คำว่า B-Boying นั้นมีรากศัพท์มาจากภาษาของชนชาติแอฟริกัน คือ คำว่า Boioing หมายความว่า กระโด,โลดเต้น และถูกใช้ในแถบ Bronx River ในการเรียก รูปแบบการเต้นเบรกกิ้งของกลุ่มชาวบีบอย ตัว B ในคำว่า Bgirl : Bboy นั้นย่อมาจาก Break-Girl : Break-Boy (บางทีก็หมายถึง Boogie หรือ Bronx) B-Boying นั้นยังเป็นที่รู้จักในชื่อ เบรกกิ้ง หรือ เบรคแด๊นซ์ (อันหลังได้รับการบัญญัติโดยสื่อมวลชน)
Breaking นั้นเป็นที่รู้จักกันในชื่อ Rocking มาก่อน เป็นการสะท้อนของ อิทธิพลจากชนชาวแอฟริกัน อเมริกัน หรือวัฒนธรรมชาวลาติน(เปอโตริกัน)ซึ่งมาพร้อมกับการอพยพ และ ปักฐานที่กรุงนิวยอร์กในช่วงปลายยุค60นั่นเอง "เบรกกิ้ง" เป็นการเต้นที่ได้รับอิทธิพลจากการเต้นหลากหลายรูปแบบ ทั้งท่วงท่าจากกีฬายิมนาสติก รวมถึงจากศิลปะการเคลื่อนไหวของโลกตะวันออกอีกด้วย เป็นที่คาดคิดกันว่า เบรคกิ้ง หรือเบรคแด๊นซ์นั้นมีรากฐานมาจาก คาโปเอร่า หรือ Capoeira คำว่า เบรค (Break)- -นั้นเป็นช่วงของจังหวะดนตรีที่ดุดันและเร้าใจ ในช่วงจังหวะนี้เหล่านักเต้นจะแสดงอารมณ์ด้วยท่าเต้นที่จะดึงดูดสายตาที่สุด เลยทีเดียวเรียกว่ามีอะไรก็เอามาโชว์ให้หมด Kool DJ Herc เป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับในการขยายช่วงจังหวะนี้ให้สนุกมากขึ้นด้วยเทิร์น เทเบิ้ลถึงสองตัว โดยเล่นแผ่นเสียงพร้อมกันทั้ง2เครื่องและใช้แผ่นเสียงเพลงเดียวกัน ใช้เทคนิคถูแผ่นต่างๆกันไปซึ่งนักเต้นสามารถจะถ่ายทอดท่าเต้นได้นากว่าเดิม ที่มักจะเป็นเวลาเพียงไม่กี่วินาที ในระยะแรกๆนั้นการเต้นจะเป็นท่า upright ที่ภายหลังเป็นที่รู้จักกันในชื่อ top rocking เป็นท่ายืนเต้น ซึ่งมีอิทธิพลมาจาก Brooklyn uprocking, การเต้นแท็ป , lindy hop , ซัลซ่า, ท่าเต้นของ Afro Cuban, ชนพื้นเมืองแอฟริกัน และชนพื้นเมืองชาวอเมริกัน และก็ยังมีท่าท๊อปร็อคแบบ Charleston ที่เรียกว่า "Charlie Rock" อิทธิพลอีกอย่างนั้นมาจาก James Brown กับผลงานเพลงยอดฮิต Popcorn (1969) และ Get on the Good Foot (1972) จากท่าเต้นที่เต็มไปด้วยพลังและรูปแบบที่โลดโผนสนุกสนาน ผู้คนจึงเริ่มที่จะเต้นในแบบ GoodFoot ในขณะ ที่การต่อสู้กันด้วยลีลาท่าเต้นเริ่มจะกลายมาเป็นประเพณี
การ เต้น Rocking หรือ Breaking นั้นก็เริ่มจะแทรกซึมเข้ามาสู่วัฒนธรรมฮิปฮอป (ปะทะกันด้วยความสร้างสรรค์ไม่ใช่ด้วยอาวุธ) และมันเริ่มพัฒนาท่าเต้นที่เริ่มหลากหลายขึ้น ทั้งการย่ำเท้า การสับขา การลากเท้า และท่วงท่าที่จะใช้ปะทะกัน คือมีดีอะไรก็นำมาโชว์และเป็นที่มาของท่า footwork (floor rocking) และ freezes Floor rocking มีอิธิพลมาจากภาพยนตร์แนวต่อสู้ ในช่วงปลายยุค 70, การเต้นแท็ป ( ฟุตเวิร์กแบบชาวรัสเซีย,กาตบ, การกวาดตัวเคลื่อนย้ายอย่างรวดเร็ว, ท่าล้อเกวียน ) และท่าอื่นๆ ซึ่ง Floor rocking ได้เข้ามาเป็นท่า เต้นหลักเพิ่มขึ้น จาก toprocking ในช่วงการเต้นขึ้นลงสู่พื้น