ประเทศโรมาเนียเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นดินแดนต้นกำเนิดของ “แดร็กคูล่า” แต่ทว่าย้อนกลับไปในปี 1989 ดินแดนแห่งนี้ถูกกล่าวขานไปทั่วโลกในเรื่องราวของจุดจบของจอมเผด็จการที่มีนามว่า “นิโคไล เชาเชสคู”
ตั้งแต่ปี 1967 ประเทศโรมาเนียก็ตกอยู่ภายใต้การปกครองระบอบเผด็จการ โดยมีนายนิโคไล เชาเชสคูเป็นประธานาธิบดีผู้มีอำนาจสูงสุด การปกครองของนิโคไลนั้นเรียกได้ว่าเขาได้นำการปกครองระบอบคอมมิวนิสต์มาใช้อย่างเต็มรูปแบบ โดยจัดการให้ประเทศเข้าสู่ระบบอุตสาหกรรมอย่างเต็มตัว นิโคไลออกนโยบายบังคับให้ประชาชนที่ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรทิ้งเรือกสวนไร่นาเข้าเมืองเพื่อมาเป็นคนงานในโรงงานอุตสาหกรรม โดยมีการก่อสร้างแฟลตเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยของผู้ที่ (ถูกบังคับ) ให้อพยพเข้ามาอยู่ในเมืองเป็นจำนวนมาก
ซึ่งแน่นอนว่านโยบายนี้มีคนไม่เห็นด้วยเป็นจำนวนมากแต่ทว่าอำนาจของนายนิโคไลนั้นสามารถที่จะจัดการให้คนที่ไม่เห็นด้วยไปนอนคุยกับรากมะม่วงได้ง่ายๆ โดยผ่านหน่วยตำรวจลับที่มีชื่อว่า The Securitate ที่มีวิธีกำจัดคนที่ก่อหวอดด้วยวิธีที่โหดเหี้ยมเพื่อไม่ให้มีใครกล้ากระด้างกระเดื่องนำคนลุกขึ้นมาต่อต้าน
นับตั้งแต่นั้นมาประเทศโรมาเนียก็เข้าสู่ภาวะยากจน ความเป็นอยู่ของประชาชนเข้าขั้นย่ำแย่ มีการใช้ระบบปันส่วนอาหารซึ่งแน่นอนว่ามันไม่พอสำหรับประชาชน ความอดอยากเกิดขึ้นทั่วประเทศ และที่แย่ไปกว่านั้นก็คือนโยบายการเพิ่มจำนวนประชากรที่รัฐบังคับให้แต่ละครอบครัวต้องมีลูกมากๆ แต่อาหารที่ได้รับกลับมีน้อยนั่นก็ยิ่งทำให้จากที่ไม่พอกินอยู่แล้วก็ยิ่งไม่พอกินเข้าไปใหญ่
ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นคือเด็กเป็นจำนวนมากถูกทอดทิ้งและต้องเข้าไปอยู่ในสถานสงเคราะห์ของรัฐที่ความเป็นอยู่ก็ไม่ต่างจากอยู่ข้างนอก นอกจากนี้รัฐยังยื่นมือเข้ามาแทรกแซงการรับรู้ข่าวสารของประชาชนทุกอย่าง เรียกได้ว่าประเทศโรมาเนียในยุคนั้นมีสภาพไม่ต่างจากเกาหลีเหนือในปัจจุบัน
หลังจากความยากจนข้นแค้นที่ดำเนินมากว่า 22 ปี ความอดทนของประชาชนก็หมดลงเมื่อมีเหตุการณ์การที่หน่วยตำรวจลับลักพาตัวบาทหลวงที่มักจะวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลซึ่งพากันกอบโกยทุกสิ่งทุกอย่างจากประเทศไปจนร่ำรวย โดยเฉพาะบรรดาญาติสนิทมิตรสหายของเหล่าผู้มีอำนาจที่ร่ำรวยกันทุกคนขัดกับสภาพความเป็นอยู่ของประชาชน การชุมนุมขับไล่เริ่มขึ้นในวันที่ 16 ธันวาคม 1989 และแน่นอนว่ารัฐบาลเผด็จการของนิโคไลได้ทำการสลายการชุมนุมด้วยวิธีการที่รุนแรงจนมีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ซึ่งนายเชาเชสคูหวังว่ามันจะเป็นการสยบทุกเสียงต่อต้านให้เงียบกริบ แต่ทว่ามันไม่เป็นไปอย่างที่เขาคิด
