http://www.kidjarak.com/mysterious-human-in-siberia/
ฤดูร้อนในไซบีเรียไม่เคยคงอยู่ยาวนาน และเมื่อเดือนพฤษภาคมมาถึง เขตแดนแห่งนี้ก็จะถูกปกคลุมด้วยหิมะหนาวยะเยือก สิ่งมีชีวิตนานาชนิดจะเหี่ยวแห้งตาย ซึ่ง ‘Taiga’ คือผืนป่าร้างในดินแดนนี้ มันขึ้นชื่อเรื่องสภาพอากาศหนาวนรกและเต็มไปด้วยฝูงสัตว์กระหายเลือด จนแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่คนจะมีชีวิตอยู่!!
หากแต่เรื่องน่าทึ่งก็คือที่เขต Taiga มีมนุษย์ปริศนากลุ่มหนึ่งอยู่อาศัย โลกไม่รู้จักพวกเขา เพราะพวกเขาตัดขาดทุกสิ่งและไม่เคยเห็นมนุษย์รายอื่นมากว่า 40 ปี พวกเขาพัฒนาภาษาการสื่อสารในแบบของตัวเองและเร้นกายอยู่ในเขตหุบเขา…จนกระทั่งถูกนักวิทยาศาสตร์รัสเซียค้นพบ
การค้นพบมนุษย์ปริศนานี้เกิดขึ้นตอนปี 1978 เมื่อนักธรณีวิทยาของรัสเซียร่อนเฮลิคอปเตอร์ลงในเขต Taiga เนื่องจากได้รับภารกิจให้มาศึกษาหาแร่เหล็ก (Iron Ore) เพื่อนำไปสกัดและใช้ในการพัฒนาอุตสาหกรรม แต่ขณะที่การสำรวจซึ่งนำโดยนาย Galina Pismenskaya กำลังดำเนินไปพวกเขาก็ได้พบกระท่อมลับเก่าแก่จากยุคกลาง ทุกอย่างดูราวกับฝันไป เพราะข้อมูลสถิติระบุว่าไม่มีมนุษย์คนใดอยู่อาศัยในเขตนี้…แล้วบ้านตรงหน้าคือบ้านใคร?
แต่ในที่สุดบานประตูเก่าแก่ก็ถูกเปิดออก สิ่งที่ก้าวออกมาไม่ใช่ผี หรือวิญญาณร้าย หากแต่เป็นร่างชายแก่ กับลูกสาวอีกสองคนชายแก่ชื่อ Karp Lykov ส่วนลูกสาวสองคนชื่อ Agafia Lykova และ Natalia ทุกคนตกใจมากกับการได้เห็นมนุษย์ และนักธรณีวิทยาได้พยายามยื่นขนมปังให้ แต่คนลึกลับกลุ่มนี้ปฏิเสธ “พวกคุณเคยเห็นขนมปังมั้ย?” นักวิทย์ถาม และชายแก่ตอบว่า “ผมน่ะเคยเห็น…แต่ลูกของผมไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้หรอกนะ”
โฉมหน้าของชายแก่ Karp Lykov
จากนั้นทั้งนักวิทยาศาสตร์และชายแก่ลึกลับก็ได้สนทนากัน ก่อนพบว่าเหตุใดชายแก่กับครอบครัวจึงต้องเร้นกายอยู่ในหุบเขา Karp Lykov เล่าว่าในปี 1930 โซเวียตได้แผ่ขยายอำนาจ และ Bolsheviks ในยุคนั้นก็ต่อต้านคนที่นับถือศาสนาโบราณ และเรียกคนกลุ่มนี้ว่า ‘Old Believer’ ซึ่งชายแก่คือหนึ่งในนั้น และนั่นทำให้เขาต้องหลบหนีออกจากหมู่บ้านมาพร้อมภรรยากับลูกที่ยังเล็กมากมายังที่แห่งนี้
นี่คือจุดเริ่มต้นการตัดขาดจากมนุษย์ ลูกสาวที่เติบโตไม่เคยเห็นมนุษย์คนอื่นอีก พวกเธออ่านตำราเก่าๆและรู้ว่าที่ห่างไกลออกไปมีเมืองมนุษย์ แต่สำหรับพวกเธอ การมีอยู่ของสิ่งเหล่านั้นเป็นแค่นิทาน พวกเธอไม่รู้จักเทคโนโลยี ไม่รู้ว่าโลกมีโทรศัพท์ พวกเธอไม่รู้ภาษาสื่อสารแบบปกติ และพูดคุยกันด้วยภาษาที่ดูเหมือนกับเสียงกระซิบอู้อี้ที่คนภายนอกไม่มีทางเข้าใจความหมาย
