นักวิจัยไทยเก่ง สกัดยางพารา เป็นครีมทำขาวใส
นักวิจัยจากรั้วมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) ค้นพบและผลิตครีมหน้าใสจากยางพาราได้เป็นรายแรกของโลก พร้อมยื่นจดสิทธิบัตรเป็นของคนไทย
สถานวิจัยความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยียางพารา ภาควิชาเทคโนโลยียางและพอลิเมอร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.อ.ปัตตานี ก็เพิ่งจัดโครงการอบรมถ่ายทอดเทคโนโลยีจากงานวิจัยให้กับกลุ่มผู้นำเกษตรกร ในหลักสูตร “ดินประดิษฐ์จากยางพาราและการทำผลิตภัณฑ์จากน้ำยางข้นชนิดครีม” ซึ่งเป็นการต่อยอดจากงานวิจัยเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับเกษตรกรผู้ปลูกยางท่ามกลางสถานการณ์ความไม่สงบทางหนึ่งเหมือนกัน
รศ.ดร.รพีพรรณ วิทิตสุวรรณกุล จากภาควิชาชีวเคมี คณะวิทยาศาสตร์ ม.อ.หาดใหญ่ เจ้าของสูตรครีมเสริมสุขภาพผิวจากยางพารา ศึกษาและวิจัยยางพารามากว่า 20 ปี สังเกตเห็นว่ายางพาราเป็นพืชที่ถูกคุกคามโดยการทำให้เกิดบาดแผลจากการกรีดแทบทุกวัน การที่เรากรีดเปลือกยางเพื่อเอาน้ำยาง ทำให้ต้นยางเป็นแผลและมีจุลินทรีย์เข้าไปรบกวน ต้นยางจึงสร้างสารต่อสู้จุลินทรีย์และหลั่งออกมาในน้ำยางด้วย พร้อมทั้งสร้างสาร “พฤกษเคมี” ขึ้นเพื่อรักษาบาดแผลและสร้างเนื้อเยื่อใหม่แทนบาดแผลที่โดนกรีด
ขณะเดียวกันจะสังเกตเห็นคนงานในโรงงานยางพารา ส่วนใหญ่ล้วนมีสุขภาพผิวดี จึงเกิดความคิดที่จะศึกษาวิจัยความพิเศษของสารในน้ำยาง
“ผลจากการทำวิจัยร่วมกันหลายฝ่าย ทั้งจากนักศึกษาปริญญาเอกและนักวิจัยอื่นๆ พบว่า น้ำยางสดอุดมไปด้วยสารพฤกษเคมีนานาชนิด ซึ่งในน้ำยางพารานั้นมีส่วนประกอบของสารโปรตีเอสอินฮิบิเตอร์ แอนติออกซิแดนท์ 2-3 ประเภท น้ำตาลแอลกอฮอล์ที่เป็นตัวสร้างความชุ่มชื้น และสารแอลฟาไฮดรอกซิเอซีฟ (เอเอชเอ) ซึ่งเป็นสารที่มีประโยชน์มักใช้เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์ความงามหลายชนิด เราจึงสกัดสารเหล่านี้ออกมาแล้วส่งไปให้ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติพัฒนาเป็นครีม จากนั้นก็เริ่มทดลองใช้ในคน”
“ส่วนทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยนเรศวรได้ทำการพัฒนาเกี่ยวกับการส่งสารเข้าสู่ผิว และทดลองในคนเช่นกัน ผลปรากฏว่า ผู้ที่ใช้ครีมมีใบหน้าขาวและเรียบเนียนขึ้นภายใน 6-8 สัปดาห์ อีกทั้งไม่พบอาการแพ้ใดๆ นอกจากนี้ยางพารายังมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงมากด้วย”
รศ.ดร.รพีพรรณ เล่าต่อว่า จากการวิจัยสารสกัดที่อยู่ในน้ำยางพารา พบว่ามีกลุ่มสารที่เหมาะสำหรับนำไปใช้ทำเครื่องสำอางเพื่อเสริมหรือรักษาสุขภาพผิวพรรณให้ขาวใส เนียน และเต่งตึงขึ้น ได้แก่
