จากตำนานของชาวอังกฤษรุ่นก่อนๆ ได้บันทึกเอาไว้ว่า หลังจากที่โรมันได้ล่าถอยออกจากเกาะอังกฤษ ในอังกฤษเกิดความวุ่นวายอย่างล้นพ้นเนื่องจากแผ่นดินว่างกษัตริย์ เกิดการสู้รบกันระหว่างรัชทายาทแห่งบัลลังค์ไปทั่วทุกหย่อมหญ้าและนี่คือจุดเริ่มต้นของตำนาน
เมื่อกษัตริย์วอร์ติเจิร์น (Vortigern) ผู้ซึ่งนำทัพตีฝ่าวงล้อมของพวกแซกซอน (Saxon) และหลบหนีไปยังสโนว์โดเนีย (Snowdonia) ประเทศเวลส์ ด้วยหวังที่จะสร้างป้อมปราการบนภูเขาสูง ณ ดินาส เอมริส (Dinas Emrys: เป็นเนินเขาอยู่ทางตอนเหนือของเวลส์) ซึ่งในป้อมปราการแห่งนี้เขาคาดว่าตนเองน่าจะปลอดภัยจากรัชทายาทองค์อื่นๆ แต่จนแล้วจนรอดป้อมปราการแห่งนี้ก็ยังสร้างไม่เสร็จเสียที เนื่องจากทุกครั้งที่ป้อมใกล้จะเสร็จ ป้อมปราการแห่งนี้ก็จะถล่มลงมาทุกครั้งนำความเดือดร้อนมาสู่ชาวบ้านเป็นอย่างมาก
บรรดาพ่อมดในราชสำนัก (ประมาณว่าโหรหลวง) จึงถวายคำทำนายว่า นอกเสียจากว่าพื้นดินบริเวณที่ตั้งป้อมปราการนั้นจะถูกอาบไปด้วยเลือดของเด็กที่มีพ่อไม่ใช่มนุษย์เสียก่อนนั่นแลคำสาปจึงจะหาย (บางที่บอกว่าเป็นเด็กที่ไม่มีพ่อ) สร้างความปั่นป่วนให้กับบรรดาคุณแม่ลูกอ่อนชาวอังกฤษทุกคนในบริเวณนั้นเป็นอย่างมาก แต่วอร์ติเจิร์นก็สิ้นหวังอีกครั้ง เพราะต่อให้พลิกแผ่นดินหายังไงก็ไม่รู้จะไปหาลูกครึ่งมนุษย์-ปีศาจมาจากไหน
แต่แล้ววันหนึ่ง พวกชาวบ้านลือกันว่า มีหญิงสาวให้กำเนิดลูกชายที่มีพ่อไม่ใช่มนุษย์ออกมา เด็กคนนั้นก็คือ เมอร์ลิน นั่นเอง
เมอร์ลินถูกนำตัวไปสังเวยทันที แต่ก่อนที่จะเริ่มพิธีสังเวยนั้น เมอร์ลินได้ใช้พลังหยั่งรู้ของเขาแจ้งแก่กษัตริย์วอร์ติเจิร์นว่าเหตุที่ป้อมปราการแห่งนี้สร้างไม่เสร็จก็เนื่องจากในพื้นดินแห่งนี้เป็นที่อยู่ของมังกรแดงและมังกรขาว ซึ่งมังกรแดงหมายถึงชาวอังกฤษและมังกรขาวคือพวกแซกซอน ในการต่อสู้กันของมังกรทั้งสอง มังกรขาวมีท่าว่าจะพิชิตมังกรแดงลงได้ แต่แล้วมังกรแดงกลับพลิกล๊อกมาชนะได้ในที่สุด เมอร์ลินตีความหมายว่า อีกไม่นานเวอร์ติเจิร์นจะตายและ อัมโบรเซียส ออเรเลียนัส (Ambrosius Aurelianus) จะขึ้นครองราชย์ต่อ ถัดมาคือ กษัตริย์อูเทอร์ และสุดท้ายคือ กษัตริย์อาร์เธอร์ ผู้ขับไล่ชาวแซกซอนให้กลับประเทศไปได้ในที่สุด
ไม่นาน ... กษัตริย์วอร์ติเจิร์นได้ถูกปลงพระชนม์ ต่อมาอัมโบรเซียสได้ขึ้นครองราชย์ต่อ เมอร์ลินจึงได้อยู่ในราชสำนักตั้งแต่นั้นมา