โฉมหน้าของ Agafia Lykova และ Natalia
ส่วนการมีชีวิตที่นี่พวกเขาไม่มีแม้กระทั่งธนู และทางเดียวที่จะอยู่รอดในป่าที่เต็มไปด้วยหมีหิวกระหายกับฝูงหมาป่ากระหายเลือด ก็คือการขุดกับดักล่าสัตว์ พวกเขาทำได้แค่นั้น และประทังชีวิตด้วยธัญพืชในป่าที่มีน้อยนิด ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ต่างตะลึงว่าคนกลุ่มนี้ต้องแกร่งมากจึงมีชีวิตอยู่ในสถานที่ที่ทั้งร้างและเป็นดั่งนรกแห่งการอยู่รอดได้นานขนาดนี้ แถมพวกเขายังมีสมาชิกครอบครัวเพิ่มขึ้นอีกด้วยและเด็กที่เกิดในป่าร้างชื่อว่า Dmitry
แต่แล้วช่วงหนึ่งหิมะก็ถล่มสวนที่พวกเขาเพาะปลูกมาแสนนาน และมันคือแหล่งอาหารหลัก จากนั้นครอบครัวต้องเผชิญกับสภาพอดอยากและเรื่องน่าเศร้าคือในปี 1981 สมาชิกครอบครัวเริ่มตายไปทีละคน ทีละคน เพราะไม่มียารักษาโรค Dmitry ตายด้วยโรคปอดบวม ซึ่งทีมนักวิทยาศาสตร์รัสเซียบอกว่าพวกเขายินดีที่จะใช้เฮลิคอปเตอร์ช่วยเหลือ เพื่อพาไปโรงพยาบาล หากแต่ Dmitry กลับบอกว่า “ธรรมเนียมปฏิบัติของเราไม่อนุญาติให้ทำเช่นนั้นและการออกสู่ภายนอกจะทำลายความเชื่อที่เราศรัทธามาตลอดชีวิต” เขากระซิบ “เรามีชีวิตตามแต่ประสงค์ของโชคชะตา”
นับจากความตายของ Dmitry สมาชิกครอบครัวก็ตายไปทีละคน ทีละคน และทุกคนปฏิเสธที่จะหวนกลับคืนสู่โลกภายนอก โดย Karp Lykov ตายในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ปี 1988 ซึ่งลูกสาวของเขา Agafia เป็นคนเผาศพพ่อ และหลังจากที่ทุกคนตายจากไปนักธรณีวิทยาก็ได้ชวนหญิงสาวคนนี้ให้ออกไปเผชิญโลกภายนอก หากแต่ Agafia ปฏิเสธ นักธรณีวิทยารัสเซียได้เขียนบันทึกไว้ว่า “ในวันที่ผมโบกมือลา Agafia เธอยืนอยู่ตรงนั้นริมแม่น้ำเหน็บหนาว เธอยืนตัวแข็งดั่งรูปปั้น เธอไม่ร่ำไห้ เธอทำเพียงพยักหน้าและบอกพวกเราว่า ‘จงก้าวต่อไป’ ตอนนั้นพวกเราบินไกลห่างออกมาจากหุบเขานั้นกว่า 1 กิโลเมตร และเมื่อผมหันกลับมามองมันอีกครั้ง…Agafia ก็ยังคงยืนอยู่ตรงนั้น ที่เดิม”
หลังจากบันทึกถูกเผยแพร่ไปในรัสเซีย การค้นพบครอบครัวปริศนากลางหุบเขาก็กลายเป็นเรื่องโด่งดัง…หากแต่นับจนถึงวันนี้ก็ไม่มีใครรู้ว่า Agafia มีชีวิตอย่างไรหลังจากที่พ่อและครอบครัวตายจากไป เธอดูราวกับสาบสูญไปตลอดกาล
ที่มา http://www.smithsonianmag.com/history/for-40-years-this-russian-family-was-cut-off-from-all-human-contact-unaware-of-world-war-ii-7354256/?no-ist