เรียกว่า การ godown หรือ การ drop ยิ่งทำได้ลื่นไหลมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี Freezes นั้นมักใช้ในเป็นท่าจบ ซึ่งมักจะใช้เป็นท่าล้อเลียนหรือท้าทายฝ่ายตรงข้ามหรือคู่ต่อสู้ ท่าที่ยอดฮิตก็คือ chairfreeze และ baby freeze ท่า chair freeze นั้นกลายเป็นท่าพื้นฐานของหลายๆท่าเพราะว่าระดับความยากง่ายของท่าที่ต้อง ใช้ความสามารถพอตัว คือ การใช้มือ แขน ข้อศอกในการพยุงตัวในขณะที่เคลื่อนไหวขาและสะโพก เป้าหมายหลักในการปะทะ หรือ Breaking Battle นั้นก็คือ เอา ชนะคู่ต่อสู้ด้วยท่าที่ยากกว่า สร้างสรรค์กว่า และรวดเร็วกว่าในทั้งจังหวะ และการFreezesซึ่งก็เป็นสิ่งที่ Breaking crews หรือกลุ่มของนักเต้นนั้น เข้ามารวมตัวกันและช่วยกันฝึกฝนและคิดค้นท่าใหม่ๆ เพื่อเอาชนะกลุ่มอื่นๆกลุ่มบีบอยที่เป็นที่รู้จักในช่วงแรกๆ คือ กลุ่ม Nigga Twins และ กลุ่มอื่นๆอย่างเช่น TheZulu Kings, The Seven Deadly Sinners, Shang-hai Brothers, The Bronx Boys, Rockwell Association, Starchild La Rock,Rock Steady Crew and the Crazy Commanders (CC step) เรียกได้ว่าพวกเขาเป็นผู้บุกเบิกวงการนักเต้นบีบอยยุคแรกๆ ช่วงที่การเต้นแบบนี้เริ่มพัฒนาจนมีเอกลักษณ์ น่าสนใจและสร้างนักเต้น ที่เป็นที่รู้จักนั่น ก็คือช่วงกลางยุคปี 70 ก็ได้แก่นักเต้นอย่าง Beaver, Robbie Rob(Zulu Kings), Vinnie, Off (Salsoul), Bos (Starchild La Rock), Willie Wil,Lil' Carlos (Rockwell Association), Spy, Shorty (Crazy Commanders),Jame Bond, Larry Lar, Charlie Rock (KC Crew), Spidey, Walter (Master Plan) ฯลฯกลุ่มบีบอยใหญ่ๆที่ทำใหศิลปะการปะทะกันด้วยเบรคแด๊นซ์นี้ไม่หายไป ก็คือการปะทะกันระหว่างกลุ่ม SalSoul (เปลี่ยนชื่อภายหลังเป็น The DiscoKids) กับกลุ่ม Zulu Kings และระหว่างกลุ่ม Starchild La Rock กับ Rockwell-Association ในขณะนั้น เบรคกิ้ง หรือ เบรคแด๊นซ์ ยังมีแค่ท่า Freezes, Footworks and Toprocks และ ยังไม่มีท่า Spins! ในช่วงปลายยุค 70 กลุ่มบีบอยรุ่นเก่าๆเริ่มที่จะถอนตัวกันไปและบีบอยรุ่นใหม่ๆก็เริ่มเข้ามา แทนที่ และ คิดค้นสร้างสรรค์ท่าและรูปแบบการเต้นใหม่ๆขึ้น เช่น การหมุนทุกๆส่วนของร่างกาย เพิ่มขึ้นมา ซึ่งเป็นที่นิยมมาจนถึงปัจจุบัน เช่นท่า Headspin , Continues Backspin หรือ Windmill และอื่นๆอีกมาก ที่ได้รับการคิดค้นและพัฒนามาเรื่อยๆ ในช่วงยุค 80 มีกลุ่มบีบอยหลายๆกลุ่มที่โด่งดังในกรุงนิวยอร์ก ได้แก่ 'Rock Steady Crew' , 'NYC Breakers' , 'Dynamic Rockers' , 'United States Breakers' , 'Crazy Breakers' , 'Floor Lords' , 'Floor Masters' , 'Incredible Breakers' , 'Magnificent Force' ฯลฯ บีบอยที่เก่งช่วงนั้นก็เช่น Chino, Brian, German, Dr. Love (Master Mind), Flip (Scrambling Feet),Tiny (Incredible Body Mechanic) ฯลฯ.
