25 ประตู และรักษาฟอร์มการเล่นที่ดีอย่างต่อเนื่องด้วยการคว้ารางวัลรองเท้าทองคำจาก ศึกฟุตบอลโลก 2006 รอบสุดท้าย หลังเป็นดาวซัลโวประจำทัวร์นาเมนต์ด้วยการกดไป 5 ประตู ก่อนจะคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของเยอรมันไปแบบไร้ข้อโต้แย้ง

แม้ว่าจะมีรูปร่างที่ค่อนข้างผอมบาง แต่ โคลเซ่ กลับเป็นหนึ่งในกองหน้าที่เล่นลูกกลางอากาศได้ดีที่สุดในบุนเดสลีก้าและอาจ จะรวมถึงในยุโรปด้วย นอกจากนั้น สัญชาตญาณการทำประตูในกรอบเขตโทษ และการครองบอลที่แข็งแกร่ง ก็ทำให้ยักษ์ใหญ่หลายทีมในยุโรปต้องการคว้าตัวไปร่วมทีมไม่ว่าจะเป็น บาเยิร์น, บาร์เซโลน่า และ ยูเวนตุส

ในวันที่ 7 มิ.ย. 2007 แฟนบอลเบรเมนก็ต้องช็อกเมื่อ โคลเซ่ ออกมายืนยันว่าเขาจะย้ายไปเล่นให้ทีม "เสือใต้" ในฤดูกาล 2007-2008 หลังอยู่กับ "เจ้านกนางนวล" จนกระทั่งหมดสัญญาในปี 2008 และย้ายไปแบบไม่มีค่าตัว ซึ่งการประกาศดังกล่าวสร้างความโกรธเคืองให้กับกองเชียร์เป็นอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุด เบรเมน ก็จำใจต้องปล่อยจอมถล่มประตูประจำทีมออกไปเนื่องจากหากรั้งไว้ก็จะไม่ได้ค่า ตอบแทนตามกฎบอสแมน และวันที่ 28 มิ.ย. 2007 โคลเซ่ ก็เซ็นสัญญากับ บาเยิร์น อย่างเป็นทางการ ระยะเวลา 4 ปี ด้วยค่าตัว 15 ล้านยูโร (ประมาณ 750 ล้านบาท)

นับตั้งแต่ย้ายมาเล่นให้กับทีม "เสือใต้" หัวหอกวัย 29 ปี ก็ทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจ โดยเฉพาะเมื่อได้ประสานงานกับอีก 2 นักเตะใหม่อย่าง ลูก้า โทนี่ ดาวยิงทีมชาติอิตาลี และ ฟรองค์ ริเบรี่ เพลย์เมกเกอร์ชาวฝรั่งเศส

แม้ว่าจะยิงประตูไม่ได้เป็นกอบเป็นกำเท่า กับ โทนี่ แต่ โคลเซ่ ก็มีบทบาทสำคัญที่ช่วยให้บาเยิร์น มิวนิค ทวงถาดแชมป์บุนเดสลีก้า กลับมาได้อีกครั้ง ก่อนจะได้กลับไปร่วมสังฆกรรมในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาลหน้าได้สำเร็จ รวมถึงพาทีมสอยแชมป์เดเอฟเบ โพคาลด้วย

Credit: http://talk.mthai.com/topic/57132
16 ก.ค. 53 เวลา 23:53 3,545 1 40
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...