ในช่วงนั้นมีเหตุการณ์ที่น่าพรั่นพรึงเป็นอย่างมาก นั่นก็คือการสังหารหมู่ขุนนางอังกฤษ 460 คน ในการประชุมเพื่อสันติ ซึ่งพวกแซกซอนเป็นคนคิดอุบายนี้ กษัตริย์อัมโบรเซียสปรึกษาเมอร์ลินว่าควรจะทำอย่างไรดีเพื่อเป็นที่ระลึกแก่ขุนนางเหล่านั้น เมอร์ลินและว่าที่กษัตริย์อูเทอร์จึงได้ส่งคณะสำรวจไปที่ไอร์แลนด์เพื่อไปหาก้อนหินแห่ง คอเรีย จิแกนทัม (Chorea Gigantum) (แหวนแห่งยักษ์) และด้วยพลังของเมอร์ลินได้นำก้อนหินเหล่านี้มาสู่เกาะอังกฤษ ณ ทิศตะวันตกของเมืองเอมสบิวรี (Amesbury) ที่ซึ่งเมอร์ลินได้ใช้เวทย์มนต์ของเขาในการจัดเรียงหิน เหล่านี้รอบๆ สุสานของขุนนางอังกฤษทั้ง 460 คน ในปัจจุบันหินเหล่านี้ก็คือ สโตนเฮนจ์ (Stonehenge) อันเลื่องลือนั่นเอง
หลังจากการสิ้นพระชนม์ของอัมโบรเซียส บัลลังก์ได้ตกเป็นของอูเทอร์ผู้น้อง ด้วยความช่วยเหลือของเมอร์ลินทำให้กษัตริย์อูเทอร์ครอบครองแผ่นดินอังกฤษได้สำเร็จในศึกที่เมอร์ลินคาดว่าน่าจะเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่แผ่นดินอังกฤษจะสงบสุข เมอร์ลินจึงยอมช่วยเหลือโดยการแปลงร่างของอูเทอร์ให้เป็นร่างของกอร์ลอส (Gorlois) ขุนนางชั้นสูงแห่งคอร์นวอลล์ (Cornwall) สามีของนางอิเกรน (Igraine) ด้วยแผนลวงครั้งนี้ทำให้อูเทอร์ในร่างแปลงของกอร์ลอสเดินเข้าไปในปราสาทได้อย่างง่ายดาย หลังจากที่กอร์ลอสตัวจริงออกไปตั้งทัพนอกปราสาทแล้ว อูเทอร์จึงร่วมหลับนอนกับนางอิเกรนและได้ให้กำเนิดบุตรชาย (อาเธอร์) ในที่สุด โดยที่กอร์ลอสผู้น่าสงสารไม่รู้อะไรเลย และต่อมากอร์ลอสได้ปะทะกับอูเทอร์ในสนามรบและถูกฆ่าโดยทหารของอูเทอร์ในที่สุด
หลังจากที่เจ้าชายอาเธอร์ประสูติ เมอร์ลินได้ถวายการศึกษาแก่อาเธอร์อย่างดีที่สุด โดยให้อาศัยอยู่กับเซอร์เอกเตอร์ (Ector) และอย่างที่เรารู้ๆ กัน เมื่อเมอร์ลินทำอุบายปักดาบลงในหินพร้อมกับคำจารึกว่า "ผู้ที่ดึงดาบได้คือราชาแห่งอังกฤษ ซึ่งอาเธอร์คนเดียวเท่านั้นที่ดึงได้และได้กลายเป็นกษัตริย์แห่งอังกฤษในที่สุด" ต่อมาเมอร์ลินได้พบกับเทพธิดาแห่งทะเลสาบและใช้ วาจาหว่านล้อมให้นางมอบของกำนัลแก่กษัตริย์อังกฤษ ของกำนัลนั้นก็คือ ดาบวิเศษ "เอกซ์คาลิเบอร์" นั่นเอง