การปะทะ กันที่ยิ่งใหญ่มากในตอนนั้น เป็นการปะทะกันระหว่าง Rock Steady Crew กับ NYC Breakers และระหว่าง Rock Steady Crewกับ Dynamic Rockers และในช่วงปลายยุคปี80การปะทะกันระหว่างกลุ่มเหล่านี้ก็เริ่มดึงดูดสายตา เหล่าสื่อมวลชนและในปี1981 ช่องABCได้ถ่ายทอดการแสดงของ Rock Steady Crewที่ Lincoln Center และในปี1982 การปะทะกันระหว่าง Rock Steady Crew กับ Dynamic Rockers ได้รับการบันทึกเป็นสารคดี ในชื่อ "Style Wars" และได้รับการถ่ายทอดอย่างเป็นทางการจากช่อง PBS ซึ่งก็ทำให้ การเต้นเบรกกิ้งเดินทางไปสู่ทางฝั่งตะวันตกของประเทศสหรัฐอเมริกา และในปีเดียวกันนั้น "Roxy" คลับโรลเลอร์สเก็ตดิสโก้ที่เป็นที่รู้จักกันดี ได้ถูกเปลี่ยนไปเป็น คลับฮิปฮอป.
ปี1983 ภาพยนตร์ "Flashdance" เป็นที่นิยมอย่างมาก และ มิวสิควีดีโอของMalcolm McLarens ที่ชื่อ "Buffalo Gals" ก็ได้ฉายออกทีวี Rock Steady Crew นั้นได้มีส่วนร่วมแสดงในทั้งสองเรื่องและเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกจากความ สำเร็จของทั้งภาพยนตร์และเพลงสำหรับคนทั่วไปแล้วการเต้น ?เบรคกิ้ง? นั้นเป็นสิ่งใหม่ ที่ไม่มีใครเคยรู้จักมาก่อน และน่าตื่นตาตื่นใจ และในปีเดียวกันนั้น ภาพยนตร์เรื่อง"Wild Style" ก็ออกฉายและมีการโปรโมตภาพยนตร์ ซึ่งเป็นการออกทัวร์ครั้งแรกของชาวฮิปฮอป มีทั้ง The MCs, DJs, Graffiti artists และ Breakers เดินทาง ไปโปรโมตที่ London และ Paris การออกโปรโมตครั้งนี้นั้นเป็นครั้งแรกที่โชว์เบรคกิ้ง ได้เปิดการแสดงสดในทวีปยุโรปในปี1984 ภาพยนตร์เรื่อง"Beat Street" เปิดตัวฉายและกลุ่มบีบอยที่ได้แสดงในเรื่องก็คือ Rock Steady Crew, NYC Breakers และ Magnificent Force และในช่วงการแสดงปิดท้ายงาน LA Olympic Summer Games เป็นการแสดงของบีบอย และ บีเกิร์ลกว่า 100คน! และในปีเดียว กัน "Swatch Watch NYC Fresh Tour" ก็ออกฉาย และภาพยนตร์ชื่อ "Breakin" ก็เริ่มถ่ายทำในปี1985 และต่อด้วย "Breakin 2: Electric Boogaloo" ทั้งสองเรื่อง ถ่ายทำในไนท์คลับชื่อ "Radio" (ภายหลังชื่อ "Radiotron") ใน LA ' Breakin' หรือ Breakdance' ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ และได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของยุคสมัยและแฟชั่น เห็นได้จากโฆษณา ผลิตภัณฑ์นม,Right Guard, Burger King ฯลฯ และรายการทีวี อย่าง Fame, That's Incredible!, David Letterman ฯลฯ ทั้งนี้กลุ่มบีบอยยังได้รับเกียรติให้เป็นแขกกิตติมศักดิ์ ของเจ้าชาย ของ Bahrain และQueen Elizabeth อีกด้วย
จวบจน ปัจจุบัน "บีบอย" ก็ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมฮิปฮอป และได้รับความนิยมไม่ว่าจะเป็นมุมไหนของโลก การสร้างสรรค์ลีลาการเต้นที่เป็นสนุกสนานก็ยังคงดำเนินต่อไป
ช่วง นี้ถ้าเดินไปไหนมาไหน เห็นใครเดินตัวกระตุกๆ ก็ไม่ต้องตกกะใจไป เพราะกระแสบอยแบนด์แดนกิมจิ กำลังมาแรงจนยากที่จะเอาอะไรมาฉุดไว้ได้อีกแล้วล่ะ โดยเฉพาะท่าเต้นเท่ห์ๆ ที่เรียกว่า Poppin ที่หนุ่มเกาหลี K-POP เค้าชอบเต้นกันซะเหลือเกิน ก็เลยทำให้ M MAX Zap Zone พากระโจนเข้ากระแส ชวนคนมันส์ซ่าไปทำความรู้จักกับการเต้น Poppin กันซะหน่อยดีกว่า !