1.สารต้านกิจกรรมการขนถ่ายเม็ดสีจากเซลล์สร้างเม็ดสีไปยังเซลล์ผิว ทำให้ผิวขาวขึ้นเพราะเซลล์ผิวมีปริมาณเม็ดสีน้อยลง
2.สารแอนตี้ออกซิแดนท์ นอกจากจะสามารถทำลายฤทธิ์สารอนุมูลอิสระของออกซิเจนซึ่งเป็นสาเหตุของการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิวหนัง ทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่นและมีริ้วรอยได้แล้ว ยังส่งผลให้มีการเพิ่มขึ้นของกิจกรรมการสร้างเม็ดสีพีโอเมลานิน ซึ่งเป็นเม็ดสีหลักสำหรับผิวฝรั่ง (ผิวขาว) และการลดลงของกิจกรรมการสร้างเม็ดสียูเมลานิน ซึ่งเป็นเม็ดสีหลักของคนผิวเอเชียและนิโกร (ผิวคล้ำ)
3.สารซูเปอร์แอนตี้ออกซิแดนท์ สามารถทำลายทั้งฤทธิ์ของอนุมูลอิสระของออกซิเจน และอนุมูลอิสระของไนโตรเจน รวมทั้งสามารถต้านกิจกรรมการกระตุ้นการสร้างสารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ของเซลล์ผิวหนังเมื่อได้รับรังสียูวีจากแสงแดดด้วย ส่งผลยับยั้งการเกิดริ้วรอยและเสื่อมสภาพของผิวหนัง
4.น้ำตาลแอลกอฮอล์ น้ำตาลซูโครส ฟรุคโตส และกรดอะมิโนที่สามารถเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหนังให้ดูเต่งตึงขึ้น
5.สารแอลฟาและเบต้าไฮดรอกซิแอซิด เอื้อต่อการหลุดลอกของเซลล์ผิวที่ตายแล้วบนผิวชั้นนอกให้ง่ายขึ้น โดยสารเบต้าไฮดรอกซิแอซิดสามารถแทรกซึมเข้าไปออกฤทธิ์ในระดับรูขุมขน ทั้งสามารถป้องกันเซลล์ผิวจากการแผดเผาด้วยรังสียูวีบีได้ด้วย ส่งผลให้เกิดการกระตุ้นการผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิวใหม่ ทำให้ผิวหน้าแลดูเนียนและสดใสขึ้น
6.สารอาหารกรดอะมิโน 17 ชนิด รวมทั้งชนิดที่ใช้สำหรับสร้างโปรตีนคีราติน และคอลลาเจนเพื่อสุขภาพที่ดีของเซลล์ผิว
7.สารอาหารแร่ธาตุสำคัญ จำพวก สังกะสี โครเมียม ทองแดง แมงกานีส และซีเลเนียมที่เอื้อต่อกระบวนการปรับปรุงสุขภาพผิว
“จากข้อมูลผลประเมินที่รวบรวมได้จากอาสาสมัครทดลองใช้ พบว่าครีมเบสที่ประกอบด้วยสารสกัดเฮชบี 5 กรัมเปอร์เซ็นต์ สามารถปรับปรุงรักษาสุขภาพผิวหน้าของอาสาสมัครได้เป็นอย่างดี โดยหลังการทาครีมเฮชบีไปได้ 9 สัปดาห์ ในกลุ่มอาสาสมัครที่หน้าเป็นฝ้า 64 คน พบว่ามีจำนวนอาสาสมัครที่หน้าขาวขึ้น 98.4% ฝ้าจางลง 96.8% หน้าเรียบเนียนขึ้น 92.2% และความมันบนใบหน้าลดลง 53.1% ในกลุ่มอาสาสมัครที่หน้าเป็นสิว 36 คน พบว่ามีจำนวนที่มีการอักเสบของสิวลดลง 100% ปริมาณสิวลดลง 100% ความมันบนใบหน้าลดลง 88.9% และรอยด่างดำจากสิวลดลง 86.1%”
รศ.ดร.รพีพรรณ บอกด้วยว่า นอกเหนือจากคุณสมบัติในการรักษาผิวหน้าที่หมองคล้ำแล้ว ครีมมหัศจรรย์จากยางพารายังอาจใช้กับส่วนอื่นๆ ของร่างกายได้อีกด้วย