ตามตำนานยังกล่าวต่อไปอีกว่า เมอร์ลินเป็นผู้สร้างโต๊ะกลมและเป็นผู้ที่รู้ซึ้งถึงเหตุการณ์ต่างๆ ทุกๆ การเคลื่อนไหวของกษัตริย์และเมืองคาเมลอทดีที่สุด แต่แล้วอยู่ๆ เมอร์ลินก็หายตัวไปจากคาเมลอท
เมื่อเมอร์ลินหายไป อาเธอร์ก็ทำอะไรไม่ถูก ประกอบกับมีคดีความกับนายลานซล๊อตอีกเรื่องจึงวุ่นวายไปกันใหญ่ จนกระทั่งสงครามสุดท้ายของกษัตริย์อาร์เธอ ซึ่งอาร์เธอร์บาดเจ็บสาหัสมากและสิ้นพระชนม์ในที่สุด อันเป็นสาเหตุแห่งการล่มสลายของคาเมลอทในกาลต่อมา (บางตำนานก็ว่าพ่อมดเมอร์ลินหายสาบสูญไปเมื่อตอนที่สิ้นสุดยุคสมัยของกษัตริย์อาเธอร์ครับ)
สาเหตุการหายไปของเมอร์ลิน ตำนานแรกก็ว่าเมอร์ลินลืมไปว่าในโต๊ะกลมนั้นมีเก้าอี้อันตรายอยู่และมีแต่อัศวินที่ได้รับเลือกเท่านั้นจึงจะนั่งได้ แต่ด้วยความหลงๆ ลืมๆ ทำให้เมอร์ลินบ้าจี้นั่งเก้าอี้ตัวนี้ไปท่ามกลางความตกใจของบรรดาอัศวินตลอดจนกษัตริย์อาร์เธอ เมอร์ลินถูกดูดลงไปสู่พื้นภิภพอันดำมืดและไม่สามารถหลุดออกมาได้ตลอดกาล
อีกตำนานหนึ่งว่ากันว่าเมอร์ลินตกหลุมรักกับวิเวียน (Vivien) ซึ่งเป็นเทพธิดาแห่งทะเลสาบ (Lady of the Lake) เมอร์ลินยินดีสอนคาถาตลอดจนวิชาต่างๆ ให้นาง นับวันนางก็ยิ่งมีพลังมหาศาลมากเกินกว่าพลังของเมอร์ลิน จนเมื่อเมอร์ลินไม่มีอะไรจะสอนนางแล้วและเพื่อให้พลังของนางเป็นหนึ่งในยุทธภพ นางจึงขังเมอร์ลินไว้ในหอคอยแก้วผลึกในป่าแห่งนิรันดร์ ถ้ำแห่ง ความมืดหรือจะคุกอะไรก็ตามแต่ที่คนเราสามารถจะจินตนาการให้กักขังพ่อมดที่มีพลังมากที่สุดบนโลกมนุษย์ได้ แต่สุดท้ายคือเมอร์ลินถูกขังเอาไว้นั่นเอง
มีการบันทึกเอาไว้ว่าเมอร์ลินรู้ซึ้งถึงผลการรบครั้งสุดท้ายดี จึงรวบรวมพลังจิตครั้งสุดท้ายไปบอกกับวิญญาณของเซอร์กาเวนให้ไปบอกอาร์เธอว่า "ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นขอให้เชื่อใจ ลานซล๊อต อย่าบุ่มบ่ามทำการรบโดยปราศจากลานซล๊อต"
นี่คือคำพูดสุดท้ายของพ่อมดแห่งเวลส์ครับ
"I am also the greatest fool. I love another more than I love myself, and I taught my beloved how to bind me to herself, and now no one can set me free."
ถ้าแปลก็คงประมาณว่า
"ตัวข้าแท้จริงเป็นเพียงแค่ผู้โง่เขลาคนหนึ่งเท่านั้น ข้าเลือกที่จะรักคนอื่นมากกว่าเลือกที่จะรักตัวข้าเอง ข้าสอนนางอันเป็นที่รักถึงวิธีผูกมัดตัวข้าเองเอาไว้กับตัวนางและบัดนี้จะไม่มีผู้ใดสามารถปลดปล่อยพันธนาการแห่งข้าได้อีกเลย ... ไม่มีแม้แต่ผู้เดียว"