https://daily.rabbit.co.th/
หากใครที่มีโอกาสได้ไปเที่ยวญี่ปุ่น หรือติดตามเรื่องราวของญี่ปุ่นบ่อยๆ ก็คงจะคุ้นเคยกับเครื่องกด สารพัดจะกดของญี่ปุ่นอย่างแน่นอน และถึงแม้ว่าในไทยจะมีเจ้าเครื่องกดอัตโนมัติมาบ้าง แต่ครั้งนี้ดูจะมีเพิ่มขึ้นมาอีก เพราะมันคือ ตู้กดไอติมแบบอัตโนมัติ โดยกูลิโกะเป็นผู้นำเข้ามาเอง! ซึ่งการนำเข้าเครื่องกดไอติมอัตโนมัตินี้ ไม่ใช่เพียงแค่การนำเข้าธรรมดาๆ เท่านั้น หากเรามองย้อนลึกกลับไปจะพบว่า นี่เป็นอีกหนทางที่จะบุกตลาดไอติมไทยเป็นระลอกที่สอง หลังจากที่ระลอกแรกได้ปล่อยให้ไอติมกูลิโกะมีตู้วางขายเพิ่มมากขึ้น
ขายเพิ่มมากขึ้น หากเรามองในแง่ของกลไกการตลาดแล้ว จริงอยู่ที่ความหายากของไอติมกูลิโกะ เป็นอีกชนวนเหตุ ทำให้ใครๆ ก็อยากลองกินจนต้องบอกต่อ แต่ก็เป็นกระแสแรงได้ครู่เดียวเท่านั้น เนื่องจากความท้าทายในการหานั้นมีมากเกินไป หรือว่าง่ายๆ หายากมาก จนคนหมดความสนใจ จำนวนสินค้าไม่เพียงพอต่อผู้บริโภค จึงทำให้ไอติมกูลิโกะหมดกระแสไปอีกครั้ง และจากการชิมลาง ลองตลาดไปถึงสองครั้งสองครา ครั้งนี้ไอติมกูลิโกะได้คิดแผนการณ์ใหม่ขึ้นอีก นอกจากจะเพิ่มกำลังการผลิต และวางขายให้มากขึ้น เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคแล้ว การเปิดตัวตู้กดไอติมอัตโนมัติสไตล์ญี่ปุ่น พร้อมๆ กับไอติมกูลิโกะรสใหม่ จึงเป็นอีกกลยุทธ์ระลองสองที่ทางกูลิโกะเลือกใช้
สำหรับในประเทศไทยนี้ นับได้ว่าเป็นประเทศแรกที่ทาง บริษัท เอซากิ กูลิโกะ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูลิโกะในไทย ได้จัดส่งตู้หยอดเหรียญกดไอศกรีมอัตโนมัติ มาสร้างสีสันให้ตลาดไอศกรีมนอกประเทศโดยตรง โดยการนำเข้าตู้หยอดเหรียญกดไอศกรีมอัตโนมัติ (Vending Machine) จากประเทศญี่ปุ่น มาให้ผู้บริโภคได้ทดลองซื้อไอศกรีมจากตู้อัตโนมัตินั้น นำเข้ามานอกจากจะใช้กระตุ้นให้เกิดการทดลองบริโภค เพื่อสร้างการบริโภคที่สดใหม่ และยังเป็นการปลุกกระแสไอติมกูลิโกะให้กลับมาเป็น Talk of the town อีกครั้ง นอกจากนี้ยังช่วยกำจัดจุดอ่อนในเรื่องของพื้นที่การวางขายไอติมกูลิโกะได้อีกด้วย
ทั้งนี้ตู้หยอดเหรียญกดไอศกรีมอัตโนมัติของไอศกรีมกูลิโกะจะถูกสับหมุนไปจุดต่างๆ ในกรุงเทพมหานคร 4 จุดด้วยกัน ได้แก่
ศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์ บริเวณทางเชื่อมบีทีเอสสยาม
ชั้น G หน้าอิเกีย ศูนย์การค้าเมกา บางนา ในเดือนพฤศจิกายน
จากนั้นย้ายไปที่ พารากอน ซีนีเพล็กซ์ และ ชั้น 6 โซนพลาซ่า ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์
และนอกจากจะส่ง ตู้กดไอติมอัตโนมัติ ส่งตรงมาจากญี่ปุ่นแล้ว ในปีนี้ยังส่งไอศกรีมใหม่ มาในธีม “ช็อกโกแลต ซีรีส์” ประกอบด้วย ไอศกรีมรสช็อกโกแลต 3 รสชาติ 3 สไตล์ ได้แก่
“ไจแอนท์ โคน คราวน์” รสริช ช็อกโก แอนด์ ครัช อัลมอนด์ ไอซ์ ราคา 35 บาท เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่วัยทำงาน
“เซเว่นทีน ไอซ์ คราวน์” รสดับเบิล ช็อกโกล่า คาราเมล ไอซ์ ราคา 25 บาท เจาะกลุ่มนักเรียน-นักศึกษา
“พาแนปป์” รสทริปเปิลช็อกโกแลตซันเด ราคา 25 บาท เจาะกลุ่มสาวโสดวัยทำงาน
และไม่เพียงการใช้เรื่องความสดใหม่เข้ามาสู้เท่านั้น ปีนี้ทางกูลิโกะได้เลือกพรีเซนเตอร์ อย่าง บอย-ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ มาเป็นพรีเซนเตอร์คนล่าสุด เพ่ื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายภาพลักษณ์ของคนรุ่นใหม่ ที่เป็นที่นิยมทั้งในวัยคนทำงาน และวัยรุ่น ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของทางแบรนด์มาเสริมทัพ พร้อมกับได้แง้มๆ ไว้ว่า อนาคตอาจจะมีไอติมกูลิโกะรสชาติใหม่ๆ ที่เข้าถึงรสนิยม และความชอบของคนไทยให้เพิ่มมากกว่าที่เป็นอยู่ การกลับมาบุกตลาดครั้งนี้ กูลิโกะ โฟรเซ่น (ประเทศไทย) เรียกได้ว่าเตรียมความพร้อมทั้งด้านสินค้า ช่องทางจำหน่าย กลยุทธ์สื่อสารการตลาด และการขาย โดยหวังจะผลักดันให้แบรนด์ ไอศกรีมกูลิโกะ ขยับขึ้นเป็นอันดับ 3 ของตลาดไอศกรีมในไทย และเพื่อการชิงเอาส่วนแบ่งการตลาดไม่ต่ำกว่า 7% ซึ่งนี่ หมายความว่า ไอติมกูลิโกะ กำลังท้าทาย เพื่อเป็นรองเพียงแค่ วอลล์ และ เนสท์เล่
รีวิวตู้กดไอติมกูลิโกะ นำเข้าจากญี่ปุ่น ตู้แรกในไทย!! ที่อิเกีย เมกา บางนา | เฟิร์น พิ้งค์ แฟรี่
สำหรับการบุกตลาดครั้งนี้ของไอติมกูลิโกะนั้น จะไดผลมากน้อยแค่ไหน เราคงต้องมาติดตามกันต่อไป แต่ถ้าหากแมสขึ้นมา ก็มีความเป็นไปได้ที่ตู้กดไอติมแบบอัตโนมัตินี้ น่าจะขยายไปทั่วทั้งประเทศก็ได้ ใครจะรู้ ?
ที่มา https://daily.rabbit.co.th/