ไป ยังไง มายังไงกันล่ะ Poppin เนี่ย !
Poppin หรือ Popping เป็นการสมานฉันท์กันระหว่าง funk dance & street dance แต่เป็นการเต้นที่ต้องอาศัยการกระตุกกล้ามเนื้อ หรือข้อต่อของอวัยวะส่วนต่างๆ มองเผินๆ จะดูแข็งๆ แต่ก็แฝงไว้ด้วยความพริ้วไหว เพราะอาศัยความรวดเร็วที่ผู้เต้นใช้ในการจัดท่าทางต่างๆ ให้ลงตัว โดยเริ่มมีการเต้นกันมาตั้งแต่ช่วงเกือบๆ ปี 1980 ที่ California นู้นเลย โดยกลุ่ม Poppin ที่ชื่อว่า Electric Boogaloos แต่ถ้าจะพูดถึงศิลปินเดี่ยวที่ปลุกกระแสการเต้น Poppin ให้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เค้าคือ “Michael Jackson” The King Of Pop ของโลกนั่นเอง ที่คงพอจะจำกันได้กับท่าเต้นแปลกๆ ของเค้า(เมื่อเทียบกับในยุคนั้น) ซึ่งบางทีก็ดูคล้ายกับหุ่นยนต์ใส่ถ่านยังไงอย่างงั้นเลย แต่พอเมื่อเวลาผ่านไปก็ไม่น่าเชื่อว่าการเต้น Poppin ที่เคยดูขัดหูขัดตาเมื่อหลายสิบปีก่อน จะกลับมา Pop (สมชื่อ) กันอีกครั้งในยุคนี้ ด้วยฝีไม้ลายมือ(และหน้าใสๆ )ของหนุ่มเกาหลีเพื่อนบ้านของเรานี่เอง
ศิลปินเกาหลีวงไหนบ้างล่ะที่เต้น Poppin
ถ้า จะเอาระดับโปรจริงๆ ถึงขนาดว่าเป็นปรมาจารย์สอนนักร้องคนอื่นๆ มาแล้วเนี่ย ก็คงต้องยกให้กับหนุ่ม Hyun Joon ที่ถึงขนาดเค้าได้รับฉายาว่า Poppin Hyun Joon กันเลยทีเดียว ซึ่งเค้าได้เคยเป็นอาจารย์สอนการเต้น Poppin ให้กับศิลปินดังๆ มาแล้วมากมาย อย่างเช่น H.O.T, Super Junior, Lee Junki, Boa และ Paran (เก่งไม่เก่งก็คิดดูเอาแล้วกันนะ)
Poppin ท่าไหนถึงจะเท่ห์บาดใจ
ขอ ให้เป็น Poppin เถอะ ! จะท่าไหนก็เท่ห์บาดใจได้ทั้งนั้นล่ะ ก่อนจะเริ่มเต้นขอแนะนำว่าอย่าเพิ่งไปทานอะไรมาอิ่มๆ ล่ะ เดี๋ยวจะจุกเอาได้ง่ายๆ นะ เอาล่ะพร้อมจะ Poppin กันรึยัง พร้อมแล้วก็ไปเข้าท่ากันเลยดีกว่านะ(เพราะถ้าไม่เข้าท่า มันก็ไม่ดีไง) เริ่มจากท่าแรกที่จะแนะนำคือ... - Boogaloo/Electric boogaloo หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นท่าออริจินอลของ Poppin เลยก็ว่าได้ เพราะเป็นท่าที่กลุ่ม Electric Boogaloos คิดค้นขึ้นมา ลักษณะของท่าก็คือการทำตัวเป็นมนุษย์ไร้กระดูกเคลื่อนไหวสะโพก หัวเข่าไปจนถึงหัว ให้พริ้วเหมือนกับร่างกายกำลังถูกม้วนเป็นวงกลมเลย
Animation หรือแปลตามตรงได้ว่า ภาพเคลื่อนไหว
ที่ เรารู้ๆ กันนั่นแหละ เป็นการเต้นที่ผู้เต้นจะพยายามทำท่าเลียนแบบภาพบนแผ่นฟิล์มภาพยนตร์ ทีละเฟรม ทีละเฟรม เป็นภาพต่อเนื่องกัน ใครที่ทำได้เนียนๆ อ่ะนะ ก็จะมองดูคล้ายๆ กับการ์ตูน Animation เลยล่ะ
Liquid dancing
ท่าเต้นที่ให้ ผู้เต้นจินตนาการว่าตัวเราเองคือของเหลว ไม่ว่าจะเป็น นิ้วมือ มือ แขนและขา ให้เคลื่อนไหวต่อเนื่องกัน
Robot/botting
ท่านี้ไม่มีอะไร ยากเย็น แค่ให้นึกถึงอิริยาบถต่างๆ ของการ์ตูน หุ่นยนต์ ที่เราเคยดูกันตอนเด็กๆ นั่นแหละใช่เลย ! แข็งๆ ทื่อๆ แต่ทำแล้วดูเท่ห์ชะมัด !