วันที่ 21 ธันวาคม นายนิโคไลได้จัดการปราศัยใหญ่ขึ้นที่กลางเมืองบูคาเรสต์โดยมีการ “บังคับ” ประชาชนกว่า 3,000 คนให้มาเป็นหน้าม้าคอยส่งเสียงเชียร์ที่บริเวณด้านหน้า ซึ่งจุดประสงค์ของการจัดปราศรัยครั้งนี้เพื่อ “กล่อม” ให้ประชาชนเชื่อใจอีกครั้งหลังจากการสลายการชุมนุมเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
ระหว่างการปราศัยนั้นก็มีประชาชนหลั่งไหลกันเข้ามาชุมนุมเป็นจำนวนมาก จากภาพที่คิดว่าเมื่อพูดไปแล้วก็จะมีคนปรบมือโห่ร้องแสดงความดีใจกลับกลายเป็นเสียงโห่ร้องด้วยความไม่พอใจ จนการปราศรัยต้องล่มลงกลางคันและตามมาด้วยการสลายการชุมนุมอย่างรุนแรงอีกครั้งด้วยกระสุนปืนและรถถัง การปราศรัยของนิโคไลนั้นถูกถ่ายทอดไปทั่วประเทศและตัดจบกลางคันพร้อมกันทั่วประเทศเช่นกัน ซึ่งประชาชนที่กำลังดูอยู่ก็รู้สึกแบบเดียวกับเสียงโห่ในโทรทัศน์และรู้สึกว่ามันคงถึงเวลาที่จะต้องทำอะไรสักอย่าง พวกเขาจึงพากันออกไปรวมตัวตามจุดสำคัญของเมืองและที่สำคัญคือเป็นประชาชนทั้งประเทศ!
การชุมนุมบานปลายเป็นการขับไล่รัฐบาล ประชาชนทั้งประเทศลุกฮือเพื่อขับไล่นายนิโคไลให้ลงจากอำนาจโดยเร็ว ในเมืองหลวงผู้คนกว่า 100,000 คนรวมตัวกันบุกเจ้าไปยังสถานที่สำคัญต่างๆ ทำลายเอกสาร ภาพถ่ายและสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของนายนิโคไลและภรรยาโดยปราศจากการต่อต้านของกองทัพ สุดท้ายคือการบุกเข้าไปที่สถานีโทรทัศน์เพื่อประกาศให้คนทั้งประเทศรู้ว่า “นี่คือการปฏิวัติ”
เมื่อมีการถ่ายทอดไปทั่งประเทศก็ทำให้ประชาชนออกมากันมากขึ้น จากการปฏิวัติก็กลายเป็นสงครามกลางเมืองเพราะฝ่ายที่สนับสนุนนายนิโคไลก็ออกมาขัดขวางเช่นกัน การสู้รบกินเวลาไม่นานสุดท้ายฝ่ายประชาชนก็ประกาศชัยชนะพร้อมๆ กับการจับตัวนายนิโคไลและภรรยารวมไปถึงผู้ที่มีอำนาจในฝ่ายรัฐบาลเอาไว้ได้ทั้งหมด
นายนิโคไลและภรรยาถูกนำตัวไปขึ้นศาลทหารในวันที่ 25 ธันวาคม 1989 โดยศาลตัดสินให้ประหารชีวิตจาก 5 ข้อหาที่มีทั้งการฆาตกรรมประชาชนกว่า 60,000 คนในขณะที่ครองอำนาจ การสลายการชุมนุมด้วยความรุนแรงเป็นเหตุให้ประชาชนเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ทำลายสิ่งก่อสร้างและเศรษฐกิจของชาติ และที่สำคัญคือยักยอกทรัพย์สินแผ่นดินไปเป็นจำนวนมหาศาล
สิ้นคำตัดสินนายนิโคไลและภรรยาถูกนำตัวไปประหารชีวิตในทันที หลังอาคารที่ใช้ตัดสินด้วยวิธีการ “ระดมยิง” ทั้งคู่ถูกนำตัวเข้าไปยืนชิดกำแพง โดยภรรยาของนายนิโคไลตะโกนโวยวายมาตลอดทางที่ถูกควบคุมตัว ทั้งคู่ตัวสั่นเพราะความกลัวก่อนที่เสียงปืนจะแผดลั่นออกมา กระสุนกว่า 120 นัดพุ่งเข้าใส่ร่างของทั้งคู่ทำให้ล้มลงไปกองกับพื้นและขาดใจตายภายในเวลาไม่นาน ปิดตำนานจอมเผด็จการแห่งโรมาเนีย
เรียบเรียง : SpokeDark.TV