“เบื้องต้นเราทำออกมาเป็นครีมทาหน้า ต่อไปก็อาจเป็นสบู่และอื่นๆ คือสามารถใช้ได้กับทุกส่วนของร่างกาย แต่ก็ต้องทำการทดลองต่อไปอีก เป็นแผนที่เราจะดำเนินการต่อไป“
ในแง่ของกระบวนการผลิต ปัจจุบันมีความคืบหน้าไปมาก
“ประเทศไทยมียางพาราจำนวนมากและส่งออกไปทั่วโลก อีกทั้งนโยบายของรัฐบาลยังส่งเสริมการปลูกยางพาราในหลายพื้นที่ ทำให้เรามีวัตถุดิบเหลือเฟือ ขณะเดียวกันการค้นพบของเรายังช่วยต่อยอดศักยภาพของผลิตภัณฑ์ได้เป็นอย่างดี ตอนนี้ก็เริ่มผลิตตามความต้องการของลูกค้า หลังจากจดสิทธิบัตรเมื่อปี 2552 และสามารถผลิตในระดับอุตสาหกรรมเพื่อจัดจำหน่ายได้ ส่วนในอนาคตอยากขายสารสกัดมากกว่า เพราะสามารถส่งออกและขยายตลาดได้ทั่วโลก” รศ.ดร.รพีพรรณ กล่าว
ในส่วนของการส่งเสริมให้ชาวสวนยางมีรายได้เพิ่มขึ้นจากงานวิจัยชิ้นนี้ รศ.ดร.รพีพรรณ บอกว่า ต้องพัฒนาไปถึงระดับที่เอกชนสามารถทำเองได้ ต้องมีการอบรมและการจัดการที่มีประสิทธิภาพเพื่อเอาสารสกัดหรือเซรั่มที่บริสุทธิ์ออกมา หากทำได้ชาวสวนก็จะมีรายได้เพิ่มจากส่วนที่ไม่ใช่ยางหรือน้ำยาง โดยเอาส่วนที่เป็นสารสกัดมาขายภายใต้การควบคุมคุณภาพจากบริษัทผู้ผลิต
“ดิฉันอยากให้เด็กรุ่นใหม่คิดค้นทดลองและเข้ามาสู่การวิจัยกันมากขึ้น จากที่เราเคยขายยางอย่างเดียวแล้วต่างประเทศก็คิดค้นผลิตภัณฑ์ นำไปจดสิทธิบัตร และนำสินค้ากลับเข้ามาขายเราในราคาแพง นับจากนี้เราต้องคิดต่าง เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ของตนเองบ้าง และยังหวังว่าเด็กไทยมีความสามารถอีกมาก ควรใช้ให้เกิดประโยชน์มากกว่าที่เป็นอยู่”
ด้าน ผศ.คำรณ พิทักษ์ ผู้อำนวยการศูนย์บ่มเพาะวิสาหกิจ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวว่า ทาง ม.อ.ได้จัดตั้ง บริษัท พี.เอส.ยู.นวัตวาณ⸴ชย์ หรือ PSU Innovation Trading Company ด้วยทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำงานวิจัยไปใช้ประโย⸊น์เชิงพาณิชย์ ในส่วนของครีมหน้าใสยางพารา (Hb Brightening Cream) เป็นอีกผลิตภัณฑ์หนึ่งที่ได้รับความสนใจ ปัจจุบันผลิตออกจำหน่ายแล้ว ในขนาดบรรจุ 15 กรัม ราคาชุดละ 450 บาท และสารสกัดเอชบีเพื่อปรับปรุงสุขภาพผิว (The Hb extract for improving skin health) ขนาดบรรจุ 50 กรัม ผงแห้ง ราคา 3,000 บาท
วิธีใช้ครีมหน้าใสยางพารา (Hb Brightening Cream) ไม่มีอะไรซับซ้อน กล่าวคือภายหลังทำความสะอาดผิวหน้า ให้ทาครีมลงบนผิวหน้าและลำคอเพียงบางๆ ทุกเช้าและเย็นหรือบ่อยครั้งตามที่ต้องการ ควรเก็บครีมไว้ในที่ที่มีอากาศถ่ายเทได้ดีและไม่โดนแสงแดด หรือเก็บไว้ในตู้เย็น ก่อนใช้ควรทดลองทาบางๆ ใต้ท้องแขนและทิ้งไว้ 12 ชั่วโมง หากเกิดการระคายเคืองควรระงับการใช้ทันที ปัจจุธันมียอดจำหน่ายราว 1,000 ตลับ