Slow motion
ท่านี้เหมาะกับคน ที่ชอบทำอะไรเชื่องช้า เพราะต้องพยายามเยื้องย่างกายให้ช้ามากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดูเหมือนจะง่ายนะ แต่จริงๆ แล้วต้องอาศัยการเกร็งตัวอย่างมาก ซึ่งก็จะทำให้รู้สึกเมื่อยน่าดูเลยล่ะ
Waving
คือการเต้นโดยทำตัวให้ มีการเคลื่อนไหวขึ้นลงเหมือนอย่างคลื่นทะเล ท่านี้จะคล้ายๆ กับท่า Liquid dancing แต่จะดูเป็นลำดับกัน มีความต่อเนื่องมากกว่า
เอ๊า ! เรียนรู้ท่าต่างๆ ของ Poppin ที่ M MAX Zap Zone เอามาฝากกันหลายท่าแล้ว อยากดูดีมีสาวกรี๊ดเหมือนอย่างหนุ่มหน้าใสบอยแบนด์เกาหลีเค้า ก็ลองไปฝึกเต้นกันดูนะ หรือถ้าหากว่าใครยังไม่สะใจ อยากรู้รายละเอียดและประวัติของ Poppin มากกว่านี้ ก็เข้าไปศึกษาเพิ่มเติมกันต่อที่นี่ได้เลย
2 มือน่ะให้ล้วงกระเป๋า ส่วน 2 เท้าก็ให้ก้าวเข้ามา ที่บอกว่าให้เอามือล้วงกระเป๋าไว้ ก็เพราะว่าเดือนนี้ Zap Zone มีสไตล์การเต้นที่เน้นแต่การใช้เท้าแบบขยับเขยือนแค่เบาๆ นั่นคือการเต้น C-Walk(Crip Walk) หรือที่ชาวเท้าไฟทั้งหลายคุ้นหูกันในอีกชื่อหนึ่งว่า Clown Walk นั่นเอง
อะไรกัน Clown Walk ตัวตลกเดินเหรอ ?
จะ ว่าอย่างนั้นก็ใช่ เพราะท่าทางการเต้น Clown Walk จะว่าไปแล้วก็ดูคล้ายกับท่าทางการเดินของตัวตลกในหนัง ซึ่งก็พอจะสืบความได้ว่า Clown Walk เดิมถูกเรียกว่า The Crip Walk หรือ C-Walk ถือกำเนิดขึ้นในแถบ ชานเมืองของ Los Angeles โดย Raymond Washington 1 ในสมาชิกแก๊งค์ที่ชื่อว่า crip ในปีค.ศ.1969 ซึ่งแรกเริ่มนั้น การ crip walk เป็นการเดินเพื่อ represent แก๊งค์เท่านั้น แต่ต่อมากลับได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และมีการพัฒนาจนกลายเป็นส่วนหนึ่งในสไตล์การเต้นของเพลงแนวฮิพฮอพตั้งแต่ปี 1980 เป็นต้นมา
เอาล่ะ ! พร้อมจะเต้น C-Walk กันรึยัง ? (Crip Walk=C-Walk=Clown Walk) ถ้าพร้อมแล้ว ก่อนอื่นก็ต้องไปหาอุปกรณ์ที่สำคัญมาสวมใส่กันซะก่อน ซึ่งจะเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจาก “รองเท้า” หาที่ใส่พอดี กระชับ พื้นหนาพอประมาณ เพราะถ้าพื้นรองเท้าหนาเกินไปอาจจะทำให้สะดุดได้
เมื่อเท้าพร้อม ใจพร้อม ก็ลุยกันเลยดีกว่า... !!
เริ่มต้นกันด้วยท่าเบสิคระดับชั้นอนุบาลของการเต้น C-Walk กันก่อน นั่นคือ... The "V" เป็นการฝึกให้ข้อเท้า ของเราเคยชินกับการขยับเขยือน เหมือนเป็นการวอร์มอัพไปในตัวด้วย วิธีการก็ง่ายๆ วางเท้าทั้ง 2 ข้างของเราลงบนพื้น งอหัวเข่าเล็กน้อยควบคุมให้เท้าทำงานประสานกันออกมาเป็นรูปตัว V คือหันปลายด้านนิ้วเท้าทั้ง 2 ข้างมาชิดกัน สลับด้วยการเอาด้านส้นเท้ามาชิดกัน เหมือนตัว V กลับหัวและตัว V ตั้งนั่นเอง
โดยท่า The "V" ก็ยังแบ่งย่อยออกได้อีก 3 แบบด้วยกัน คือ…
- V Back Step : คือการผสานกันของเท้ารูปตัว V ไปทางด้านหลัง โดยใช้ขาช่วยในการเคลื่อนที่
- Foward V : คือการผสานกันของเท้ารูปตัว V ไปทางด้านหน้า โดยใช้ขาช่วยในการเคลื่อนที่
- V Step : ท่านี้ค่อนข้างจะยาก อาจเป็นเรื่องลำบากสำหรับคนที่มีน้ำหนักตัวมากๆ(หรืออวบระยะสุดท้าย) เพราะเป็นการทำเท้าให้เป็นรูปตัว V แล้วขยับไปด้านข้าง ด้านหน้าหรือด้านหลัง ด้วยขาเพียงข้างเดียว
The Shuffle : คือการเคลื่อนเท้าไป ข้างหน้าและข้างหลังสลับไป-มา โดยระหว่างที่สลับเคลื่อนย้ายเท้าให้วางน้ำหนักไว้ที่บริเวณปลายเท้า ซึ่งถือได้ว่าเป็นท่าที่ค่อนข้างจะง่ายท่านึงเลยนะ ไม่เชื่อก็ลองทำดูสิและก็ยังแบ่งออกได้อีกเป็น 2 ท่าย่อย
The Shuffle Kick : การเคลื่อนเท้าไปข้างหน้าและข้างหลังสลับไป-มา โดยทิ้งน้ำหนักไว้ที่ส้นเท้า
Shuffle Spin : การเคลื่อนเท้าไปข้าง หน้าและข้างหลังสลับไป-มา โดยงอหัวเข่าเล็กน้อย แล้วสลับไปมา 180 หรือ 360 องศา รอบตัว
The Heel Toe : เป็นท่าที่ใช้การหมุน ของร่างกายเข้ามาช่วยเสริมการใช้เท้าด้วย โดยการเคลื่อนเท้าซ้ายเท้าขวาสลับไป-มา ร่วมกับการบิดเอว แล้ววางน้ำหนักไว้ที่ส้นเท้า
ทั้งหมดนี้เป็นแค่ท่าพื้นฐานไม่กี่ท่าของการเต้น C-Walk เท่านั้นนะ แต่ถ้าฝึกฝนบ่อยๆ ก็อาจจะช่วยให้พัฒนาจนสามารถเต้นท่าที่ยากกว่านี้ได้ นี่ขนาดอ่านทฤษฎียังรู้สึกว่าการเต้น C-Walk เนี่ยมันดูเท่ห์ชะมัดเลยใช่ไม๊ล่ะ ลองคิดดูสิว่าถ้าเราเต้นเป็น จะเป็นที่ฮือฮาป๊อปปูล่าในกลุ่มเพื่อนฝูงซักแค่ไหน รู้อย่างงี้แล้วก็ลองไปหัดเต้น C-Walk กันเลยดีกว่า !! หรือจะเข้าไปดูอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเต้น C-Walk แบบอินเตอร์ๆ ที่นี่ก็ได้
เดือนนี้ชาวมันส์ซ่าส์รีบมา ขยับแขนขากับท่าเต้นที่ร้อนแรง และเร้าใจไม่แพ้กันที่เรียกกันว่า BODYCOMBAT การเต้นที่ผสมผสานการต่อสู้ทั่วทั้งเอเชีย ทั้งเทควันโด มวยไทย คาราเต้ และไทชิ
เตรียมประจัญบาน!!
ก่อนเริ่ม ท่าเต้นต้องมีการวอร์มอัพกันก่อน จากนั้นก็ต้องมีท่าเริ่มต้น ท่ายืนเตรียมพร้อม โดยยืนเท้าให้ห่างกัน 1 ช่วงไหล่ ก้าวเท้าใดเท้าหนึ่งไปด้านหลัง 1 ก้าว ให้ตำแหน่งของเท้าทั้งสองข้างเป็นเส้นทแยงมุม ตั้งการ์ด โดยยกมือกำหมัดทั้งสองข้าง ปิดกรามไว้ แล้วหนีบศอกไว้ข้างลำตัว 6 ท่าสัประยุทธ์
Yap & Cross
Yap ให้ ผลักไหล่พร้อมกับชกหมัดด้านหน้าออกมาตรง ๆ
Cross ให้ ผลักไหล่พร้อมกับ ชกหมัด ด้านหลังออกมาตรง ๆ โดยบิดข้อมือกับหมัดคว่ำลงประมาณจมูกของคู่ต่อสู้ ขณะปล่อยหมัดให้บิดสะโพกและยกส้นเท้าขึ้นด้วย
Hook หลังจากปล่อยหมัดแย๊บออกไปแล้ว ก็ฮุคกันเลย เปิดศอกและแขนให้ขนานกับพื้น แขนท่อนบนกับท่อนล่างทำมุมเป็นมุมฉาก คว่ำหมัดลง หลังจากนั้นให้เหวี่ยงลำตัวทั้งหมด เปิดส้นเท้าพร้อมออกหมัดชก
Upper Cut ย่อเข่าเล็กน้อย พร้อมกับม้วนแขนจากด้านล่าง โดยศอกไม่กางออกจากลำตัว เอียงไหล่ลงไปเล็กน้อย พร้อมกับเหวี่ยงลำตัวทั้งหมด เปิดส้นเท้า พร้อมออกหมัดชกเสยขึ้น หยุดอยู่บริเวณคางคู่ต่อสู้ ท่านี้ฝึกให้ดี..อาจทำให้ใครบางคนลงไปจูบพื้นก็เป็นได้
Roundhouse Kick ออกแรงช่วงบนไปแล้ว เดี๋ยวช่วงล่างจะน้อยใจ ยกขึ้นมาสะบัดกันหน่อย ยืนให้ส้นเท้าหลังหันออกไปด้านหน้า เอียงตัวไปด้านหลัง ยกขาหน้าขึ้น กำหมัดชี้แขนด้านหน้าออกไป หลังจากนั้นให้เตะขาออกไปจนสุด ท่าเดียวยังไม่หนำใจลองท่าเตะขาอีกสัก 2 สเต็บเป็นไง !!!
Side Kick เอียงตัวไปทางด้านข้าง ยกขาขึ้นจากพื้น โดยงอเข่าเข้าหาหน้าอก กำหมัดด้านเดียวกับขาที่ยกขึ้น ถีบขาออกไปด้านข้าง เพื่อให้ส้นเท้ากระทบ
เป้าหมายที่ต้องการ
Knee ยกเข่าขึ้นไปด้านหน้า เข้าบริเวณกลางลำตัวคู่ต่อสู้ ส่งแรงจากสะโพกช่วยให้เข่ามีความรุนแรงขึ้น แล้วอัดให้เต็มเหนี่ยว นั่นแหละ...โดนจัง ๆ
จากนั้นก็ลองฝึกอีก 2-3 รอบ จะทำให้กล้ามเนื้อกระชับขึ้น และทั้งหมดนี้เป็นเพียงท่าพื้นฐานของ BODYCOMBAT จริง ๆ แล้วมีมากกว่านี้เยอะ ลองไปศึกษาเพิ่มเติมหรือจะหาวีซีดีมาฝึกดูด้วยตัวเองก็ไม่มีใครว่า จะได้ทั้งเหงื่อและ กล้ามเนื้อ งานนี้มีแต่ได้ ไม่มีเสีย
ข้อพึง สังวร
“อย่าสะบัด” ไม่ว่าจะเป็น แขนหรือขา เพราะระยะยาวข้ออาจสึกก่อนวัยอันควร ซ่าส์ไม่ออกแล้วเดี๋ยวจะหาว่าเราไม่ชี้แนะ
Street Dance สุดยอดสไตร์การเต้นหลายสายพันธุ์ (http://streetdance-p-ton-dz.blogspot.com/2009/06/street-dance.html)
ใคร ที่เป็นขาดานซ์ คงเคยออกสไตล์การเต้นแบบมันๆ เลียนแบบสไตล์ดานเซอร์ที่เรามักจะเห็นตามจอทีวี. แต่มีใครรู้บ้างหรือเปล่า ? ลีลาท่าเต้นที่เราพบเห็นกันบ่อยๆตามเวทีคอนเสริต์ต่างๆ ในบ้านเรา ซึ่งจะพบเห็นได้บ่อยมากในแนว การเต้นชนิดนี้ ก็จะเป็นพวกแนวเพลง Franky กับ Hip Hop ทีนี้คงอยากรู้กันแล้วละสินะว่าสไตล์การเต้นที่เราเห็นกันจนชินตาอยู่เป็น ประจำ ชื่อเสียงเรียงนาม ที่เขาเรียกกันอย่างเป็นทางการจริงๆ เขาเรียกแนวการเต้นชนิดนี้ว่าอย่างไร เพื่อไม่ให้เสียเวลาของน้องๆ EDUTAINMENT UP GRADE ขอเฉลยคำตอบพร้อมทั้งเปิดตัวแนะนำการเต้นชนิดนี้กันแบบให้ถึงแก่นแท้เลยซึ่ง ลีลาการเต้นที่กล่าวถึงนี้ตามภาษาสากลโลกที่เขานิยมเรียกกันอย่างเป็นทางการ ว่า”StreetDance”
Street Dance เพียงแค่ชื่อนี้วิ่งผ่านหู ทุกคนต้องคิดกันแบบชนิดชี้ชัดเจาะจงไปเลยว่าลีลาการเต้นเทรนด์นี้ต้นตอ รากฐานกำเนิดต้องเกี่ยวกับถนนแน่ๆ ใช่แล้ว! โป๊ะเชะ!ถูกต้องที่สุดลีลาการเต้นแนวนี้ กลุ่มชนคนผิวดำตามเขตพื้นที่สลัมในอเมริกา ซึ่งมักจะเป็นผู้คิดค้นแนวการเต้นมันๆที่กระแทกใจวัยโจ๋กันทั่วโลกได้เอาแนว การเต้นที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก นำมาผสมผสานมิกซ์เข้าด้วยกันแล้วนำมาออกลีลาท่าทางตามถนน โดยกลุ่มผิวดำเหล่านี้จะเปิดเพลงจากวิทยุที่พวกเขาพกติดตัวมาด้วย พร้อมทั้งออกลีลาท่าทางกันอย่างสนุกสนาน เท่านั้นยังไม่พอ กลุ่มคนผิวดำยังมีการชักชวนคนที่เดินอยู่ตามท้องถิ่นมาร่วมเต้นกันด้วย Street Dance เป็นท่าเต้นที่ผสมผสานกับท่าเต้นรูปแบบต่างๆ ในขั้นพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็น Break dance, popping & Locking Hip Hop, และJazz Dance โดยเอาท่าทางขั้นพื้นฐานของทั้ง หมดมารวมกันจนออกมาเป็น Street Dance ให้น้องๆ ได้ออกลีลามันๆกันเต็มที่เคล็ดลับจริงๆ ที่ผู้ฝักใฝ่ในการเต้นแนวนี้พึงต้องมีคือ ต้องเป็นคนที่มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ในการออกแบบท่า-ให้แหวกแนวแต่ ต้องอยู่ในการยอมรับจากเหล่าหมู่ขาดานซ์ด้วยกัน เพราะการเต้นแนวนี้ไม่จำกัดเพศสามารถออกลีลามันๆ เต้นได้ทั้งหญิงและชาย ฝ่ายชายจะมีลีลาท่าเต้นที่ดูแล้วออกแข็งแรง ส่วนฝ่ายหญิงจะเน้นที่ความพร้อมเพรียงและดูสวยงามในทีมเต้นของตัวเองลักษณะ พิเศษสุดๆจริงๆเลยของการเต้น Street Dance คือ ผู้เต้นสามารถที่จะเอา ท่าทางของกีฬายิมนาสติก มาประยุกต์ใช้กับลีลาการเต้นนี้ได้อย่างไม่เคอะเขิน ยกตัวอย่าง เช่น ท่าตีลังกา ท่ากังหัน ท่าหมุนหลัง และท่าแมงป่อง ซึ่งท่าทางการเต้นเหล่านี้ไม่ถึงขนาดยากจนเกินไปนัก จนเหล่าบรรดาเพื่อนนักเต้นทั้งหลายไม่สามารถฝึกปรือฝีมือกันได้ ซึ่งลีลาการเต้นแนวนี้กำลังเป็นท